เมื่อจ้านเป่ยว่างได้ยินคำพูดดังกล่าว เขารู้สึกปวดใจมาก ก่อนตะโกนว่า "พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียชีวิต กองทัพซวนเจียเป็นกองกำลังหลักเพื่อโจมตีเมือง และเราแค่ทำหน้าที่ช่วยเหลือ แม้ว่าเจ้าจะอยู่ข้างข้า เจ้าก็สามารถให้พวกเขาช่วยบรรทุกหินได้ แทนที่จะให้พวกเขาตายไปเปล่าๆ"ปี้หมิงไม่สนใจอะไรมาก และสั่งโดยตรงว่า "กองทัพซวนเจียขึ้นไปบนบันไดยาว ใครก็ตามที่ไม่ใช่กองทัพซวนเจีย ให้ถีบออกไปเลย"ในเมื่อกี้กองทัพซวนเจียตกอยู่ความสับส้น เมื่อพวกเขารู้สึกตัว ก็ปีนขึ้นบันไดอีกครั้งทันที หากพบใครที่ไม่ใช่กองทัพซวนเจีย พวกเขาจะดึงออกมาหรือเตะลงบุคคลยังคงตกลงไม่หยุด แต่ไม่ได้ถูกหอกแทงเข้า ยังสามารถอยู่รอดได้เมื่อจ้านเป่ยว่างเห็นว่าได้รับการควบคุมแล้ว เขาก็ผลักยี่ฝางออกไปและพูดว่า "จะร้องไห้ก็ออกไปไกลๆ"เขาวิ่งไปที่เครื่องโยนหิน แล้วสั่งว่า "บรรทุกหินต่อไปแล้ว โยนหินออกไป"ยี่ฝางยืนขึ้น ปาดน้ำตา ทันใดนั้นดวงตาของนางก็ดูดุร้ายมาก และสั่งให้ทหารของนางล่าถอยออกไป รอที่จะบุกเข้าไปในเมืองและรีบเร่งเข้าต่อสู้ ทหารภายใต้การบังคับบัญชาของนาง จะต้องแย่งผลงานทางทหารจากซ่งซีซีให้ได้พี่จ้านจะต้องเสียใจแน่นอนเซี่
สนามรบอยู่ในเมืองซีม่อน ตั้งแต่เริ่มการโจมตีเมือง ประชาชนต่างปิดประตูบ้านแน่นและซ่อนตัวให้ดีเมื่อทหารแคว้นซาบุกเข้ามาที่นี่ พวกเขากดขี่ประชาชนและรังแกพวกผู้หญิง ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าจะเกิดสงครามขนาดใหญ่หลังจากที่เมืองถูกโจมตีให้เปิดออก ทว่าพวกเขาก็หวังอย่างยิ่งว่า กองทัพเป่ยหมิงจะบุกโจมตีเข้ามาและขับไล่ชาวแคว้นซาออกไปการต่อสู้ดำเนินไปอย่างรุนแรง ยี่ฝางติดตามกองทัพเข้าไปในเมือง ไม่นานก็ต่อสู้ถึงแนวหน้า นางไม่ใช่แม่ทัพหญิงเพียงคนเดียว แต่นางเป็นแม่ทัพหญิงคนเดียวที่สวมเสื้อเกราะ เสื้อเกราะนี่สั่งทำโดยพิเศษจากกระทรวงกลาโหมนอกจากนี้ ยังมีผ้าพันคอสีแดงบนชุดเกราะของนาง ซึ่งหมายความว่า นางเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญดังนั้น แม้ว่าสถานการณ์การต่อสู้จะวุ่นวายมาก ทว่านางก็ดูสะดุดตาเป็นพิเศษซูลันจีเห็นนางแล้ว และทหารจำนวนมากของเมืองซีจิงก็เห็น นางเช่นกันกลยุทธ์ที่ต่อต้านนางได้เริ่มขึ้นแล้ว นั่นก็คือกลุ่มคนที่นางกำลังต่อสู่นั้นกำลังถอยกลับอย่างต่อเนื่อง นางเป็นคนชอบเอาชนะ ดังนั้นนางจึงต้องการไล่ตามพวกเขาและทำลายล้างพวกเขาทั้งหมดอย่างแน่นอนจ้านเป่ยว่างเห็นดังนั้นก็ตะโกน "ยี่ฝาง จะไล่ตาม
ซูลันจีและวิกเตอร์ยังไม่ได้เข้าสู่สนามรบ พวกเขายังเฝ้าดูสงครามจากที่สูงศพนอนอยู่ทั่วเมือง และทุกที่ที่พวกเขามองเห็นได้ก็มีแต่ทหารที่ตายแล้ว เมืองนี้แทบจะย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดและส่วนใหญ่เป็นทหารของเมืองซีจิงและทหารแคว้นซา การต่อสู้ในเมืองนี้ ได้แต่สู้ต่อไปเท่านั้น ไม่มียุทธวิธีใดๆ อีกเลยวิกเตอร์รู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องละทิ้งเขตหนานเจียง และเข้าซีม่อน หลังจากที่เขาเข้าไปซีม่อน เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ที่ชาวซีจิงมาช่วยเพียงเพื่อสังหารทหารของแคว้นซางเพื่อระบายความโกรธของพวกเขาและสังหารแม่ทัพหญิงที่ชื่อว่ายี่ฝางด้วยพวกเขาไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะแคว้นซางได้ ยิ่งไม่ต้องการแบ่งเขตหนานเจียงกับแคว้นซา พวกเขามาเพื่อระบายความโกรธมากกว่าดังนั้น วิกเตอร์จึงรู้สึกโกรธมาก หากไม่ใช่ชาวซีจิงมา พวกเขาอาจจะพ่ายแพ้จนวิ่งหนีไปนานแล้ว ไม่ต้องมาต่อสู้ตั้งหลายครั้งจนทำให้มีทหารเสียชีวิตตั้งมากมายขึ้นไปเขาพูดกับซูลันจีอย่างเย็นชา "ถ้าเจ้าต้องการระบายความโกรธ ทำไมไม่สังหารหมู่ทั้งเมืองล่ะ?"เขาคงรู้ว่าทำไมซูลันจีจึงเกลียดชาวซางมากขนาดนี้ เขาสืบรู้ว่าในระหว่างการต่อสู้ที่ชายแดนเฉิงหลิง มีห
ทหารของแคว้นซาและทหารของเมืองซีจิงต่างล่าถอยไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้กองทัพเป่ยหมิงที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดนั้นต่างตกตะลึงเมื่อฟังเสียงสัญญาณให้ล่าถอย พวกเขายังคิดว่านี่อาจจะเป็นกลยุทธ์ของแคว้นซาเพื่อล่อลวงศัตรูให้เข้าไปอย่างไรอย่างนั้นแต่พอคิดดูดีๆ อีกที ได้ล่าถอยจากซีม่อน แล้วพวกเขายังจะไล่ตามไปทำไมอีก? เดิมที่ก็ต้องการขับไล่พวกเขาออกไป แต่ไม่ใช่ฆ่าพวกเขาทั้งหมดดังนั้น กองทัพเป่ยหมิงจึงเฝ้าดูกองทหารศัตรูละทิ้งชุดเกราะและหนีออกไปทั้งอย่างนั้นชัยชนะมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?พวกเขาทั้งหมดเตรียมพร้อมที่จะตายเพื่อประเทศของตน เพราะถึงยังไง ชาวซีจิงก็มาช่วยอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ พวกเขาจะยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร?แม้แต่ผู้บังคับบัญชาเองก็เข้าสู่สนามรบไปต่อสู้เอง ย่อมต้องโหดร้ายอย่างยิ่งแน่ๆ และความจริงก็โหดร้ายอย่างยิ่งจริงๆ มีศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง และทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเลือด แม้ว่าหิมะตก แต่ก็ไม่สามารถซ่อนกลิ่นอันท่วมท้นของคาวเลือดได้แต่เมืองซีม่อนนั้นใหญ่มาก และยังมีหมู่บ้านมากมายนอกเหนือจากเมืองแม่ทัพฟางรีบกลับไปที่ค่ายบัญชาการและถามว่า "ท่านผู้บังคับบัญชา ต้องการติดตามพวกเราไ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีคนเยอะกว่า ยี่ฝางพยายามต่อต้านอยู่ นางมองไปรอบๆ และพบว่ามีทหารของเมืองซีจิงเพิ่มมากขึ้นพวกเขาไม่ได้อยู่ในสนามรบหลัก แต่กลับกำลังรอนางอยู่ที่นี่ นางตระหนักว่านางเคยได้โอกาศทองโดยใช้กลยุทธ์นี้ แต่คราวนี้นางยังคงใช้กลยุทธ์เดิมแต่กลับตกหลุมพรางของศัตรูแล้วยี่ฝางและยี่เทียนหมิง ลูกพี่ลูกน้องของนางเก่งการต่อสู้ และสามารถต้านทานได้ระยะหนึ่ง แต่พวกทหารที่อยู่ข้างๆ พวกเขาต่างเสียชีวิตไปในกองเลือดทีละคน ชาวซีจิงไม่ได้เมตตาแม้แต่น้อย พวกเขาฆ่าคนอย่างไม่ลังเล คนพวกนี้อาจเป็นนักรบโดดเด่นของพวกเขายี่ฝางรู้สึกหวาดกลัวมากจนอยากจะวิ่งหนี แต่ข้างหลังนางล้อมรอบไปด้วยทหารเมืองซีจิงทั้งหมด พวกเขาถือมีดยาวและไม่ก้าวไปข้างหน้า ได้ขัดขวางทางหลบหนีของนางนางทำได้เพียงสู้กลับด้วยความตื่นตระหนก แต่นางก็กลัวจนไม่มีแรงที่จะใช้ท่าได้ เมื่อนางเห็นมีดมุ่งมาเพื่อตัดแขนของนาง นางก็คว้าทหารที่อยู่ข้างหน้านางโดยไม่รู้ตัวเพื่อให้เขามาขัดขวางให้ทหารถูกฟาดที่ศีรษะและเลือดก็ไหลกลั้วคอไม่หยุดทหารคนนั้นหันกลับมาอย่างยากลำบากและมองดูแม่ทัพยี่ด้วยความไม่อยากเชื่อ พวกเขาเคยร่วมมือกันสร้างผลงานที่
ใบหน้าของยี่ฝางซีดเผือด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน?นางรู้ดีว่าตนเองทำอะไรกับคนคนนั้นในเวลานั้น แม่ทัพตัวน้อยคนนั้นนำคนกว่าร้อยคน และเขาก็ต่อสู้เก่งด้วย พวกเขาเคยต่อสู้ด้วยกันได้ฆ่าคนของนางไปหลายคน จากนั้นก็หนีไป เพื่อตามหาพวกเขา นางสั่งให้สังหารหมู่หลายหมู่บ้านในเมืองลู่เปินเอ่อร์ เพราะนางสงสัยว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในบ้านของประชาชนคนใดคนหนึ่งอยู่นางต้องหาเขาเพื่อล้างแค้นให้กับลูกน้องของนางที่เสียชีวิตไปและสร้างอำนาจให้ตัวเอง ยิ่งกว่านั้น การฆ่าทหารสิบนายนั้นสู้กว่าการฆ่าหัวหน้าทหารคนหนึ่งไปไม่ได้นั่นคือความคิดทั้งหมดของนางในเวลานั้น แต่นางไม่คาดคิดว่าหลังจากจับหัวหน้าทหารตัวน้อยคนนั้นแล้ว เขากลับหยิ่งยโสอย่างยิ่ง และกล่าวหาว่านางละเมิดข้อตกลงระหว่างทั้งสองประเทศ เพราะได้สังหารหมู่พลเรือนคนๆ นี้สาปแช่งอย่างโหดเหี้ยม โดยบอกว่าการสังหารหมู่นั้นถือว่าสร้างบาปไว้ และสาปแช่งพวกเขาไม่มีลูกหลานอีกเลยเป็นเพราะเขาสาปแช่งอย่างโหดเหี้ยมเกินไปจนทำให้เขาถูกลงโทษ ส่วนการดุด่ว่าจะไม่มีลูกหลานอีก งั้นก็จะให้เขาไม่สามารถมีลูกหลานได้อีก เลยตอนเขาเสียก่อนยิ่งมีลูกน้องของนางถึงกับขี้บนตัวของเขา และยัดขี้ให
พวกสายลับในแคว้นซาง พวกเขาได้ทุ่มเทความพยายามมามากแล้ว ต่อมาสายลับก็อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านพี่รัชทายาทโดยตรงหลังจากที่ท่านพี่รัชทายาทเกิดเรื่อง พวกสายลับกลับได้สังหารพวกผู้หญิงและเด็กทุกคนในครอบครัวซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของท่านพี่รัชทายาทเท่านั้น แต่ยังทำให้สถานที่ที่รวบรวมข่าวกรองถูกทำลายหมดซ่งฮวยอันเป็นแม่ทัพที่น่าชื่นชม ผู้ชายทุกคนในครอบครัวของเขาเสียชีวิตในสนามรบเขตหนานเจียง ภรรยาและเด็กของพวกเขาแม้แต่คนรับใช้ที่บ้านต่างก็ไม่มีใครรอดชีวิต เรื่องน่าสังเวชเช่นนี้ กลับเป็นฝีมือของชาวซีจิงเนื่องจากเหตุการณ์นี้ ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยเรื่องที่ยี่ฝางสังหารหมู่ด้วย เลยถูกซ่อนมันไว้ยี่ฝางเป็นผู้บงการ แต่สายลับจากเมืองซีจิงก็ทำสิ่งที่ทั้งโหดร้ายและเลือดเย็นเช่นกัน มีเพียงตระกูลซ่งเท่านั้นที่เป็นเหยื่อ ได้ยินมาว่าที่ตระกูลซ่งเหลือซ่งซีซีเพียงคนเดียว คงเป็นแม่ทัพหญิงคนนั้นที่นางกำลังพูดถึงยี่ฝางยังเข้ามาแทนที่ซ่งซีซี กลายเป็นภรรยาของจ้านเป่ยว่างสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเมืองซีจิง แต่เมื่อครอบครัวของซ่งฮวยอันถูกฆ่าตายหมด และซ่งซีซีถูกทอดทิ้ง
ในใจของยี่ฝางตื่นตระหนกอย่างมาก เมื่อลูกพี่ลูกน้องถามจี้นาง นางก็รู้สึกร้อนตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็รีบแก้ต่างว่า "ข้าคิดว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ข้าเป็นทหารเมืองซีจิง ข้าไม่เห็นว่าเป็นเสี่ยวจูจือเลย"ยี่เทียนหมิงพูดด้วยความโกรธ "เจ้าเล่ห์ ทหารศัตรูจะอยู่เคียงข้างเจ้าได้ยังไง? หาข้อแก้ตัวก็ไม่หายสักข้อที่ให้ดูสมเหตุสมผลหน่อย"ยี่ฝางระเบิดอารมณ์ออกมา "พอได้แล้ว ตอนนี้เราทุกคนต่างก็เป็นนักโทษของศัตรูแล้ว เราได้สังหารหมู่หมู่บ้านในเมืองลู่เปินเอ่อร์แล้ว พวกเขาจะไม่ปล่อยเราไปง่ายๆ หากมีเวลามาด่าว่าข้าสู้เอาเวลานี้ไปคิดหาทางออกจะดีกว่า"ยี่เทียนหมิงกล่าวว่า"เจ้าเป็นคนออกคำสั่งให้สังหารหมู่หมู่บ้าน เจ้าบอกว่าหัวหน้าทหารคนนั้นซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักพลเรือน เจ้าบอกว่าทหารบางคนปลอมตัวเป็นสามัญชน ดังนั้นเลยสั่งให้ฆ่าให้หมดโดยไม่ต้องปรานี"เมื่อรู้ว่าคนข้างนอกสามารถได้ยินเข้า ยี่ฝางจึงพูดเสียงดัง "ข้าแค่ให้คพวกเจ้าฆ่าคนไม่กี่คนเพื่อบีบบังคับหัวกน้าคนนั้นออกมา ไม่ได้ให้พวกเจ้าฆ่าทั้งหมด"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทหารที่ถูกจับกุมคนอื่นๆ ก็ประณามด้วยความโกรธว่า "เจ้าสั่งให้ฆ่าพวกเขาให้หมด และตัดหูพวกเขาออ
ในตำหนักฉางชุน ฮองเฮายังไม่ได้ปลดปิ่นปักผมและเครื่องประดับออกจากร่าง ใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ดวงตาฉายแววคาดหวัง วันนี้มีข่าวจากหน้าพระที่นั่งส่งมาบอกว่า ฝ่าบาทจะเสด็จมายังวังหลังในคืนนี้ นางรออยู่นานแต่ไม่ได้ยินว่าฝ่าบาทเลือกสนมคนใด ในใจก็พลันยินดี เพราะการไม่เลือกหมายถึงฝ่าบาทจะเสด็จมาที่ตำหนักกลาง "หลานเจี่ยน ไปดูหน่อยสิว่าฝ่าบาทมาแล้วหรือยัง?" นางเร่งเร้าอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สามของคืนนี้แล้ว หลานเจี่ยนกูกูที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างยิ้มพลางกล่าว "พระนางโปรดอย่ารีบร้อนเลยเพคะ หากฝ่าบาทจะเสด็จมา แน่นอนว่าต้องมีคนมาบอกล่วงหน้า เพื่อให้พระนางเตรียมตัวรับเสด็จ" "จริงด้วย จริงด้วย ฝ่าบาทไม่ได้มาที่ตำหนักฉางชุนนานจนข้าแทบจะลืมเสียแล้ว" ฮองเฮาใช้นิ้วลูบไปที่ปอยผมข้างใบหู พลางยิ้มอย่างอ่อนหวาน "ข้ากับฝ่าบาทถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยา สามีภรรยาที่ไหนจะมีความแค้นข้ามคืนกันได้? ตอนนี้องค์ชายใหญ่ก็มีความก้าวหน้า ฝ่าบาทย่อมใจอ่อนลงบ้างแล้ว" "เมื่อฝ่าบาทเสด็จมา พระนางค่อยๆ พูดเถิด อย่ารีบร้อนที่จะพูดเรื่องให้องค์ชายใหญ่กลับมา" หลานเจี่ยนกูกูเตือนด้วยความนอบน้อม ฮองเฮาพยักหน้า
ในห้องทรงพระอักษรในพระราชวัง ยังไม่มีการจุดเตาใต้พื้น ความเย็นแทรกซึมเข้ามาทีละน้อยฎีกาถูกพิจารณาเสร็จสิ้นนานแล้ว แต่จักรพรรดิ์ซูชิงกลับยังไม่เลือกสนม เพียงนั่งนิ่งมองแสงตะเกียงที่ริบหรี่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเขาได้อ่านจดหมายจากเซี่ยหลูโม่ที่เขียนถึงซ่งซีซี ในนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงที่เอ่อล้น และความรู้สึกในใจที่ถ่ายทอดไม่หมด ราวกับพวกเขาเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ช่างหวานชื่นจนยากจะพรากจากกันนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้อ่านจดหมายของพวกเขา แม้ก่อนหน้านี้จะมีเนื้อความที่กล่าวถึงความคิดถึงอยู่บ้าง แต่กลับไม่ถึงขั้น "เปิดเผยและห้าวหาญ" เช่นครั้งนี้คำเหล่านี้ แค่พูดออกมาก็รู้สึกน่าอายอยู่แล้ว หากเขียนลงในจดหมายไม่ยิ่งน่าอายกว่าหรือ?เขาคิดว่าพระอนุชาเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสม ฉาบฉวยเกินไปวิธีเอาใจสตรีนั้นมีมากมาย ไยต้องทำถึงเพียงนี้?เขาคิดเช่นนั้น แต่ในใจกลับเหมือนมีกรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งตกลงไป ทำให้ผิวน้ำในจิตใจเป็นระลอกคลื่นวนไปมาอย่างไม่อาจสงบได้เขาไม่รู้เลยว่า การเป็นฮ่องเต้เช่นนี้ เขาสูญเสียไปมากเพียงใด...เรื่องความรักระหว่างชายหญิงนั้น จักรพรรดิไม่เคยกล้าคิดถึง แม้จะเคยมีช่วงเวลาที่หวั่
เส้าปู้เข้ามาในเมืองพร้อมกับคนเพียงสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน มีมีดโค้งคาดอยู่ที่เอว ดูท่าทางน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าสงคราม แต่เมื่อได้นั่งดื่มสุรากินเนื้อ ใบหน้าสีเข้มของพวกเขากลับเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ หลางจู่เส้าปู่อายุห้าสิบกว่าปี ผิวสีเข้มเป็นประกายเหมือนพวกเขา ดวงตาเต็มไปด้วยพลังและความคมกล้า เขาเป็นคนฉลาดเป็นพิเศษและมีจิตใจรอบคอบ หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาระแวงอยู่เสมอและไม่กล้ามอบความไว้วางใจให้เป่ยหมิงอ๋องอย่างเต็มที่ เขามีเพียงข้อเรียกร้องเดียว คือการร่วมมือกันครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หลังจากขับไล่คนของแคว้นซาได้สำเร็จ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว และห้ามเข้าสู่เขตหลักของทุ่งหญ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เซี่ยหลูโม่ตอบรับข้อเรียกร้องและลงนามในข้อตกลงทันที หลังจากลงนามในข้อตกลง พวกเขาก็ไม่รั้งรอและจากไปทันที ชนเผ่าทุ่งหญ้าไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อแคว้นซางนัก เพราะสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปีล้วนส่งผลกระทบถึงพวกเขาไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าทุ่งหญ้ามีหลายเผ่าและไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงไม่สามารถต่อต้านทั้งแคว้นซางหรือแคว
หลังจากกลับมาที่จวนอ๋องจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ซ่งซีซีรู้สึกว่าลานเหมยฮวานั้นเงียบเหงาเป็นพิเศษ นางคิดถึงศิษย์น้อง แต่เขาอยู่ไกลถึงหนานเจียง แม้จะไม่ได้คำนวณวันเวลาที่แยกจากกัน แต่นางรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน เมื่อนางคิดจะออกไปยังตึกว่างจิงเพื่อหาอาจารย์เหมือนเดิม นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ได้กลับไปที่ภูเขาเหม่ยชานแล้ว หัวใจของนางรู้สึกเหงาหงอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคิดถึงหยานหรูอวี้ในค่ำคืนนี้ ถึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวในยามแต่งงานนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวัง และความเขินอายจนความสุขล้นเอ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับตัวนาง การแต่งงานทั้งสองครั้งกลับเงียบสงบเกินไป หลังจากที่เป่าจูช่วยนางล้างเครื่องสำอางและเตรียมน้ำสำหรับอาบ ซ่งซีซีก็ส่ายหน้าและดึงนางให้นั่งลงข้างกัน "เป่าจู ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าควรจะเริ่มพูดคุยกันแล้ว เจ้าพอจะมีคนที่ชอบหรือยัง?" เป่าจูมองนางแวบหนึ่งและกล่าว "คุณหนูไปกินเลี้ยงแต่งงานแล้วติดใจหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบเร่งให้มีอีกงาน?" ซ่งซีซีหัวเราะ "ข้าเป็นคนตะกละขนาดนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้ายังอยู่แบบนี
งานแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางกับหยานหรูอวี้ที่ถูกเลื่อนมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เลือกวันมงคลจัดขึ้น งานแต่งไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อเป็นหลานสาวของไท่ฟู่ สิ่งที่สมควรมีเพื่อความสง่างามก็จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน ไทเฮาทรงเป็นผู้นำในการมอบของขวัญ ตามด้วยบรรดามเหสีที่ต่างมอบรางวัลและเพิ่มสินเดิมให้หยานหรูอวี้ นักเรียนจากโรงเรียนสตรีหย่าจวินต่างพากันทำของขวัญแสดงความยินดีด้วยมือของพวกนางเองให้กับหยานหรูอวี้ นักเรียนหญิงในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา แม้ของขวัญจะไม่ล้ำค่า แต่สิ่งที่พวกนางปักเย็บหรือทำด้วยมือเอง ล้วนแสดงถึงน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่สุด ชุดเจ้าสาวของหยานหรูอวี้ถูกสั่งทำล่วงหน้าโดยโม่เหนียงจื่อจากโรงงานฝีมือ ชุดนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงในร้านผ้าปักของโรงงานมาก่อน ทำให้หญิงสาวที่กำลังรอแต่งงานหลายคนหลงใหลและใฝ่ฝันอยากสวมชุดสวยเช่นนี้ในวันแต่งงานของพวกนาง โม่เหนียงจื่อที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อหลานสาวของไท่ฟู่ยังสวมชุดเจ้าสาวที่นางทำ จะมีใครอีกที่คิดว่าอดีตของนางเป็นเรื่องโชคร้าย? ในเวลาไม่นาน ร้านผ้าปักของโรงงานก็คึกคักจนประตูแทบทรุดจากการเ
จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกตัวหัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าเฝ้าในวังหลวง หัวหน้าตระกูลเสิ่นเตรียมตัวมาอย่างดี แม้ในครั้งนี้เขาจะนำคนในคุ้มภัยและทหารองครักษ์เข้าปราบปรามกบฏ แต่เพราะตระกูลเสิ่นสาขาย่อยมีความเกี่ยวข้องกับหนิงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะกล่าวว่าให้ชดเชยความผิดด้วยความชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆ จักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน และยังชมเขาด้วยว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติ เป็นดั่งลักษณะของบิดาในอดีต หัวหน้าตระกูลคนก่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อราชสำนักมาก และในช่วงสงครามก็ได้บริจาคเงินจำนวนไม่น้อย หัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าใจสถานการณ์ จึงกล่าวทันทีว่า หนานเจียงและชายแดนเฉิงหลิงยังคงมีสงครามอยู่ ตระกูลเสิ่นยินดีที่จะบริจาคเงินจำนวนสองแสนตำลึงเพื่อช่วยจัดหาเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวและปรับปรุงอาหารสำหรับทหาร จักรพรรดิ์ซูชิงแสดงความพอใจอย่างมาก พลางยิ้มและกล่าวว่า "ดี ด้วยเงินบริจาคสามแสนตำลึงจากหัวหน้าตระกูลเสิ่น ข้าเชื่อว่าทหารชายแดนของเราจะสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ และเร่งรัดให้สงครามยุติลงโดยเร็ว" หัวหน้าตระกูลเสิ่นรีบตอบรับอย่างราบรื่น "ฮ่องเต้
เหรินหยางอวิ๋นอยู่ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอาวุธเทพเจ้า ไม่มีเวลาว่าง บัดนี้เมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงอ้างว่าธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่เรียบร้อย อยากอยู่ต่ออีกสักระยะ ที่จริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซ่งซีซี เมื่อครั้งที่เขาวิจัยอาวุธเทพเจ้า เขายังส่งคนไปยังเป่ยถังเพื่อขอคำชี้แนะและเก็บสูตรลับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหนานเจียง เพราะซ่งหวยอัน และสุดท้ายก็เพราะเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี ในฐานะอาจารย์ เขารู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน เขาไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุน เหรินหยางอวิ๋นมักพูดเสมอว่าเขาไม่เก่งในการเป็นอาจารย์ แต่ศิษย์ทุกคนของเขาล้วนยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถและคุณธรรม ไม่มีใครที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้นลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งซีซี นางชอบเล่นซนและสนุกสนาน แต่กลับสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงขั้นล้ำเลิศ เป็นเครื่องยืนยันถึงพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและไร้กังวลบนใบหน้าของนาง เหรินหยางอวิ๋นก็รู้สึกมีความสุขในใจ แต่หลังจากนั้น นางถูก
ระหว่างถูกพาเดินประจานรอบเมือง หนิงจวิ้นอ๋องถึงกับเสียสติอย่างสิ้นเชิง เขาสบถด่าชาวบ้านว่าโง่เขลา ถูกทางราชสำนักหลอกลวง เข้าใจผิดว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม และย้ำว่าตัวเขา เซี่ยทิงเหยียน จะเป็นจักรพรรดิ์ที่แท้จริง เสียงแหบแห้งของเขาถูกกลบด้วยเสียงสาปแช่งของชาวบ้าน ทุกคนตะโกนให้เขาตาย และกล่าวว่าการประหารครึ่งตัวนั้นยังน้อยไป เขาควรถูกประหารด้วยวิธีเชือดเนื้อเป็นพันครั้งและทรมานจนตาย ถึงจะสมกับความเลวของเขา อ๋องเยี่ยนเงียบตลอดทาง แต่ในใจเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชังต่อเซี่ยทิงเหยียน เขาเชื่อว่าหากเซี่ยทิงเหยียนไม่หักหลังและยุยงคนของเขา เขาก็คงประสบความสำเร็จไปแล้ว เซี่ยทิงเหยียนเปรียบเสมือนงูพิษ แฝงตัวอยู่ในความมืด และเมื่อเขาไม่ทันระวัง เซี่ยทิงเหยียนก็โผล่ออกมากัดเขา และกัดนั้นถึงตาย เพราะเซี่ยทิงเหยียน เขาไม่เพียงแต่เป็นกบฏ ยังเป็นกบฏที่โง่เขลา สิ่งที่เขาบากบั่นสร้างมาด้วยความยากลำบากกลับถูกส่งมอบให้คนอื่น และคนของเขาที่ถูกยุยงยังจับเขามัดส่งให้กองทัพหลวง ในอนาคต เมื่อถูกบันทึกในพงศาวดาร ชื่อเสียงของเขาจะไม่เพียงแต่ถูกสาปแช่ง แต่ยังกลายเป็นที่
ผู้คนมาพร้อมกันแล้ว การสะสางครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นในที่สุด หลังจากการสืบสวนร่วมกันระหว่างหอต้าหลี่และกรมอาญาแห่งเมืองหลวง การกบฏนำโดยอ๋องเยี่ยนและหนิงจวิ้นอ๋องถูกยืนยันว่าเป็นความจริง ความผิดได้รับการยืนยันแน่นอนแล้ว การรอคอยที่ผ่านมาเพื่อจัดเรียงข้อกล่าวหาทั้งหมดของพวกเขา เพื่อประกาศให้โลกรู้ ทั้งครอบครัวของอ๋องเยี่ยน ถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง ยกเว้นเซี่ยหรูหลิงที่ให้เบาะแสสำคัญ ชื่อของเซี่ยหรูหลิงถูกลบออกจากทะเบียนราชวงศ์ แม้ว่าเขาจะยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคุกในหอต้าหลี่ แต่ในสิบปีนี้คงไม่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เฉินยีให้เขาหยุดพักงานชั่วคราว และให้กลับมาหลังจากเรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เฉินยีมีความหวังดี จึงกำชับเขาว่าหากยังต้องการทำงานนี้ต่อ ก็อย่าเข้าใกล้คุกหลวง และให้อยู่บ้านพักฟื้นและทบทวนตัวเอง เฉินยีคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อ แต่ข้อดีคือเชื่อฟังและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเฉินยีจึงยังยินดีดูแลเขา เฉินยีเคยพูดถึงเซี่ยหรูหลิงกับซ่งซีซี ซึ่งซ่งซีซีกล่าวว่าเขาเติบโตมาด้วยนิสัยขี้ขลาด ไม่กล้าต่อต้านเมื่อเผชิญป