“พวกเจ้าเป็นคนช่วยข้าหรือ?” ลมหายใจของชายชรายังอ่อนเล็กน้อย แต่หน้าตาและสีหน้าดูดีขึ้นมาก“ไม่ นางเป็นคนช่วยท่าน” โม่จิงหงกล่าวด้วยสายตาเฉยเมยชายชราลุกขึ้นนั่ง เฟิ่งชิงหร่านเข้าไปประคองเขาลุกขึ้นยืน การโจมตีของซูเยียนหรานไม่ได้โดนจุดอันตรายของชายชรา ก่อนหน้านี้ที่เขาล้มลง ที่จริงเป็นเพราะพิษในร่างกายเขากำเริบชายชราถอยหลังหนึ่งก้าว คำนับขอบคุณเฟิ่งชิงหร่านด้วยมารยาทสูงสุด “ขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของแม่นาง รบกวนแม่นางบอกที่อยู่ให้หน่อย ไว้วันหลังจะส่งของขวัญขอบคุณไปให้แน่นอน”“ไม่ต้องวันหลัง วันนี้เลย” ชายชรายังไม่เข้าใจ เฟิ่งชิงหร่านก็กล่าวต่อแล้ว “แค่ท่านช่วยไขข้อสงสัยบางอย่างให้ข้า ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้ว”“แม่นางถามมาได้”“เหตุใดท่านกินโอสถห้ามเลือดล่วงหน้า?” นี่คือคำถามแรกของเฟิ่งชิงหร่านชายชราถอนหายใจ แล้วกล่าวช้าๆ “ข้าถูกพิษกลืนวิญญาณ ตอนที่พิษกำเริบ เส้นเลือดทั้งร่างจะเดือดพล่าน เลือดกระเซ็นไปทั่ว ข้ากลัวว่าเลือดพิษจะไปทำร้ายผู้อื่น”เฟิ่งชิงหร่านพยักหน้า หันไปมองโม่จิงหงแวบหนึ่ง เพื่อบอกให้เขาถามต่อดวงตาดุจดวงดาวของโม่จิงหงเป็นประกาย เขายิ้มแต่ไม่พูดเฟิ่งชิงหร่านอ
โม่จิงหงพาเฟิ่งชิงหร่านมาถึงร้านค้าที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่งทั้งสองเดินเข้าไปในร้าน เถ้าแก่กำลังดีดลูกคิดบนโต๊ะ เมื่อเห็นมีคนเข้ามา เขาแค่เหลือบมองแวบหนึ่ง ก็คิดบัญชีต่อแล้วเฟิ่งชิงหร่านรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ของที่ขายภายในร้านล้วนเป็นอาวุธอาคมระดับหนึ่ง ร้านค้าที่ขายอาวุธอาคมเช่นนี้มีเยอะมาก แต่ขายแค่อาวุธอาคมระดับล่างกลับไม่มีและอาวุธอาคมมากมายในร้านล้วนมีฝุ่นเกาะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าของร้านไม่ค่อยใส่ใจเห็นเพียงโม่จิงหงเดินไปที่หน้าโต๊ะ นิ้วมือที่เรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะอย่างมีจังหวะสามทีเถ้าแก่เงยหน้าขึ้น กวาดมองคนทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วนำป้ายไม้ชิ้นหนึ่งวางบนโต๊ะ “หินวิญญาณระดับสุดยอดคนละหนึ่งก้อน”โม่จิงหงนำหินวิญญาณสองก้อนวางบนโต๊ะ หยิบป้ายไม้ และยื่นอีกชิ้นให้เฟิ่งชิงหร่านเถ้าแก่เก็บหินวิญญาณแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ทุกครั้งที่เข้าไปห้ามเกินสามชั่วยาม หนึ่งเดือนเข้าได้แค่สองครั้ง”“หลังจากเข้าไปแล้วซื้อขายได้อย่างอิสระ ทางร้านไม่แบกรับความเสี่ยงในการซื้อขาย นอกจากนี้ข้างในห้ามใช้พลังวิญญาณ เมื่อไรที่ใช้พลังวิญญาณ ก็จะมีผู้คุมกฎปรากฏตัว ทำลายป้ายไม้ ขับออกจากตลาดมืด”เถ้าแก่กล่า
เจ้าของแผงกวาดมองเฟิ่งชิงหร่านอีกครั้งชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน กลิ่นอายสูงสง่า ดุจดอกบัวสีฟ้าเพียงหนึ่งเดียวในโลก ทำให้ผู้พบเห็นต้องตะลึง ด้อยค่าตัวเอง ไม่กล้าสบประมาทเฟิ่งชิงหร่านเห็นเจ้าของแผงเหม่อลอย นางกล่าวเสียงเย็น “ยังมีอะไรอีกหรือ?”เจ้าของแผงหวนคืนสติ สะดุ้งตกใจ รีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายของแม่นาง นั่งค่ายกลเคลื่อนย้ายตามหลังแม่นางใช่หรือไม่?”ดวงตาอันงดงามเฟิ่งชิงหร่านฉายแววสงสัย “เถ้าแก่ถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”“แม่นางอย่าเข้าใจผิด ข้าน้อยแค่อยากบอกแม่นางว่า จุดลงจอดของค่ายกลเคลื่อนย้ายเป็นแบบสุ่ม สหายของแม่นางน่าจะถูกส่งไปที่อื่นแล้ว เจ้ารอที่นี่ไม่มีประโยชน์หรอก”มุมปากเฟิ่งชิงหร่านกระตุกเบาๆ เหตุใดโม่จิงหงไม่พูดเรื่องที่สำคัญเช่นนี้?ถ้าบอกว่าโม่จิงหงไม่รู้เรื่องนี้ ตีให้ตายนางก็ไม่เชื่อ!เดิมทีเฟิ่งชิงหร่านอยากรอให้เจ้าของแผงไปก่อนค่อยไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่ต้องแล้ว “ขอบคุณเถ้าแก่ที่บอก”“แม่นางเกรงใจแล้ว แล้วก็ในตลาดมืดใช้ยันต์ส่งเสียงไม่ได้นะ” เจ้าของแผงเห็นเฟิ่งชิงหร่านถ่อมตนมีมารยาท จึงเตือนด้วยความหวังดี “แม้ตลาดมืดแห่งนี้มีผู้ตรวจตรา แต่แม่นางตัวคนเดียว
เสียงของหยวนเป่าแผ่วเบา “นายหญิง ข้าไม่กล้า ข้าเรียกมัน มันไม่ยอมออกมาแน่นอน”หยวนเป่าไม่กล้าบอกเฟิ่งชิงหร่าน สายเลือดของเจ้าไข่น้อยเผด็จการมาก ถ้าหากมันมีเจตนาร้าย คิดจะแย่งชิงมิตินั้นง่ายนิดเดียวแต่โชคดีตั้งแต่วันแรกที่เจ้าไข่น้อยเข้ามา ก็ได้ทำสัญญาร่วมเป็นร่วมตายกับเฟิ่งชิงหร่านแล้ว จึงไม่เป็นภัยต่อนายหญิงและยังมีบางอย่างที่เฟิ่งชิงหร่านไม่เหมาะที่จะรู้ตอนนี้ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อกันบำเพ็ญเพียรของนาง“ไม่ออกมาหรือ ดีมาก! เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอามงกุฎหยกแล้ว” เฟิ่งชิงหร่านกล่าวข่มขู่ เหมือนกับเด็กที่เอาแต่ใจ“แม่นางน้อย มีตรงไหนที่ไม่พอใจหรือไม่” เจ้าของแผงมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเฟิ่งชิงหราน เริ่มรู้สึกร้อนตัว แม่นางน้อยผู้นี้คงไม่ได้รู้อะไรออกกระมัง?เป็นไปไม่ได้!คนผู้นั้นเคยบอกว่าไอมรณะที่อยู่ข้างในโดนปิดผนึกแล้ว เขาเอาไปขายได้เลย ไม่เป็นอันตรายแน่นอน“มงกุฎหยกนี่ขายอย่างไร?” เฟิ่งชิงหร่านเผยอมุมปากเบาๆ ลูบลูกปัดสีแดงบนมงกุฎหยกทีหนึ่งเป็นไปตามที่คาด มีไข่สีดำใบหนึ่งปรากฏในพื้นที่ที่เฟิ่งชิงหรานสามารถตรวจสอบ บนเปลือกไข่มีอักขระยันต์ที่แปลกประหลาดต่างๆ กะพริบ
เฟิ่งชิงหร่านไม่มีเวลาสนใจจ้าวซื่อ สายตาของนางทอดมองไปที่หน้าแผงขายของของจางซาน ที่นั่นมีเด็กสาววัยราวสิบเอ็ดสิบสองปียืนอยู่ เด็กสาวกำลังคุ้ยหาบางสิ่งบนแผงขายของของจางซาน “เถ้าแก่ ที่ท่านยังมีหินอื่นอีกหรือไม่?” “แม่นางชอบสีอะไรหรือ?” จางซานเผยรอยยิ้มสอพลอเต็มใบหน้า วันนี้เขาเงินไหลเข้ามารัว ๆ เลยจริง ๆ “เอาออกมาให้ข้าดูทั้งหมดเลยสิ” เสียงของเด็กสาวนุ่มนวล ใบหน้าก็น่ารักน่าเอ็นดู จางซานยิ้มกว้าง โบกมือหนึ่งที หินแพรวพราวหลากสีสันจำนวนมากถูกวางกองไว้บนแผงขายของ หินแต่ละก้อนล้วนสวยงามและประณีตมาก ซูเยียนหรานเห็นจำนวนของหินเหล่านั้นแล้วแววตาก็เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ในสถานที่แห่งนี้ใช้พลังวิญญาณไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้สัมผัสเทพตรวจสอบไม่ได้อีกด้วย หินจำนวนมากขนาดนี้นางต้องใช้เวลาตรวจสอบไปจนถึงเมื่อใดกัน “แม่นาง ทั้งหมดในคลังสินค้าของข้าน้อยอยู่ที่นี่หมดแล้ว” จางซานพิจารณาซูเยียนหราน ดรุณีท่านนี้มองแล้วรู้สึกคุ้นตา ทว่าดวงตามิได้ดูใสสะอาดเหมือนแม่นางท่านก่อนหน้านั้นเลย อีกทั้งร่างกายยังแผ่ไอพยาบาทออกมา ไม่น่ายุแหย่ นางคงมิใช่สหายที่แม่นางน้อยท่านนั้นกำลังตามหากระมัง? จางซา
เฟิ่งชิงหร่านซ่อนลมปราณ สวมหน้ากาก และเดินตามซูเยียนหรานเข้าไปในโรงรับจำนำ ในตลาดมืดมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพจำแลงเฝ้าอยู่ประจำ นางไม่จำเป็นต้องกลัวผู้บำเพ็ญระดับหลอมเทพคนนั้นที่ตามซูเยียนหรานมา ภายในโรงรับจำนำมีแม่นางจำนวนมาก แต่เมื่อเฟิ่งชิงหร่านเข้าไป ก็ยังมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ “ไม่ทราบแม่นางต้องการจำนำสิ่งใดขอรับ?” เฟิ่งชิงหร่านไม่เห็นเงาร่างของซูเยียนหราน จึงลองถามหยั่งเชิงว่า “ที่แห่งนี้ทำแค่กิจการรับจำนำเท่านั้นหรือ?” “พวกเราทำการค้าทุกรูปแบบขอรับ ไม่ทราบแม่นางอยากจะทำอะไรหรือขอรับ?” สีหน้าของบ่าวรับใช้เต็มไปด้วยความทะนง แววตาของเฟิ่งชิงหร่านวูบไหวเล็กน้อย นางลองทำท่าปาดคอหยั่งเชิงดู “แล้วไม่ทราบงานแบบนี้รับด้วยหรือไม่?” สีหน้าของบ่าวรับใช้หนุ่มปกติเรียบเฉยเป็นปกติ กวาดตามองรอบด้านแล้ว ก็กดเสียงลงกระซิบว่า “แม่นางตามข้าน้อยมาขอรับ ไปเจรจากันที่ห้องด้านข้างดีกว่า” เฟิ่งชิงหร่านเดินตามบ่าวรับใช้ ครั้นผ่านประตูหลังเข้ามาแล้ว ก็เห็นห้องข้างเรียงรายเป็นแนวยาว ทุกห้องล้วนแต่มีม่านอาคม ตอนที่เดินผ่านหน้าประตูจะไม่สามารถสืบรู้อะไรได้ทั้งสิ้น เฟิ่งชิงหร่านจงใจย่
ซูเยียนหรานครุ่นคิดหน้าหลังครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากกล่าวว่า “คืนแหวนมาให้ข้า เจรจาการค้าคราวนี้เป็นอันยกเลิก” ชายชุดดำคืนแหวนให้ซูเยียนหราน ซูเยียนหรานลุกขึ้นและเดินออกไปนอกห้อง ในขณะที่นางกำลังเปิดประตูออก เสียงแหบพร่าของชายชุดดำก็ดังขึ้น “การทำพันธสัญญากับจิตสำนึกบนแหวนนั่น เกรงว่ามีแค่ที่แห่งนี้เท่านั้นที่สามารถช่วยเจ้าลบล้างได้” ซูเยียนหรานชะงักฝีเท้าเล็กน้อย คนชุดดำเปล่งเสียงอีกครั้ง “หากคนอื่นกล้าสัมผัสแหวนวงนี้ เกรงว่าจะต้องถูกอาคมลึกลับแว้งกัดแน่นอน” “เจ้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?” ซูเยียนหรานมองออกว่าคนชุดดำต้องมีวัตถุประสงค์บางอย่างแน่ ถึงได้คิดจะเป็นศัตรูกับนางมาตลอด ดวงตาดุจนกเหยี่ยวของชายชุดดำฉายประกายเยือกเย็นคมกริบ “แม่นางจำเป็นต้องตอบคำถามของข้าหนึ่งคำถาม เจ้าของแหวนวงนี้ถูกฝังร่างไว้ที่ใด?” นัยน์ตาที่หลุบลงของซูเยียนหรานมีแววตื่นตระหนก เขารู้จักเจ้าของแหวนวงนี้หรือ? มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงได้คอยแต่ถามนี่ถามนั่นอยู่ตลอด ซูเยียนหรานข่มความหวาดกลัวในใจเอาไว้อย่างสุดกำลัง “ข้าไปจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกฝังที่ใด? ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเขาสักหน่อย” ซูเยียนหรานไม่ทันสังเก
เฟิ่งชิงหร่านชะงักฝีเท้า หมุนตัวกลับมา และแสร้งทำเป็นถามอย่างไม่เข้าใจ “การแลกเปลี่ยนไม่สำเร็จก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยหรือ?” “เปล่า! แม่นางน้อยเข้าใจผิดแล้ว” คนชุดดำโบกมือ นัยน์ตาเป็นประกาย “ข้าเพียงต้องการถามแม่นางน้อยว่ามีผลแก่นวิญญาณจริงหรือ?” “มีสิ ในมือศิษย์พี่ใหญ่ข้ายังมีอีกตั้งหลายผลเชียว” เฟิ่งชิงหร่านผงกศีรษะอย่างใสซื่อ และในขณะเดียวกัน ณ สำนักหลิงอวิ๋น ยอดเขาชางหลาน หลิ่วชางหลานจามติดกันถึงสามหน เขาพลิกอ่านเคล็ดวิชาระดับสวรรค์แบบทั้งทรมานแต่ก็สุขใจ พลางพึมพำกับตนเอง “ศิษย์น้องหญิงเล็กช่างสรรหายิ่งนัก การแข่งขันในวงการแบบนี้จะขาดไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้การแล้ว! จะให้คนทรมานมีเพียงข้าไม่ได้ ศิษย์สกุลหลิ่วจะต้องมาร่วมแข่งขันด้วย เขาทำมือมุทรา จากนั้นเหยี่ยวตัวหนึ่งก็บินเข้ามา หลิ่วชางหลานหยิบถุงมิติใบหนึ่งออกมา จากนั้นก็ส่งต่อให้เหยี่ยวตัวนั้นไป หลิ่วชางหลานยิ้มอย่างเบิกบาน แววตาอ่อนโยนฉายประกายสว่างวาบออกมา “นำไปที่เรือนสกุลหลิ่ว ส่งให้ผู้นำตระกูลสกุลหลิ่ว และบอกเขาว่า ศิษย์น้องหญิงเล็กวัยสิบเอ็ดขวบที่ท่านอาจารย์เพิ่งรับเข้ามาในสำนัก บัดนี้ถึงระดับฝึกปราณขั้นห้าแล้ว”
หูอวิ๋นเสียงรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล แต่เขาต้องเอากระดานค่ายกลกลับคืนมาให้ได้ “ข้าไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับสำนักของท่านไม่ใช่หรือ? ข้าศึกษาค่ายกลที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าของท่านไม่ได้หรือไร? ผู้แข็งแกร่งระดับกำเนิดวิญญาณอย่างท่านควรอับอายที่ถือสากับระดับสร้างฐานปราณอย่างข้าใช่หรือไม่?” “ข้าไม่ถือสาเจ้า ย่อมมีคนถือสาเจ้า” ตั้งแต่ต้นจนจบหลิ่วชางหลานเอาแต่จดจ่ออยู่กับมู่เชียนเจวี๋ยที่อยู่ในค่ายกล เมื่อเห็นลมปราณของอีกฝ่ายมั่นคงก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก“ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ระดับสร้างฐานปราณเท่านั้น พวกท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการรังแกผู้อื่นหรือ?” หูอวิ๋นเสียงรู้ว่าทำเช่นนี้จะยั่วโทสะหลิ่วชางหลานได้แต่กระดานค่ายกลก็คือชีวิตของเขา เขาต้องเอากลับมาให้ได้กลิ่นอายของหลิ่วชางหลานเย็นยะเยือกลงโดยสิ้นเชิง “เมื่อเจอคนที่อ่อนแอกว่าเจ้า ก็เรียกร้องว่าผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ก็เรียกความยุติธรรมอีก”องครักษ์เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “คุณชายอย่าเอ่ยอีกเลยขอรับ ท่านอยากให้ทุกคนตายไปพร้อมกับท่านหรือ?”ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นกลัวหูอวิ๋นเสียงยั่วโทสะหลิ่วชางหลานเช
“สหายเต๋า หากข้าบอกว่าข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้น ท่านจะเชื่อหรือไม่?” หูอวิ๋นเสียงพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง“หากเดินผ่านมาจำเป็นต้องหยิบกระดานค่ายกลระดับห้ามาทำลายค่ายกลด้วยหรือ?” นัยน์ตาอ่อนโยนของหลิ่วชางหลานฉายแววเย็นชา เสียงทุ้มต่ำลง หูอวิ๋นเสียงทำหน้าหวาดหวั่น หลิ่วชางหลานก็เป็นผู้ใช้ค่ายกลด้วยเหมือนกัน!ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพจำแลงลงไป มองระดับของกระดานค่ายกลออกในแวบเดียวจะต้องเป็นผู้ใช้ค่ายกลอย่างแน่นอน“สหายเต๋า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิดทั้งนั้น ให้โอกาสข้าเถิด ข้าจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” หูอวิ๋นเสียงอยากหลบหนีไปมาก ๆ แต่ก็ไม่กล้าผู้คนประหลาดใจกับผู้ใช้ค่ายกลอย่างหูอวิ๋นเสียง คิดไม่ถึงว่าจะหวาดกลัวต่อการปรากฏตัวของผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่“กระดานค่ายกลนี้เป็นกระดานค่ายกลระดับห้าจริง ๆ หรือ?” มีคนที่อยู่ทางด้านข้างพูดคุยกันเสียงเบาทุกคนต่างรู้ว่าระดับของกระดานค่ายกลคล้ายคลึงกับระดับของอาวุธอาคม แบ่งออกเป็น ระดับหนึ่งถึงสิบ ระดับเซียน ระดับศักดิ์สิทธิ์ ระดับจักรพรรดิ และระดับเทวะปัจจุบันนี้วิชาค่ายกลตกต่ำลง วิชาที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลและอาวุธอ
“ข้ามั่นใจมากว่านี่คือไม้การบูรทองคำ ตระกูลของเราเคยซื้อมาทำหอเก็บสมบัติ เกือบถลุงสมบัติทั้งตระกูลจนหมดเกลี้ยงแล้ว!”เมื่อได้ยินน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของคนผู้นี้ ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็มองหน้ากัน จากนั้นก็มองรั้วไม้การบูรทองคำสุดลูกหูลูกตา แล้วอุทานด้วยความตกตะลึง นี่ลงทุนมากเพียงใดกัน? มีคนผู้หนึ่งมองด้วยแววตาสำรวจ “เหตุใดสำนักหลิงอวิ๋นถึงใช้ไม้การบูรทองคำได้? เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักหลิงอวิ๋นมาก่อนเลย? ยิ่งไม่เคยเห็นคนของสำนักหลิงอวิ๋นในงานชุมนุมใหญ่ประจำสำนักด้วย?” “มีแค่ข้าคนเดียวหรือที่สงสัยว่าเหตุใดสำนักหลิงอวิ๋นถึงไม่กลัวว่าไม้การบูรทองคำจะถูกขโมย?” หูอวิ๋นเสียงที่ยืนอยู่ข้างรั้วถือไม้การบูรทองคำชิ้นหนึ่งไว้ในมือผู้คนเบิกตาโตมองหูอวิ๋นเสียง คนผู้นี้โง่เง่าไปแล้วกระมัง!ไม้การบูรทองคำเหล่านี้มีรอยตราของผู้แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด และสาเหตุที่ไม้การบูรทองคำล้ำค่าถึงเพียงนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือรอยตราบนตัวมันลบได้เฉพาะผู้ที่ประทับตราเท่านั้น หากสูญหายย่อมตามหาคืนได้ง่ายอย่างยิ่งดังนั้นจึงไม่มีคนโง่ไปขโมยไม้การบูรทองคำ มีแต่เลือกซื้อจากในมือเจ้าของเท่านั้น
“ศิษย์พี่เจ็ด เรื่องสำคัญเช่นนนี้ เหตุใดท่านไม่บอกข้าเลยเจ้าคะ?” เมื่อเฟิ่งชิงหร่านคิดว่าหลวนจิ่นกินหมูร้อยตัวต่อหนึ่งมื้อ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยหดหู่ใจ หลวนจิ่นคงไม่หิวจัดจนกลืนนางลงไปด้วยหรอกใช่หรือไม่? “ศิษย์น้องเล็ก ไม่เคยถามเลยนี่นา”เมื่อได้ยินคำตอบตามหลักเหตุผลของโม่จิงหง ศีรษะของเฟิ่งชิงหร่านก็เต็มไปด้วยขีดดำ ของแบบนี้จำเป็นต้องถามก่อนถึงจะบอกได้หรือ?“ศิษย์น้องเล็กวางใจได้ หลวนจิ่นกินอาหารเพียงเดือนละครั้ง ไม่มีทางเอาเจ้าเข้าปากหรอก” “ศิษย์พี่เจ็ด การวางกลอุบายของท่านยาวไกลยิ่งกว่าเส้นทางบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนเสียอีก!” เฟิ่งชิงหร่านตระหนักได้ในบัดดลว่าไม่อาจโดนดวงหน้าหล่อเหลาหาใดเทียมของศิษย์พี่เจ็ดมาหลอกลวงได้แล้วจริง ๆอาจารย์ให้ศิษย์พี่เจ็ดดูแลสำนัก ช่างเหมาะสมยิ่งนัก บุรุษผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายอย่างแท้จริง!โชคดีที่ศิษย์พี่เจ็ดไม่ใช่ศัตรูของนาง ไม่อย่างนั้นนางคงต้องหาถ้ำสักแห่งเพื่ออยู่เอาตัวรอดไปวัน ๆ ไม่ออกมาอีกเลย!โม่จิงหงสบตากับเฟิ่งชิงหร่านที่โกรธกระฟัดกระเฟียด ไอเย็นเยียบบนร่างเลือนหายไปอีกไม่น้อย ก่อนจะลูบศีรษะนาง “ไม่บอกเจ้าก็เพราะหวังดีกับเจ้านะ วางใจได้ห
บรรยากาศในสำนักหลิงอวิ๋นนั้นดีมาก ไม่เคยเกิดเรื่องแก่งแย่งชิงดีกันเลยแต่ผู้บำเพ็ญเพียรก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เมื่อเป็นมนุษย์ก็จะมีความโปรดปราน ภายในสำนักหลิงอวิ๋ง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่สี่จะสนิทสนมกันมากกว่า ศิษย์พี่หญิงสามกับศิษย์พี่หญิงห้าก็สนิทกันราวกับพี่สาวน้องสาว พูดคุยกันได้ทุกเรื่องศิษย์พี่หกชอบเกาะติดศิษย์พี่หญิงห้ากับศิษย์พี่แปด ศิษย์พี่รองไปไหนมาไหนคนเดียว มักจะหาตัวไม่เจออยู่เป็นประจำ มีเพียงโม่จิงหงเท่านั้นที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้กับทุกคน แต่เขากลับคอยรักษาระยะห่างกับทุกคนเสียเองโม่จิงหงดีกับทุกคนในสำนักมาก แหวนสุเมรุบนมือของทุกคนล้วนเป็นสิ่งที่เขาหลอมขึ้นมา รวมถึงอาวุธป้องกันตัวและยาลูกกลอนต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เขามอบให้โดยอาศัยนามของเย่เวิ่นเทียนอีกทั้งชาที่เตรียมไว้ให้แต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไปหากไม่ใช่เพราะโม่จิงหง นางสงสัยว่าสำนักหลิงอวิ๋นคงจะแยกตัวกันไปนานแล้ว อย่างไรเสียอาจารย์ก็ไม่มีความน่าเชื่อถือมากเกินไป! สองปีแล้ว อย่าว่าแต่อาจารย์ไม่เคยกลับมาที่สำนักหลิงอวิ๋นเลย ยังไม่มีข่าวคราวอีกด้วยเฟิ่งชิงหร่านคิดได้ดังนั้นก็อดรู้สึกปวดใจแทนโม่จิงหงนิดหน่อยไ
หลังจากที่เฟิ่งชิงหร่านรู้จากหยวนเป่าว่ากำไลวิญญาณคู่ไม่สามารถต้านทานอัสนีบาตได้ นางก็อดรู้สึกท้อแท้ใจนิดหน่อยไม่ได้อัสนีบาตสายที่สามผ่าลงมา ยันต์อาคมด้านหลังฉินหานเยียนหลุดออกอีกหนึ่งแผ่นฉินหานเยียนกัดฟัน ปรับลมหายใจที่ปั่นป่วน ใบหน้าของนางไม่มีสีเลือดเลยแม้แต่น้อย เนื้อหนังภายใต้ชุดนักพรตปรากฎรอยปริแตกเป็นสาย ๆ ความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ส่งมาจากทั่วทั้งร่างฉินหานเยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวจากในอัสนีบาตสวรรค์ ราวกับว่าอัสนีบาตรสวรรค์ทุกสายต้องการคร่าชีวิตนางให้ดับสิ้นโดยไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียวศิษย์น้องเจ็ดพูดถูกต้องมาก อัสนีบาตสวรรค์ผิดปกติจริง ๆ ด้วยตามบันทึกในตำราโบราณ หลังจากที่อัสนีบาตสวรรค์ผ่าลงมาแล้ว จะช่วยชำระล้างร่างกายให้ผู้บำเพ็ญเพียร ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้นางรู้สึกแค่ว่าอัสนีบาตสวรรค์ต้องการทำลายนางเท่านั้น ไม่ได้ชำระล้างเส้นเอ็นให้นางเลยด่านเคราะห์อัสนีระดับกำเนิดวิญญาณสิบแปดสาย สายแรกชำระล้างร่างกาย สายที่สองซ่อมแซมกล้ามเนื้อเส้นเอ็นขยายเส้นลมปราณ สายที่สามเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูก สายที่สี่ชำระล้างรากวิญญาณ
หนิงซือเยว่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ไม่สนใจไป๋หลี่เหวินเยว่เวลานี้ฉินหานเยียนสวมชุดบางเบา ชุดกระโปรงพลิ้วไปตามสายลม ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเลยสักนิดเดียว หนิงซือเยว่เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะแปะยันต์อาคมหลายแผ่นไว้ที่แผ่นหลังของฉินหานเยียนจากนั้นก็ขี่กระบี่จากไปอย่างรวดเร็ว แล้วร่อนลงมาเบื้องหน้าไป๋หลี่เหวินเยว่หนิงซือเยว่เดินเข้ามาคว้าหูของไป๋หลี่เหวินเยว่ ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ที่เจ้าตะโกนเมื่อครู่นี้เกือบทำให้ข้าตกใจตายแล้ว!”“เจ็บ ๆๆ ศิษย์พี่หญิงห้า รีบปล่อยมือเถิด ข้าผิดไปแล้ว” ไป๋หลี่เหวินเยว่ไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงอ้อนวอนไม่หยุด “ฮึ!” หนิงซือเยว่แค่นเสียงเย็น แล้วปล่อยหูไป๋หลี่เหวินเยว่“ข้ามาช้าก็เพราะยันต์อาคมหลายใบนั้น มีพวกมันอยู่ สามารถต้านด่านเคราะห์อัสนีถึงแก่ชีวิตแทนศิษย์พี่หญิงสามได้ในช่วงเวลาสำคัญ ข้าเสี่ยงชีวิตไปติดยันต์ ปรากฏว่าเจ้าดันทำให้ข้าตกใจ หากข้ามือสั่นจนยันต์พังขึ้นมาจะทำอย่างไร?”เมื่อได้ยินหนิงซือเยว่เอ่ยเช่นนี้ ไป๋หลี่เหวินเยว่ถึงค่อยตระหนักได้ว่าตนทำความผิดมากเพียงใด เฟิ่งชิงหร่านที่อยู่ทางด้านข้างนึกดีใจ ยังดีที่เมื่อค
สองปีต่อมาเมฆดำแผ่คลุมท้องฟ้าเหนือสำนักหลิงอวิ๋น ครืน!ครืน!กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักหลิงอวิ๋น ทำให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนที่กำลังปิดด่านฝึกตนตื่นตกใจทั่วทั้งเขตชิงอวิ๋น ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับหลอมเทพขึ้นไปล้วนรู้สึกได้ว่าเมฆเขาสั่นไหว แผ่นดินภูเขาโยกคลอนเฟิ่งชิงหร่านเพิ่งจะคงระดับพลังให้มีเสถียรภาพเสร็จ เมื่อเดินออกจากถ้ำก็ตกใจกับเสียงฟ้าร้องจนสะดุ้งโหยง ดูเหมือนนางยังไม่ถึงเวลาที่จะทะลวงระดับไม่ใช่หรือ? “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที รีบตามข้ามาเร็ว!” บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกลยืนอยู่บนกระเรียนเหาะเข้ามา รูปร่างดูสง่างามราวกับต้นไผ่ ดูโดดเด่นมีราศี ดวงหน้าแฝงไปด้วยความหยิ่งทระนง “ศิษย์พี่หก คงไม่ได้เจอปัญหาตอนบำเพ็ญเพียรหรอกกระมัง?” เฟิ่งชิงหร่านถามพลางยิ้มจนดวงตาโค้งไป๋หลี่เหวินเยว่หน้าแข็งทื่อ ช่วงเวลาสองปีมานี้ เขาฝืนบีบคั้นตนเองให้เลื่อนจากระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางไปอยู่ขั้นปลาย เพื่อไม่ให้ด้อยกว่าคนอื่นในสำนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาสามารถใช้เวลาเพียงแปดปีเลื่อนจากระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางไปอยู่ระดับแก่นปราณทองคำขั
เขตชิงอวิ๋น เมืองหลักของเขตสำนักประมูลซูม่อ สาขาหลักบุรุษชุดดำเดินเจอไป๋หลี่เยวียนม่อแล้วก็ยื่นกล่องวิจิตรงดงามให้สองกล่องมือขาวเนียนราวหยกของไป๋หลี่เยวียนม่อรับกล่องไว้ จากนั้นเสียงที่ชวนให้หลงใหลก็ดึงขึ้นว่า “คราวนี้เป็นของดีอันใดหรือ? ถึงกับทำให้รองผู้ดูแลต้องลำบากมาด้วยตนเอง?”เสียงเย้ายวนใจลอดเข้ามาในหู บุรุษชุดดำใจสั่นสะท้าน เขารีบตั้งสติทันที “ท่านเจ้าหอกำชับว่า ครั้งนี้นางต้องการส่วนแบ่งร้อนละเก้าสิเก้า”ไป๋หลี่เยวียนม่ออึ้งไปเล็กน้อย ดวงหน้างดงามราวกับหยกประดับกวนฉายแววสนใจขึ้นมา นัยน์ตาสีม่วงพราวเสน่ห์ ความสว่างและความมืดร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แสงเงาไหลเวียนเป็นกระแสไป๋หลี่เยวียนม่อยกมือขึ้นไปปลดยันต์ผนึกบนกล่อง อยากจะเปิดออกบุรุษชุดดำรีบส่งเสียงว่า “ท่านประมุข ไม่ได้นะขอรับ กางเขตอาคมเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะเกิดความปั่นป่วนได้” ขุมกำลังในเมืองหลักของเขตสลับซับซ้อนมาก อีกทั้งยังมีสำนักใหญ่หลายแห่ง ยอดฝีมือระดับหลอมเทพก็มีอยู่ไม่น้อย เมื่อกลิ่นอายของผลแก่นวิญญาณหลุดรอดออกไปก็จะนำปัญหามาได้นัยน์ตาสีม่วงของไป๋หลี่เยวียนม่อดำทะมึนขึ้นมาแวบหนึ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว “