เฟิ่งชิงหร่านซ่อนลมปราณ สวมหน้ากาก และเดินตามซูเยียนหรานเข้าไปในโรงรับจำนำ ในตลาดมืดมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพจำแลงเฝ้าอยู่ประจำ นางไม่จำเป็นต้องกลัวผู้บำเพ็ญระดับหลอมเทพคนนั้นที่ตามซูเยียนหรานมา ภายในโรงรับจำนำมีแม่นางจำนวนมาก แต่เมื่อเฟิ่งชิงหร่านเข้าไป ก็ยังมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ “ไม่ทราบแม่นางต้องการจำนำสิ่งใดขอรับ?” เฟิ่งชิงหร่านไม่เห็นเงาร่างของซูเยียนหราน จึงลองถามหยั่งเชิงว่า “ที่แห่งนี้ทำแค่กิจการรับจำนำเท่านั้นหรือ?” “พวกเราทำการค้าทุกรูปแบบขอรับ ไม่ทราบแม่นางอยากจะทำอะไรหรือขอรับ?” สีหน้าของบ่าวรับใช้เต็มไปด้วยความทะนง แววตาของเฟิ่งชิงหร่านวูบไหวเล็กน้อย นางลองทำท่าปาดคอหยั่งเชิงดู “แล้วไม่ทราบงานแบบนี้รับด้วยหรือไม่?” สีหน้าของบ่าวรับใช้หนุ่มปกติเรียบเฉยเป็นปกติ กวาดตามองรอบด้านแล้ว ก็กดเสียงลงกระซิบว่า “แม่นางตามข้าน้อยมาขอรับ ไปเจรจากันที่ห้องด้านข้างดีกว่า” เฟิ่งชิงหร่านเดินตามบ่าวรับใช้ ครั้นผ่านประตูหลังเข้ามาแล้ว ก็เห็นห้องข้างเรียงรายเป็นแนวยาว ทุกห้องล้วนแต่มีม่านอาคม ตอนที่เดินผ่านหน้าประตูจะไม่สามารถสืบรู้อะไรได้ทั้งสิ้น เฟิ่งชิงหร่านจงใจย่
ซูเยียนหรานครุ่นคิดหน้าหลังครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากกล่าวว่า “คืนแหวนมาให้ข้า เจรจาการค้าคราวนี้เป็นอันยกเลิก” ชายชุดดำคืนแหวนให้ซูเยียนหราน ซูเยียนหรานลุกขึ้นและเดินออกไปนอกห้อง ในขณะที่นางกำลังเปิดประตูออก เสียงแหบพร่าของชายชุดดำก็ดังขึ้น “การทำพันธสัญญากับจิตสำนึกบนแหวนนั่น เกรงว่ามีแค่ที่แห่งนี้เท่านั้นที่สามารถช่วยเจ้าลบล้างได้” ซูเยียนหรานชะงักฝีเท้าเล็กน้อย คนชุดดำเปล่งเสียงอีกครั้ง “หากคนอื่นกล้าสัมผัสแหวนวงนี้ เกรงว่าจะต้องถูกอาคมลึกลับแว้งกัดแน่นอน” “เจ้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?” ซูเยียนหรานมองออกว่าคนชุดดำต้องมีวัตถุประสงค์บางอย่างแน่ ถึงได้คิดจะเป็นศัตรูกับนางมาตลอด ดวงตาดุจนกเหยี่ยวของชายชุดดำฉายประกายเยือกเย็นคมกริบ “แม่นางจำเป็นต้องตอบคำถามของข้าหนึ่งคำถาม เจ้าของแหวนวงนี้ถูกฝังร่างไว้ที่ใด?” นัยน์ตาที่หลุบลงของซูเยียนหรานมีแววตื่นตระหนก เขารู้จักเจ้าของแหวนวงนี้หรือ? มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงได้คอยแต่ถามนี่ถามนั่นอยู่ตลอด ซูเยียนหรานข่มความหวาดกลัวในใจเอาไว้อย่างสุดกำลัง “ข้าไปจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกฝังที่ใด? ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเขาสักหน่อย” ซูเยียนหรานไม่ทันสังเก
เฟิ่งชิงหร่านชะงักฝีเท้า หมุนตัวกลับมา และแสร้งทำเป็นถามอย่างไม่เข้าใจ “การแลกเปลี่ยนไม่สำเร็จก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยหรือ?” “เปล่า! แม่นางน้อยเข้าใจผิดแล้ว” คนชุดดำโบกมือ นัยน์ตาเป็นประกาย “ข้าเพียงต้องการถามแม่นางน้อยว่ามีผลแก่นวิญญาณจริงหรือ?” “มีสิ ในมือศิษย์พี่ใหญ่ข้ายังมีอีกตั้งหลายผลเชียว” เฟิ่งชิงหร่านผงกศีรษะอย่างใสซื่อ และในขณะเดียวกัน ณ สำนักหลิงอวิ๋น ยอดเขาชางหลาน หลิ่วชางหลานจามติดกันถึงสามหน เขาพลิกอ่านเคล็ดวิชาระดับสวรรค์แบบทั้งทรมานแต่ก็สุขใจ พลางพึมพำกับตนเอง “ศิษย์น้องหญิงเล็กช่างสรรหายิ่งนัก การแข่งขันในวงการแบบนี้จะขาดไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้การแล้ว! จะให้คนทรมานมีเพียงข้าไม่ได้ ศิษย์สกุลหลิ่วจะต้องมาร่วมแข่งขันด้วย เขาทำมือมุทรา จากนั้นเหยี่ยวตัวหนึ่งก็บินเข้ามา หลิ่วชางหลานหยิบถุงมิติใบหนึ่งออกมา จากนั้นก็ส่งต่อให้เหยี่ยวตัวนั้นไป หลิ่วชางหลานยิ้มอย่างเบิกบาน แววตาอ่อนโยนฉายประกายสว่างวาบออกมา “นำไปที่เรือนสกุลหลิ่ว ส่งให้ผู้นำตระกูลสกุลหลิ่ว และบอกเขาว่า ศิษย์น้องหญิงเล็กวัยสิบเอ็ดขวบที่ท่านอาจารย์เพิ่งรับเข้ามาในสำนัก บัดนี้ถึงระดับฝึกปราณขั้นห้าแล้ว”
นอกประตู สามคนกำลังแนบหูติดกับบานประตู ทว่ากลับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น “เจ้าห้า เจ้าว่าที่พี่ใหญ่ไล่พวกเราออกมา คงมิใช่เพราะคิดจะฆ่าคนแล้วปล้นเอาสมบัติไปหรอกกระมัง?” เจ้าสามคาดเดา “หา! ไม่กระมัง หากคิดจะทำเช่นนี้จริงแล้วผลแก่นวิญญาณของข้าจะทำอย่างไร?” ใบหน้าของเจ้าหาฉายแววตื่นตระหนกทันที เพียะ! คนชุดดำตบศีรษะของสองคนพร้อมกัน “เจ้าโง่ พี่ใหญ่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นระดับเทพจำแลงแล้ว ลงมือกับแม่นางน้อยระดับฝึกปราณคนเดียว นางไม่ต้องการชื่อเสียงเกียรติยศแล้วหรือ?!” เจ้าสามและเจ้าห้าสบตากัน ก่อนจะเอ่ยพร้อมกันเป็นเสียงเดียว “ฆ่าปิดปากเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว เรื่องแบบนี้ก็จะกลายเป็นความลับที่มีแค่ฟ้าดินรู้ เจ้ารู้ และพวกข้ารู้” คนชุดดำสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ข่มอารมณ์อยากชกหน้าคนไว้อย่างยิ่งยวด “เหอะ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงได้ทำภารกิจเดียวอยู่สามสิบปี ที่แท้มิใช่เพราะขาดฝีมือ แต่ขาดสมอง!” ฆ่าปิดปากดูเหมือนง่าย ความจริงรังแต่จะนำพาปัญหาความวุ่นวายนับไม่ถ้วนมาให้ ยิ่งไปกว่านั้นเฟิ่งชิงหร่านวัยเพียงสิบเอ็ดสิบสองเท่านั้น กลับบำเพ็ญเพียรถึงระดับฝึกปราณขั้นห้าได้แล้ว ผู้น้อยที่มี
โรงเตี๊ยมหลิงอวิ๋น ห้องรับรองส่วนตัว “ศิษย์พี่เจ็ด ท่านดูจะว่างมากเลยนะ?” เฟิ่งชิงหร่านมองเด็กหนุ่มที่คิ้วคางงามปานภาพวาดตรงหน้า นางมองบนจนตาขาวแทบจะไปอยู่บนฟ้าแล้ว สรุปง่าย ๆ คือโม่จิงหงไม่ยังไม่ได้เข้าไปในตลาดมืดเลยด้วยซ้ำ หลังจากเขาหลอกให้ตนเองเข้าไปในตลาดมืดแล้ว ก็กลับมาจิบน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่ที่นี่ โม่จิงหงวางชาใสไว้ตรงหน้าเฟิ่งชิงหร่าน “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ดื่มน้ำชาถ้วยนี้หมด ก็ควรจะกลับไปฝึกบำเพ็ญเพียรที่สำนักได้แล้ว” เฟิ่งชิงหร่านกำถ้วยชาแน่น ข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้เผลอสาดน้ำชาใส่หน้าโม่จิงหง ไม่ได้! จะสาดไม่ได้! ตอนนี้นางยังสู้เขาไม่ได้ เฟิ่งชิงหร่านดื่มน้ำชาหมดเกลี้ยงในอึกเดียว วางถ้วยชาลง ลุกขึ้นและเดินออกไปทันที ไม่แม้แต่จะรอโม่จิงหง โม่จิงหงมองเฟิ่งชิงหร่านที่เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ชงชาอย่างใจเย็น กระทั่งเรียบร้อยจึงลุกขึ้น ...... นอกเมืองจู้จ้าว เฟิ่งชิงหร่านบังเอิญได้พบซูเยียนหรานที่นางพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด ความรู้สึกในใจของนางซับซ้อนยิ่งนัก ทางหนึ่งนางมีความคิดอยากสังหารซูเยียนหราน ทว่าอีกทางหนึ่งก็ยังมีเรื่องราว
ซูเยียนหรานชะงักงันไปในเสี้ยวพริบตา แววตาฉายประกายตื่นเต้นยินดี เขาเป็นศิษย์พี่ของนางอย่างนั้นหรือ ทว่าศิษย์พี่ผู้ซึ่งมีรูปโฉมสะเทือนฟ้าเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่มีอยู่ในความทรงจำของนางแม้สักเสี้ยว? “คารวะศิษย์พี่” ซูเยียนหรานน้ำเสียงอ่อนโยนลง ดวงหน้างดงามแดงระเรื่อ ท่าทางตื่นเต้นเพราะได้รับความเอ็นดูโดยไม่นึกฝัน ทว่าการเคลื่อนไหวต่อมาของโม่จิงหงกลับทำให้ซูเยียนหรานสีหน้าซีดเผือด เขาเดินตรงไปหาเฟิ่งชิงหร่าน โม่จิงหงเลื่อนมือยื่นขนมถังหูลู่ไม้หนึ่งส่งให้เฟิ่งชิงหร่าน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดว่า “เป็นของขวัญไถ่โทษสำหรับศิษย์น้องหญิงเล็ก” “ถือว่าท่านรู้จักอ่านสถานการณ์” เฟิ่งชิงหร่านรับขนมถังหูลู่มา และกัดไปหนึ่งคำ ซานจายังมีพลังลมปราณแฝงไว้จาง ๆ นัยน์ตาผลซิ่งของเฟิ่งชิงหร่านสะท้อนประกาย มันคืออาหารวิญญาณ มิน่าโม่จิงหงถึงได้มาช้านัก ที่แท้ก็ไปตั้งใจหาอาหารวิญญาณนั่นเอง หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็เดินผ่านซูเยียนหรานไป ไม่แม้แต่จะแลมองซูเยียนหรานสักสายตา ซูเยียนหรานงอห้านิ้ว กำมือแน่น ใบหน้าค่อย ๆ บิดเบี้ยว เฟิ่งชิงหร่านไม่มีสำนักสักหน่อย เหตุใดถึงมีศิษย์พี่ซึ่งงามเลิศจนน
ห่างออกไปไม่ไกลนัก ใครบางคนตะโกนด้วยเสียงสั่นว่า “เขา…เขา…เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรระดับกำเนิดวิญญาณ ทุกคนหลบ! รีบไปเรียกหน่วยองครักษ์มา!” “จะเป็นไปได้อย่างไร? ดูจากโครงร่างเขาเพิ่งจะวัยเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้น จะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญระดับกำเนิดวิญญาณได้อย่างไร?” “ล้อเล่นอะไร ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับกำเนิดวิญญาณที่วัยเพียงยี่สิบกว่า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” “เขาคลุกคลีกับผู้บำเพ็ญเพียรสายมาร ยังมีอะไรเป็นไปไม่ได้อีก? เขาจะต้องฝึกเคล็ดวิชาต้องห้ามบางอย่าง เพื่อดันพลังบำเพ็ญเพียรให้ถึงระดับก่อกำเนิดแน่” …… ซูเยียนหรานได้ฟังคำพูดของทุกคน ราวกับมีเสียงอสนีบาตดังสนั่นข้างใบหู เหงื่อเย็นไหลชุ่มท่วมตัว เมื่อตระหนักได้ว่าหากโม่จิงหงอยากฆ่านางก็แค่ผงกศีรษะทีเดียว นางก็ไม่มีจิตใจไปคิดถึงเรื่องกำไลอีกแล้ว ซูเยียนหรานจ้องมองโม่จิงหงอย่างหวาดระแวง ก่อนจะสืบเท้าถอยหลังไปด้วยความระมัดระวัง โม่จิงหงใช้สันมือฟาดลงไปที่หลังคอของเฟิ่งชิงหร่านสับเดียว ทันใดนั้น เฟิ่งชิงหร่านพลันหลับตา หมดสติ ทรุดกายล้มลงในอ้อมอกของโม่จิงหง โม่จิงหงอุ้มร่างเฟิ่งชิงหร่านไว้ ทันใดนั้นกระบี่เล่มหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากช่องแขนเสื
ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถทะลวงถึงระดับกำเนิดวิญญาณได้จริง จำเป็นต้องมีคุณสมบัติทั้งปัญญา โอกาส ทรัพยากร ความหยั่งรู้ และสภาพจิตใจที่เข้มแข็งทรหด มิอาจขาดได้แม้สิ่งเดียว ในแผ่นดินจิ่วโจว คนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วนมีจำนวนน้อยอย่างยิ่ง โจวจี๋หรานย่อมรู้ว่าคำพูดของจางปิ่งแฝงความหมายอะไรไว้ ความเป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วนแล่นแวบเข้ามาในสมองของเขา ก็เอ่ยปากว่า “ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ที่สามารถทำให้ทะลวงได้ถึงระดับกำเนิดวิญญาณในวัยยี่สิบกว่า สิ่งนั้นก็คือการฝึกเคล็ดวิชาหลอมโลหิตสังเวยสวรรค์ โดยอาศัยการผลาญอายุขัยเพื่อแลกกับการฝืนเพิ่มระดับการบำเพ็ญ” จางปิ่งส่ายศีรษะ “สิ่งของที่เกี่ยวกับเคล็ดวิชาหลอมโลหิตสังเวยสวรรค์ถูกทำลายตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว เขาต้องไม่มีจึงจะถูก” ได้ยินถ้อยคำของจางปิ่ง คิ้วเรียวรูปดาบของโจวจี๋หรานก็ขมวดปมเล็กน้อย ความจริงเขาเองก็ไม่เชื่อนักหรอก ว่าโม่จิงหงผู้ซึ่งอากัปกิริยาสูงส่งไร้ใดเปรียบจะฝึกเคล็ดวิชาหลอมโลหิตสังเวยสวรรค์ พูดอีกอย่างสำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร สิ่งที่เสาะแสวงหาก็คือการมีอายุยืนยาวเทียบเท่าฟ้าดิน วิธีการฝึกบำเพ็ญที่ต้องใช้อายุขัยแลกมานั้นเสี่
หูอวิ๋นเสียงรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล แต่เขาต้องเอากระดานค่ายกลกลับคืนมาให้ได้ “ข้าไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับสำนักของท่านไม่ใช่หรือ? ข้าศึกษาค่ายกลที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าของท่านไม่ได้หรือไร? ผู้แข็งแกร่งระดับกำเนิดวิญญาณอย่างท่านควรอับอายที่ถือสากับระดับสร้างฐานปราณอย่างข้าใช่หรือไม่?” “ข้าไม่ถือสาเจ้า ย่อมมีคนถือสาเจ้า” ตั้งแต่ต้นจนจบหลิ่วชางหลานเอาแต่จดจ่ออยู่กับมู่เชียนเจวี๋ยที่อยู่ในค่ายกล เมื่อเห็นลมปราณของอีกฝ่ายมั่นคงก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก“ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ระดับสร้างฐานปราณเท่านั้น พวกท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการรังแกผู้อื่นหรือ?” หูอวิ๋นเสียงรู้ว่าทำเช่นนี้จะยั่วโทสะหลิ่วชางหลานได้แต่กระดานค่ายกลก็คือชีวิตของเขา เขาต้องเอากลับมาให้ได้กลิ่นอายของหลิ่วชางหลานเย็นยะเยือกลงโดยสิ้นเชิง “เมื่อเจอคนที่อ่อนแอกว่าเจ้า ก็เรียกร้องว่าผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ก็เรียกความยุติธรรมอีก”องครักษ์เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “คุณชายอย่าเอ่ยอีกเลยขอรับ ท่านอยากให้ทุกคนตายไปพร้อมกับท่านหรือ?”ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นกลัวหูอวิ๋นเสียงยั่วโทสะหลิ่วชางหลานเช
“สหายเต๋า หากข้าบอกว่าข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้น ท่านจะเชื่อหรือไม่?” หูอวิ๋นเสียงพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง“หากเดินผ่านมาจำเป็นต้องหยิบกระดานค่ายกลระดับห้ามาทำลายค่ายกลด้วยหรือ?” นัยน์ตาอ่อนโยนของหลิ่วชางหลานฉายแววเย็นชา เสียงทุ้มต่ำลง หูอวิ๋นเสียงทำหน้าหวาดหวั่น หลิ่วชางหลานก็เป็นผู้ใช้ค่ายกลด้วยเหมือนกัน!ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพจำแลงลงไป มองระดับของกระดานค่ายกลออกในแวบเดียวจะต้องเป็นผู้ใช้ค่ายกลอย่างแน่นอน“สหายเต๋า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิดทั้งนั้น ให้โอกาสข้าเถิด ข้าจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” หูอวิ๋นเสียงอยากหลบหนีไปมาก ๆ แต่ก็ไม่กล้าผู้คนประหลาดใจกับผู้ใช้ค่ายกลอย่างหูอวิ๋นเสียง คิดไม่ถึงว่าจะหวาดกลัวต่อการปรากฏตัวของผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่“กระดานค่ายกลนี้เป็นกระดานค่ายกลระดับห้าจริง ๆ หรือ?” มีคนที่อยู่ทางด้านข้างพูดคุยกันเสียงเบาทุกคนต่างรู้ว่าระดับของกระดานค่ายกลคล้ายคลึงกับระดับของอาวุธอาคม แบ่งออกเป็น ระดับหนึ่งถึงสิบ ระดับเซียน ระดับศักดิ์สิทธิ์ ระดับจักรพรรดิ และระดับเทวะปัจจุบันนี้วิชาค่ายกลตกต่ำลง วิชาที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลและอาวุธอ
“ข้ามั่นใจมากว่านี่คือไม้การบูรทองคำ ตระกูลของเราเคยซื้อมาทำหอเก็บสมบัติ เกือบถลุงสมบัติทั้งตระกูลจนหมดเกลี้ยงแล้ว!”เมื่อได้ยินน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของคนผู้นี้ ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็มองหน้ากัน จากนั้นก็มองรั้วไม้การบูรทองคำสุดลูกหูลูกตา แล้วอุทานด้วยความตกตะลึง นี่ลงทุนมากเพียงใดกัน? มีคนผู้หนึ่งมองด้วยแววตาสำรวจ “เหตุใดสำนักหลิงอวิ๋นถึงใช้ไม้การบูรทองคำได้? เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักหลิงอวิ๋นมาก่อนเลย? ยิ่งไม่เคยเห็นคนของสำนักหลิงอวิ๋นในงานชุมนุมใหญ่ประจำสำนักด้วย?” “มีแค่ข้าคนเดียวหรือที่สงสัยว่าเหตุใดสำนักหลิงอวิ๋นถึงไม่กลัวว่าไม้การบูรทองคำจะถูกขโมย?” หูอวิ๋นเสียงที่ยืนอยู่ข้างรั้วถือไม้การบูรทองคำชิ้นหนึ่งไว้ในมือผู้คนเบิกตาโตมองหูอวิ๋นเสียง คนผู้นี้โง่เง่าไปแล้วกระมัง!ไม้การบูรทองคำเหล่านี้มีรอยตราของผู้แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด และสาเหตุที่ไม้การบูรทองคำล้ำค่าถึงเพียงนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือรอยตราบนตัวมันลบได้เฉพาะผู้ที่ประทับตราเท่านั้น หากสูญหายย่อมตามหาคืนได้ง่ายอย่างยิ่งดังนั้นจึงไม่มีคนโง่ไปขโมยไม้การบูรทองคำ มีแต่เลือกซื้อจากในมือเจ้าของเท่านั้น
“ศิษย์พี่เจ็ด เรื่องสำคัญเช่นนนี้ เหตุใดท่านไม่บอกข้าเลยเจ้าคะ?” เมื่อเฟิ่งชิงหร่านคิดว่าหลวนจิ่นกินหมูร้อยตัวต่อหนึ่งมื้อ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยหดหู่ใจ หลวนจิ่นคงไม่หิวจัดจนกลืนนางลงไปด้วยหรอกใช่หรือไม่? “ศิษย์น้องเล็ก ไม่เคยถามเลยนี่นา”เมื่อได้ยินคำตอบตามหลักเหตุผลของโม่จิงหง ศีรษะของเฟิ่งชิงหร่านก็เต็มไปด้วยขีดดำ ของแบบนี้จำเป็นต้องถามก่อนถึงจะบอกได้หรือ?“ศิษย์น้องเล็กวางใจได้ หลวนจิ่นกินอาหารเพียงเดือนละครั้ง ไม่มีทางเอาเจ้าเข้าปากหรอก” “ศิษย์พี่เจ็ด การวางกลอุบายของท่านยาวไกลยิ่งกว่าเส้นทางบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนเสียอีก!” เฟิ่งชิงหร่านตระหนักได้ในบัดดลว่าไม่อาจโดนดวงหน้าหล่อเหลาหาใดเทียมของศิษย์พี่เจ็ดมาหลอกลวงได้แล้วจริง ๆอาจารย์ให้ศิษย์พี่เจ็ดดูแลสำนัก ช่างเหมาะสมยิ่งนัก บุรุษผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายอย่างแท้จริง!โชคดีที่ศิษย์พี่เจ็ดไม่ใช่ศัตรูของนาง ไม่อย่างนั้นนางคงต้องหาถ้ำสักแห่งเพื่ออยู่เอาตัวรอดไปวัน ๆ ไม่ออกมาอีกเลย!โม่จิงหงสบตากับเฟิ่งชิงหร่านที่โกรธกระฟัดกระเฟียด ไอเย็นเยียบบนร่างเลือนหายไปอีกไม่น้อย ก่อนจะลูบศีรษะนาง “ไม่บอกเจ้าก็เพราะหวังดีกับเจ้านะ วางใจได้ห
บรรยากาศในสำนักหลิงอวิ๋นนั้นดีมาก ไม่เคยเกิดเรื่องแก่งแย่งชิงดีกันเลยแต่ผู้บำเพ็ญเพียรก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เมื่อเป็นมนุษย์ก็จะมีความโปรดปราน ภายในสำนักหลิงอวิ๋ง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่สี่จะสนิทสนมกันมากกว่า ศิษย์พี่หญิงสามกับศิษย์พี่หญิงห้าก็สนิทกันราวกับพี่สาวน้องสาว พูดคุยกันได้ทุกเรื่องศิษย์พี่หกชอบเกาะติดศิษย์พี่หญิงห้ากับศิษย์พี่แปด ศิษย์พี่รองไปไหนมาไหนคนเดียว มักจะหาตัวไม่เจออยู่เป็นประจำ มีเพียงโม่จิงหงเท่านั้นที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้กับทุกคน แต่เขากลับคอยรักษาระยะห่างกับทุกคนเสียเองโม่จิงหงดีกับทุกคนในสำนักมาก แหวนสุเมรุบนมือของทุกคนล้วนเป็นสิ่งที่เขาหลอมขึ้นมา รวมถึงอาวุธป้องกันตัวและยาลูกกลอนต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เขามอบให้โดยอาศัยนามของเย่เวิ่นเทียนอีกทั้งชาที่เตรียมไว้ให้แต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไปหากไม่ใช่เพราะโม่จิงหง นางสงสัยว่าสำนักหลิงอวิ๋นคงจะแยกตัวกันไปนานแล้ว อย่างไรเสียอาจารย์ก็ไม่มีความน่าเชื่อถือมากเกินไป! สองปีแล้ว อย่าว่าแต่อาจารย์ไม่เคยกลับมาที่สำนักหลิงอวิ๋นเลย ยังไม่มีข่าวคราวอีกด้วยเฟิ่งชิงหร่านคิดได้ดังนั้นก็อดรู้สึกปวดใจแทนโม่จิงหงนิดหน่อยไ
หลังจากที่เฟิ่งชิงหร่านรู้จากหยวนเป่าว่ากำไลวิญญาณคู่ไม่สามารถต้านทานอัสนีบาตได้ นางก็อดรู้สึกท้อแท้ใจนิดหน่อยไม่ได้อัสนีบาตสายที่สามผ่าลงมา ยันต์อาคมด้านหลังฉินหานเยียนหลุดออกอีกหนึ่งแผ่นฉินหานเยียนกัดฟัน ปรับลมหายใจที่ปั่นป่วน ใบหน้าของนางไม่มีสีเลือดเลยแม้แต่น้อย เนื้อหนังภายใต้ชุดนักพรตปรากฎรอยปริแตกเป็นสาย ๆ ความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ส่งมาจากทั่วทั้งร่างฉินหานเยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวจากในอัสนีบาตสวรรค์ ราวกับว่าอัสนีบาตรสวรรค์ทุกสายต้องการคร่าชีวิตนางให้ดับสิ้นโดยไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียวศิษย์น้องเจ็ดพูดถูกต้องมาก อัสนีบาตสวรรค์ผิดปกติจริง ๆ ด้วยตามบันทึกในตำราโบราณ หลังจากที่อัสนีบาตสวรรค์ผ่าลงมาแล้ว จะช่วยชำระล้างร่างกายให้ผู้บำเพ็ญเพียร ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้นางรู้สึกแค่ว่าอัสนีบาตสวรรค์ต้องการทำลายนางเท่านั้น ไม่ได้ชำระล้างเส้นเอ็นให้นางเลยด่านเคราะห์อัสนีระดับกำเนิดวิญญาณสิบแปดสาย สายแรกชำระล้างร่างกาย สายที่สองซ่อมแซมกล้ามเนื้อเส้นเอ็นขยายเส้นลมปราณ สายที่สามเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูก สายที่สี่ชำระล้างรากวิญญาณ
หนิงซือเยว่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ไม่สนใจไป๋หลี่เหวินเยว่เวลานี้ฉินหานเยียนสวมชุดบางเบา ชุดกระโปรงพลิ้วไปตามสายลม ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเลยสักนิดเดียว หนิงซือเยว่เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะแปะยันต์อาคมหลายแผ่นไว้ที่แผ่นหลังของฉินหานเยียนจากนั้นก็ขี่กระบี่จากไปอย่างรวดเร็ว แล้วร่อนลงมาเบื้องหน้าไป๋หลี่เหวินเยว่หนิงซือเยว่เดินเข้ามาคว้าหูของไป๋หลี่เหวินเยว่ ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ที่เจ้าตะโกนเมื่อครู่นี้เกือบทำให้ข้าตกใจตายแล้ว!”“เจ็บ ๆๆ ศิษย์พี่หญิงห้า รีบปล่อยมือเถิด ข้าผิดไปแล้ว” ไป๋หลี่เหวินเยว่ไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงอ้อนวอนไม่หยุด “ฮึ!” หนิงซือเยว่แค่นเสียงเย็น แล้วปล่อยหูไป๋หลี่เหวินเยว่“ข้ามาช้าก็เพราะยันต์อาคมหลายใบนั้น มีพวกมันอยู่ สามารถต้านด่านเคราะห์อัสนีถึงแก่ชีวิตแทนศิษย์พี่หญิงสามได้ในช่วงเวลาสำคัญ ข้าเสี่ยงชีวิตไปติดยันต์ ปรากฏว่าเจ้าดันทำให้ข้าตกใจ หากข้ามือสั่นจนยันต์พังขึ้นมาจะทำอย่างไร?”เมื่อได้ยินหนิงซือเยว่เอ่ยเช่นนี้ ไป๋หลี่เหวินเยว่ถึงค่อยตระหนักได้ว่าตนทำความผิดมากเพียงใด เฟิ่งชิงหร่านที่อยู่ทางด้านข้างนึกดีใจ ยังดีที่เมื่อค
สองปีต่อมาเมฆดำแผ่คลุมท้องฟ้าเหนือสำนักหลิงอวิ๋น ครืน!ครืน!กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักหลิงอวิ๋น ทำให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนที่กำลังปิดด่านฝึกตนตื่นตกใจทั่วทั้งเขตชิงอวิ๋น ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับหลอมเทพขึ้นไปล้วนรู้สึกได้ว่าเมฆเขาสั่นไหว แผ่นดินภูเขาโยกคลอนเฟิ่งชิงหร่านเพิ่งจะคงระดับพลังให้มีเสถียรภาพเสร็จ เมื่อเดินออกจากถ้ำก็ตกใจกับเสียงฟ้าร้องจนสะดุ้งโหยง ดูเหมือนนางยังไม่ถึงเวลาที่จะทะลวงระดับไม่ใช่หรือ? “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที รีบตามข้ามาเร็ว!” บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกลยืนอยู่บนกระเรียนเหาะเข้ามา รูปร่างดูสง่างามราวกับต้นไผ่ ดูโดดเด่นมีราศี ดวงหน้าแฝงไปด้วยความหยิ่งทระนง “ศิษย์พี่หก คงไม่ได้เจอปัญหาตอนบำเพ็ญเพียรหรอกกระมัง?” เฟิ่งชิงหร่านถามพลางยิ้มจนดวงตาโค้งไป๋หลี่เหวินเยว่หน้าแข็งทื่อ ช่วงเวลาสองปีมานี้ เขาฝืนบีบคั้นตนเองให้เลื่อนจากระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางไปอยู่ขั้นปลาย เพื่อไม่ให้ด้อยกว่าคนอื่นในสำนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาสามารถใช้เวลาเพียงแปดปีเลื่อนจากระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางไปอยู่ระดับแก่นปราณทองคำขั
เขตชิงอวิ๋น เมืองหลักของเขตสำนักประมูลซูม่อ สาขาหลักบุรุษชุดดำเดินเจอไป๋หลี่เยวียนม่อแล้วก็ยื่นกล่องวิจิตรงดงามให้สองกล่องมือขาวเนียนราวหยกของไป๋หลี่เยวียนม่อรับกล่องไว้ จากนั้นเสียงที่ชวนให้หลงใหลก็ดึงขึ้นว่า “คราวนี้เป็นของดีอันใดหรือ? ถึงกับทำให้รองผู้ดูแลต้องลำบากมาด้วยตนเอง?”เสียงเย้ายวนใจลอดเข้ามาในหู บุรุษชุดดำใจสั่นสะท้าน เขารีบตั้งสติทันที “ท่านเจ้าหอกำชับว่า ครั้งนี้นางต้องการส่วนแบ่งร้อนละเก้าสิเก้า”ไป๋หลี่เยวียนม่ออึ้งไปเล็กน้อย ดวงหน้างดงามราวกับหยกประดับกวนฉายแววสนใจขึ้นมา นัยน์ตาสีม่วงพราวเสน่ห์ ความสว่างและความมืดร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แสงเงาไหลเวียนเป็นกระแสไป๋หลี่เยวียนม่อยกมือขึ้นไปปลดยันต์ผนึกบนกล่อง อยากจะเปิดออกบุรุษชุดดำรีบส่งเสียงว่า “ท่านประมุข ไม่ได้นะขอรับ กางเขตอาคมเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะเกิดความปั่นป่วนได้” ขุมกำลังในเมืองหลักของเขตสลับซับซ้อนมาก อีกทั้งยังมีสำนักใหญ่หลายแห่ง ยอดฝีมือระดับหลอมเทพก็มีอยู่ไม่น้อย เมื่อกลิ่นอายของผลแก่นวิญญาณหลุดรอดออกไปก็จะนำปัญหามาได้นัยน์ตาสีม่วงของไป๋หลี่เยวียนม่อดำทะมึนขึ้นมาแวบหนึ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว “