บทที่ 10 ทบทวนชีวิตและความเสียใจของฉัน ช ี วิตเป็นเรื่องตลกและน่าเย้นหยันยิ่งนัก พ่อกับแม่ตั้งชื่อฉันว่า "รูว์" ซึ่งแปลว่า "โศรกเศร้า" และเมื่อฉันนอนอยู่ที่นี่เพื่อรอวันตาย ตอนนี้ฉันตระหนักได้ว่าฉันใช้ชีวิตด้วยความเสียใจมาทั้งชีวิต แม้ว่าฉันจะรู้จักคนมากมาย มีลูกสามคน มีสามีเก่าสี่คน มีชื่อเสียง และมีแฟนๆทั่วโลก แต่ฉันกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง ฉันใช้ยาหลายอย่าง พบที่ปรึกษาทุกสัปดาห์สำหรับอาการซึมเศร้ารุนแรงที่ฉันเป็น และแม้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจช่วยได้เล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยังคิดที่จะจบชีวิตลงเพื่อให้ความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึกภายในหายไป สิ่งเดียวที่คงที่ในชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กคือความเจ็บปวดทางอารมณ์ ความโศกเศร้า และภาวะซึมเศร้าที่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตมาตลอด มันคือความเจ็บปวดที่มาจากแก่นแท้ของฉัน ตลอดชีวิตฉันรู้สึกเหมือนกำลังแสดงบทบาทราวกับว่า " ชีวิตเป็นเพียงละคร " ตอนที่ฉันทำงาน ฉันเป็นนักแสดง เล่นละคร และเสแสร้งเป็นคนอื่น และอย่างที่ฉันได้รู้วันนี้นั้น ตลอดทั้งชีวิตถึงจะไม่ได้อยู่ในฉากแล้ว แต่ฉันก็ทำเหมือนรับบทบาทเหล่านั้นอยู่ และสุด
บทที่ 11 โอกาสครั้งที่สอง ป ระมาณสี่ชั่วโมงก่อนที่ฉันจะตาย มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้น ลูกทั้งสามคนมาบอกลาฉัน น้ำตาของฉันไหลริน นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้รับ ฉันไม่อยากตายอย่างโดดเดี่ยว ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตกังวลเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ ทำให้ฉันละเลยลูกๆ และทำให้พวกเขาเสียใจ ฉันไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้เลยในตอนนั้น แต่กลับใช้เวลาทั้งชีวิตในการแสวงหาความสุขในโลกนี้ แทนที่จะแบ่งปันความรักตามสัญชาตญาณที่พ่อแม่ควรมีให้ต่อลูก และตามสัญชาตญาณที่คนเราควรมีให้กัน คนที่รายล้อมไปด้วยผู้คนตลอดเวลาจะโดดเดี่ยวได้อย่างไร หน้ากาก และ กำแพง ไม่อนุญาตให้ใครแม้แต่ลูกทั้งสามคน หรืออดีตสามีทั้งสี่คนได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันเลย ทั้งหมดที่พวกเขาหรือใครก็ตามเห็นนั้นเป็นเพียงลักษณะภายนอกที่ฉันได้เรียนรู้ให้แสดงออกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ความรักที่ฉันพยายามแสดงให้เห็นนั้นได้เรียนรู้มาจากสิ่งที่ฉันจินตนาการเอาเองว่ามันคือความรัก มันไม่ได้มาจากใจของฉัน ที่ซึ่ง ดวงจิต และ " ความรักที่แท้จริง " อยู่ ฉันเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปตามเส้นทางที่ฉันเรีย
บทที่ 12 ชีวิตหลังความตาย ห ลังจากที่ฉันตายบางสิ่งที่น่าแปลกใจก็เกิดขึ้น เนื่องจากฉันไม่ได้นับถือศาสนาใดเลยในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ฉันจึงรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าความตายไม่ใช่จุดจบ ฉันเสียชีวิตตอน 1 ทุ่ม เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนลับยอดเขา และพลบค่ำกำลังคืบคลานเข้ามา ฉันรู้สึกขอบคุณที่ลูกๆ มาอยู่เคียงข้างทำให้ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยวตอนสิ้นลมหายใจ แม้ว่าฉันต้องดิ้นรนตลอดทั้งชีวิต แต่ในที่สุดฉันก็รู้สึกสงบสุขเพราะลูกๆได้ให้อภัยฉันแล้ว และตอนนี้ฉันก็ได้เข้าใจความหมายของชีวิตแล้วเช่นกัน ฉันตระหนักรู้ว่า ก่อนที่จะเสียชีวิต ฉันได้ใช้เวลาทั้งชีวิต ค้นหาสิ่งที่มีอยู่แล้วในหัวใจไปทั่วทุกมุมโลก การดิ้นรน การไม่มีความสุข ความเหงา และภาวะซึมเศร้ามากมายที่ฉันรู้สึกตลอดชีวิตเกิดขึ้นเพราะฉันกำลังมองหาคำตอบผิดที่ มันเป็นเพียง ภาพลวงตาของชีวิต ฉันได้ใช้ชีวิตและเล่นตามบทมาอย่างดีจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตถึงได้รู้ว่ามันเป็นเพียงละครและไม่มีเรื่องใดเลยที่เป็นเรื่องจริง เมื่อฉันสิ้นใจ โพธิ ได้ละกายของฉันไว้กับ อนัตตา ร่างที่เธออาศัยอยู่ตลอด 85 ปีที่ผ่านมา โพธิ บอก
อารัมภบท จุดจบของชีวิต หลังจากที่เราดำเนินชีวิตมาจนเข้าใกล้ความตาย เป็นเรื่องปกติที่จะทบทวนว่าชีวิตของเราได้ดำเนินไปอย่างไรบ้าง เราได้ใช้ชีวิตที่ "ประสบความสำเร็จ" หรือไม่ บั้นปลายชีวิตให้โอกาสพิเศษในการทำสิ่งนี้ เพราะในเวลานี้ อัตตา (ตัวตน) ได้คลายอิทธิพลที่มีต่อเราลง และจิตวิญญาณก็กลายเป็นผู้ตรวจสอบของเราที่มีอิทธิพลเหนือกว่าแทน ณ จุดนี้ในวัฏจักรชีวิตมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าไหร่ก็ตามที่เราหามาได้ ขนาดของบ้านที่เราอาศัยอยู่ งานที่เราทำ หรือสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องกับ “ความสำเร็จ” ตามที่โลกได้กำหนดโดยอัตตา ในที่สุดเราทุกคนก็เท่าเทียมกัน และต่างก็ตัดสินความสำเร็จของเรา ผ่านปริซึมที่แตกต่างกัน ซึ่งนั่นคือของจิตวิญญาณ เมื่อเราทบทวนชีวิตของเรา สิ่งที่เราคิดคือความสำเร็จ ซึ่งมักจะมีความหมายที่แตกต่างกันกับในขณะนี้ ช่วงนี้โดยเฉพาะช่วงสองสามวันสุดท้ายของชีวิต เราจะมาตระหนักรู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญ จริงๆแล้วไม่ได้สำคัญเลย ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เราสะสมไว้ เพื่อนที่เราเคยมี
บทที่ 1 ทางเลือกในชีวิต ข ณะที่ฉันนอนอยู่ที่นี่เพื่อรอความตาย ฉันอยู่คนเดียวเพียงลำพัง ยกเว้นเสียงที่ฉันได้ยินชัดเจนในตอนนี้ มันเป็นเสียง “ดวงจิต” ของฉันเอง และดวงจิตนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะบอกฉันก่อนที่วันนี้จะหมดลง ทุกสิ่งที่ดวงจิตได้บอกกับฉันตอนนี้ช่างสมเหตุสมผลเหลือเกิน แต่ฉันสงสัยว่าทำไมฉันถึงใช้เวลานานนักกว่าจะ "ได้ยิน" เสียงนี้ สิ่งที่ดวงจิตบอกนั้นชัดเจนมาก แต่ฉันไม่เคยเข้าใจ หรือเคยได้ยินคำแนะนำใดๆของเขามาก่อนหน้านี้เลย ฉันรู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่านี้ หรือได้รับอนุญาตให้ "กลับไปแก้ไข" อะไรในชีวิต นอกจากการได้รับรู้ในสิ่งที่ฉันทำไว้ในวันนี้เท่านั้น ถ้าฉันสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ฉันคงทำหลายอย่างแตกต่างออกไป ดังนั้นแล้วฉันจึงตัดสินใจที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้แทน ในวันนี้ก่อนที่ฉันจะตาย และหวังว่าคุณจะเข้าใจสิ่งที่ดวงจิตได้บอกกับฉัน เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องรอให้มีชีวิตที่มีความสุขและสมบูรณ์มากกว่าฉัน หากว่าฉันสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ได้เห็นผู้คนมากมายหดหู่และไม่มีความสุขเหมือนฉัน ซึ่งมันง
บทที่ 2 ความหมายของชีวิต ฉ ั ขอแนะนำตัวเองให้คุณรู้จักอย่างเป็นทางการ ฉันชื่อ “ โพธิ ” ฉันเป็น “ดวงจิต” ฉันกำลังจะเล่าเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง ซึ่งมั่นใจว่าคุณไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเป็นเรื่องราว การเดินทางผ่านชีวิตของฉัน อย่างไรก็ตามก่อนที่ฉันจะเล่าให้คุณฟัง ฉันควรบอกคุณก่อนว่า ดวงจิต คืออะไร ภายในของทุกชีวิต ล้วนมี ดวงจิต คอยติดตามตลอด เพื่ห้อใเข้าใจเรื่องราวของฉันได้ดียิ่งขึ้นนั้น ฉันจะเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับ การเดินทางครั้งสุดท้าย ในชีวิตของฉัน ที่ซึ่งฉันอยู่กับหญิงสาวชื่อรูว์มาตลอดชีวิตทั้งชีวิตของเธอ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นก่อนที่รูว์จะเข้ามาอยู่ในครรภ์ หรือที่เรียกว่า " ชีวิตหลังความตาย " ชีวิตหลังความตาย เป็นระนาบของการดำรงอยู่ซึ่งมีดวงวิญญาณอาศัยอยู่ร่วมกัน บางคนอาจเรียกว่า สวรรค์ ซึ่งเป็นระนาบทางจิตวิญญาณที่สวยงามและบริสุทธิ์ โดยมี ความรักและสันติภาพที่ไม่มีเงื่อนไข แทรกซึมอยู่ทุกมุมของอาณาจักร ณ ที่แห่งนี้ เราจะรอจนกว่าจะมีชีวิตใหม่มาขอให้เราไปอยู่ด้วย เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมชีวิตใหม่ และฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะไปอยู่กับรูว ฉัน
บทที่ 3 ก่อนฉันเกิด ม ั นอบอุ่น เงียบสงบ และมืดมิด ที่ที่ฉันอยู่คือในครรภ์ของแม่ตอนที่ฉันรอจะลืมตามาดูโลก อยู่ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึก ปลอดภัย และรับรู้ได้ถึง ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จากแม่ของฉัน โพธิ ก็อยู่กับฉันด้วยเช่นกัน เขากำลังบอกฉันว่า เขาจะอยู่กับฉันไปตลอดการเดินทางทั้งชีวิตของฉัน โพธิ นั้นวิเศษมาก ฉันรู้สึกปลอดภัยเพราะเขาช่วยให้ฉันเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากฉันเกิด ภายในท้องแม่ฉันรู้สึกได้ถึงแต่ความอิ่มเอม มีความสุข เต็มไปด้วยความรัก และความรู้สึกอีกมากมายที่ทำให้ฉันอบอุ่นใจ ฉันตื่นเต้นที่จะได้เห็นโลกกว้าง แต่ก็ต้องรอจนกว่าฉันจะโตพอ ระหว่างที่ฉันรอจะได้ออกมาดูโลกนั้น โพธิจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาเองให้ฉันทราบ และบอกฉันว่าเขาจะช่วยเหลือฉันอย่างไรในตลอดชีวิตของฉัน นี่คือเรื่องที่ โพธิ เล่าให้ฉันฟังในขณะที่ฉันอดทนรอที่จะได้ลืมตามาดูโลก โพธิคือ "ดวงจิต" ของฉัน และถ้าหากจะให้เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย จะเหมือนกับว่าเขามีชีวิตอยู่ "ภายในใจของฉัน" นั่นเอง ดวงจิต มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้คน สัตว์ พืช หรือแม้แต่ดวงดาวและจักรว
บทที่ 4 การเกิดของฉัน ฉ ั นลืมตามาดูโลกก่อนเที่ยงคืนไม่นานในโลกที่เสียงดัง เย็นชา และสว่างไสว พูดตามตรงว่าฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าครรภ์ที่มืดมิดแต่อบอุ่น และเปี่ยมด้วยความรักของแม่นั้นจะถูกแทนที่ด้วยความโกลาหล ความหนาวเย็น ความสับสน และเสียงอึกทึกของโลก โลกที่ฉันอาศัยอยู่เป็นเวลา 85 ปี ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยหลังจากที่ฉันเกิดมา พร้อมกับลมหายใจแรกของฉันนั้น อนัตตา ก็ถือกำเนิดมาด้วยเช่นกัน และเธอก็จะอยู่กับฉันไปตลอด การเดินทางผ่านของชีวิต ต่างจาก โพธิผู้ดำรงอยู่ใน “หัวใจ” แต่อนัตตาจะดำรงอยู่ใน “จิตและกาย” ซึ่งตอนนั้นฉันไม่รู้อะไรเลย รู้เพียงแค่ว่าอนัตตามีอิทธิพลต่อฉันอย่างมากตลอดทั้งชีวิตของฉัน อันที่จริงแล้ว ตามที่ฉันได้ค้นพบในวันนี้ อนัตตา ไม่เพียงแค่ครอบครองชีวิตฉันเท่านั้น แต่เธอทำมันได้อย่างสมบูรณ์แล้วด้วย ทุกสิ่งที่ฉันทำตลอดชีวิตถูกกำหนดโดยความปรารถนาของเธอ จนวันนี้ วันที่ฉันกำลังจะลาจากโลกนี้ไป ฉันแทบไม่ได้ยินเสียงของ โพธิ อีกเลย คำแนะนำของเขาที่บริสุทธิ์และเข้าใจง่ายตั้งแต่ก่อนฉันเกิด บัดนี้ได้สงบลงแล้ว มันถูกซ่อนอยู่ภายในใจของฉัน และรอคอยการ
บทที่ 12 ชีวิตหลังความตาย ห ลังจากที่ฉันตายบางสิ่งที่น่าแปลกใจก็เกิดขึ้น เนื่องจากฉันไม่ได้นับถือศาสนาใดเลยในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ฉันจึงรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าความตายไม่ใช่จุดจบ ฉันเสียชีวิตตอน 1 ทุ่ม เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนลับยอดเขา และพลบค่ำกำลังคืบคลานเข้ามา ฉันรู้สึกขอบคุณที่ลูกๆ มาอยู่เคียงข้างทำให้ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยวตอนสิ้นลมหายใจ แม้ว่าฉันต้องดิ้นรนตลอดทั้งชีวิต แต่ในที่สุดฉันก็รู้สึกสงบสุขเพราะลูกๆได้ให้อภัยฉันแล้ว และตอนนี้ฉันก็ได้เข้าใจความหมายของชีวิตแล้วเช่นกัน ฉันตระหนักรู้ว่า ก่อนที่จะเสียชีวิต ฉันได้ใช้เวลาทั้งชีวิต ค้นหาสิ่งที่มีอยู่แล้วในหัวใจไปทั่วทุกมุมโลก การดิ้นรน การไม่มีความสุข ความเหงา และภาวะซึมเศร้ามากมายที่ฉันรู้สึกตลอดชีวิตเกิดขึ้นเพราะฉันกำลังมองหาคำตอบผิดที่ มันเป็นเพียง ภาพลวงตาของชีวิต ฉันได้ใช้ชีวิตและเล่นตามบทมาอย่างดีจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตถึงได้รู้ว่ามันเป็นเพียงละครและไม่มีเรื่องใดเลยที่เป็นเรื่องจริง เมื่อฉันสิ้นใจ โพธิ ได้ละกายของฉันไว้กับ อนัตตา ร่างที่เธออาศัยอยู่ตลอด 85 ปีที่ผ่านมา โพธิ บอก
บทที่ 11 โอกาสครั้งที่สอง ป ระมาณสี่ชั่วโมงก่อนที่ฉันจะตาย มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้น ลูกทั้งสามคนมาบอกลาฉัน น้ำตาของฉันไหลริน นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้รับ ฉันไม่อยากตายอย่างโดดเดี่ยว ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตกังวลเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ ทำให้ฉันละเลยลูกๆ และทำให้พวกเขาเสียใจ ฉันไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้เลยในตอนนั้น แต่กลับใช้เวลาทั้งชีวิตในการแสวงหาความสุขในโลกนี้ แทนที่จะแบ่งปันความรักตามสัญชาตญาณที่พ่อแม่ควรมีให้ต่อลูก และตามสัญชาตญาณที่คนเราควรมีให้กัน คนที่รายล้อมไปด้วยผู้คนตลอดเวลาจะโดดเดี่ยวได้อย่างไร หน้ากาก และ กำแพง ไม่อนุญาตให้ใครแม้แต่ลูกทั้งสามคน หรืออดีตสามีทั้งสี่คนได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันเลย ทั้งหมดที่พวกเขาหรือใครก็ตามเห็นนั้นเป็นเพียงลักษณะภายนอกที่ฉันได้เรียนรู้ให้แสดงออกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ความรักที่ฉันพยายามแสดงให้เห็นนั้นได้เรียนรู้มาจากสิ่งที่ฉันจินตนาการเอาเองว่ามันคือความรัก มันไม่ได้มาจากใจของฉัน ที่ซึ่ง ดวงจิต และ " ความรักที่แท้จริง " อยู่ ฉันเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปตามเส้นทางที่ฉันเรีย
บทที่ 10 ทบทวนชีวิตและความเสียใจของฉัน ช ี วิตเป็นเรื่องตลกและน่าเย้นหยันยิ่งนัก พ่อกับแม่ตั้งชื่อฉันว่า "รูว์" ซึ่งแปลว่า "โศรกเศร้า" และเมื่อฉันนอนอยู่ที่นี่เพื่อรอวันตาย ตอนนี้ฉันตระหนักได้ว่าฉันใช้ชีวิตด้วยความเสียใจมาทั้งชีวิต แม้ว่าฉันจะรู้จักคนมากมาย มีลูกสามคน มีสามีเก่าสี่คน มีชื่อเสียง และมีแฟนๆทั่วโลก แต่ฉันกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง ฉันใช้ยาหลายอย่าง พบที่ปรึกษาทุกสัปดาห์สำหรับอาการซึมเศร้ารุนแรงที่ฉันเป็น และแม้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจช่วยได้เล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยังคิดที่จะจบชีวิตลงเพื่อให้ความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึกภายในหายไป สิ่งเดียวที่คงที่ในชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กคือความเจ็บปวดทางอารมณ์ ความโศกเศร้า และภาวะซึมเศร้าที่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตมาตลอด มันคือความเจ็บปวดที่มาจากแก่นแท้ของฉัน ตลอดชีวิตฉันรู้สึกเหมือนกำลังแสดงบทบาทราวกับว่า " ชีวิตเป็นเพียงละคร " ตอนที่ฉันทำงาน ฉันเป็นนักแสดง เล่นละคร และเสแสร้งเป็นคนอื่น และอย่างที่ฉันได้รู้วันนี้นั้น ตลอดทั้งชีวิตถึงจะไม่ได้อยู่ในฉากแล้ว แต่ฉันก็ทำเหมือนรับบทบาทเหล่านั้นอยู่ และสุด
บทที่ 9 วันนี้ฉันกำลังจะตาย ตอนที่ 1 ฉ ั นไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตจะแตกต่างไปได้อย่างไรหากฉันเดินตามวิถีแห่ง จิตวิญญาณของโพธิ เพราะสำหรับฉันแล้วมันดูเหมือนว่าตั้งแต่ลมหายใจแรกของฉันมาจนถึงวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่เคยเหมือนเดิม ขณะที่ฉันนอนอยู่ที่นี่เพื่อรอความตายฉันรู้สึกท้อแท้เมื่อทบทวนชีวิตงของตัวเอง แม้ว่าฉันจะมีชีวิตที่ " ประสบความสำเร็จ " มาก แต่ตามมาตรฐานของสังคม ความเป็นจริงไม่สามารถอยู่ไกลจากความจริงได้ ฉันทำทุกอย่างถูกต้องตามที่ได้รับการสอนมา ทว่าเมื่อชีวิตได้ฉายแสงต่อหน้าฉันในวันนี้นั้น ฉันก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่แค่รู้สึกโดดเดี่ยว แต่ยังรู้สึกหดหู่ไปทั้งชีวิตด้วย ฉันใช้ยาและแอลกอฮอล์เหมือนที่พ่อแม่เคยทำเพื่อ "ปิดบัง" ความทุกข์และทำให้ประสาทสัมผัสของฉันช้าลง ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่ายาและแอลกอฮอล์นั่นเองที่ขัดขวางไม่ให้ฉันเผชิญกับความเป็นจริงว่าฉันรู้สึกอย่างไร สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ไขว้เขว และขัดขวางไม่ให้ฉันมองดูตัวเองเพื่อเผชิญกับชีวิตจริง ฉันประสบความสำเร็จมากในการไม่เผชิญกับความเจ็บปวดจน วันนี้ วันที่ฉันกำลังจะตาย มันทำให้รู้ว่
บทที่ 8 ชีวิตในวัย 60 ของฉัน เ มื่อฉันถ่ายทำภาพยนตร์ไปทั่วโลก ทุกสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้เมื่อโตขึ้นนั้นก็ได้รับการยืนยันอีกครั้ง มันไม่สำคัญเลยว่าฉันจะทำงานในประเทศหรือทวีปใด ปัญหามากมายที่เผ่าพันธุ์ของเราได้ก่อให้เกิดแก่กันและกัน กับชีวิตอื่นๆ และต่อสิ่งแวดล้อมนั้นปรากฏชัดทุกที่ ในแอฟริกา ฉันได้เห็นความหิวโหยแบบสุดขีด ซี่โครงของเด็กน้อยเกือบจะโผล่ออกมาจากผิวหนัง เด็กเหล่านี้หลายคนจบลงด้วยความตาย ผอมแห้งและอ่อนแอจากความอดอยาก พวกเขาแทบจะไม่กระพริบตาหรือลืมตาขึ้นมาเลยก่อนที่ชีวิตจะจบลง ฉันยังเห็นคนมากมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เสียชีวิตจากโรคที่รักษาได้ เช่น เอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย สงครามก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในเกือบทุกทวีปที่ฉันไปเยือน กลุ่มกบฏจะขับรถไปตามหมู่บ้านต่างๆตามอำเภอใจ และฆ่าทุกคนเพราะความโลภหรือเพียงเพราะพวกเขาไม่ได้มีความเชื่อเหมือนกัน ไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขาเลยว่าจะมีผู้หญิงหรือเด็กเล็กในหมู่บ้านด้วยหรือไม่ พวกเขาต่างฆ่าทิ้งทั้งหมด ตอนที่ฉันกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านของกัมพูชา ผู้คนนับล้านถูกฆ่าตายเมื่อพล พต นัก
บทที่ 7 ชีวิตในช่วงวัยผู้ใหญ่ของฉัน ห ลังจากที่ฉันเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ฉันไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะในขณะนั้น ฉันได้แสดงภาพยนตร์มาแล้วถึงสามเรื่องและกำลังเป็นนักแสดงที่มีฝีมือคนหนึ่ง ประสบการณ์ทั้งหมดที่ฉันมีตั้งแต่ยังเด็กจากการสวม " หน้ากาก " เพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงจากผู้อื่นนั้น ช่วยให้ฉันแสดงเป็นคนอื่นได้ง่ายขึ้น ฉันสามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้ตามต้องการอย่างที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ โดยรู้สึกว่าฉันต้องพยายามอย่างหนักแต่อย่างใดเลย ฉันซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ได้เก่งมากเพราะได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติมานานแล้วจาก “ การปกปิด ” ความรู้สึกที่แท้จริงจากทุกคนรอบตัวฉัน เนื่องจากผู้ชายทุกคนมองว่าฉันสวย ดังนั้นฉันจึงไม่เคยขาดคู่เลย ในที่สุดฉันก็ได้แต่งงานถึงสี่ครั้งและมีลูกทั้งหมดสามคน เช่นเดียวกับพ่อแม่ของฉัน ตัวฉันเองยุ่งมาก ยุ่งเกินกว่าที่จะใช้เวลากับลูกๆ และเช่นเดียวกับที่พ่อแม่ของฉันทำ ฉันได้จ้างพี่เลี้ยงเต็มเวลาเพื่อมาดูแลลูกๆ และจ้างแม่บ้านเพื่อทำอาหารและทำความสะอาดบ้านเนื่องฉันมักจะทำงานนอกบ้านซ
บทที่ 6 ชีวิตในช่วงวัยรุ่นของฉัน เ จ็ดปีต่อมาในชีวิตของฉันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แทบไม่เคยได้ยินเสียงของ โพธิ อีกเลย เขาถูกขังอยู่หลัง กำแพง ภายในหัวใจของฉัน แต่ฉันยังคง เรียนรู้ จาก อนัตตา ต่อไปในขณะที่เธอสอนทุกสิ่งที่ฉันต้องรู้เพื่อความอยู่รอดและมีความสุขในโลก ฉันได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญมันเป็นสิ่งที่ฉันที่ต้องรู้เพื่อความอยู่รอด ทุกคนและทุกอย่างเป็นครูของฉัน ฉันได้เรียนรู้จากการดูพ่อกับแม่ เพื่อนฝูงของพวกเขา เด็กๆที่โรงเรียน ภาพยนตร์ และอินเทอร์เน็ต ฉันได้เข้าใจว่าโลกทำงานอย่างไร ฉันได้เห็นความรุนแรงมากมายในทีวีและวิดีโอเกมที่ฉันเล่น และในที่สุดฉันก็มีภูมิคุ้มกัน โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ทรมานและกำลังจะตาย จากที่ฉันเห็นพ่อกับแม่ ฉันได้เรียนรู้ว่าการดื่มและเสพยาทำให้เกิดช่วงเวลาที่ดี และเนื่องจากพวกเขาร่ำรวย จึงไม่ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพก็ได้ ฉันเข้าใจว่าพ่อกับแม่ดีกว่าคนอื่นเพราะพวกเขา ประสบความสำเร็จ ฉันจะสังเกตเหล่าบรรดาเพื่อนๆของพ่อกับแม่ที่มาในงานเลี้ยงซึ่งมักจะจัดขึ้นที่บ้านของเราอยู่บ่อยๆ ทุกคนต่างหัวเราะ เต้นรำ ดื่มเห
บทที่ 5 โรงเรียน ฉ ั นเริ่มเข้าเรียนตอนฉันอายุห้าขวบ ได้พบกับเด็กๆ มากมายและได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ แต่จริงๆแล้วฉันก็รู้มามากพอสมควรแล้วล่ะ ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายในช่วงห้าปีแรกของชีวิต รู้ตื่นเต้นและพร้อมที่จะเผชิญกับโลกแล้ว ฉันไม่เคยอยู่กับเด็กคนอื่นมาก่อนเลย ตอนนี้ฉันต้องเรียนรู้ไม่เพียงแค่วิธีที่จะเข้ากับพวกเขา แต่ยังเพื่อให้พวกเขาชอบฉันอีกด้วย ฉันได้เรียนรู้ที่จะยิ้มอยู่เสมอ ไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของฉันออกมา และฉันก็ทำมันได้ดีมากเลยเพราะไม่เคยให้ใครรู้ว่าจริงๆแล้วฉันรู้สึกอย่างไร ฉันเชี่ยวชาญในการสวม หน้ากาก จนไม่มีใครรู้จักฉันอย่างแท้จริง ฉันจะยิ้มออกมาอย่างมิตรไมตรีและบอกทุกคน รวมถึงพ่อแม่ของฉันด้วยว่าสิ่งต่างๆนั้นยอดเยี่ยมมาก ถึงแม้ว่าข้างในฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยก็ตาม ฉันมักจะรู้สึกกังวล เครียด และไม่มีความสุข แต่อย่างที่ฉันได้รับการสอนมาจะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ผลปรากฏว่าฉันทำได้ดีมาก และฉันเองก็ไม่เคยรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเลยเช่นเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ฉันมีปัญหามากมายเข้ามาตลอดทั้งชีวิต ฉันไม่สามารถเปิดเผ
บทที่ 4 การเกิดของฉัน ฉ ั นลืมตามาดูโลกก่อนเที่ยงคืนไม่นานในโลกที่เสียงดัง เย็นชา และสว่างไสว พูดตามตรงว่าฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าครรภ์ที่มืดมิดแต่อบอุ่น และเปี่ยมด้วยความรักของแม่นั้นจะถูกแทนที่ด้วยความโกลาหล ความหนาวเย็น ความสับสน และเสียงอึกทึกของโลก โลกที่ฉันอาศัยอยู่เป็นเวลา 85 ปี ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยหลังจากที่ฉันเกิดมา พร้อมกับลมหายใจแรกของฉันนั้น อนัตตา ก็ถือกำเนิดมาด้วยเช่นกัน และเธอก็จะอยู่กับฉันไปตลอด การเดินทางผ่านของชีวิต ต่างจาก โพธิผู้ดำรงอยู่ใน “หัวใจ” แต่อนัตตาจะดำรงอยู่ใน “จิตและกาย” ซึ่งตอนนั้นฉันไม่รู้อะไรเลย รู้เพียงแค่ว่าอนัตตามีอิทธิพลต่อฉันอย่างมากตลอดทั้งชีวิตของฉัน อันที่จริงแล้ว ตามที่ฉันได้ค้นพบในวันนี้ อนัตตา ไม่เพียงแค่ครอบครองชีวิตฉันเท่านั้น แต่เธอทำมันได้อย่างสมบูรณ์แล้วด้วย ทุกสิ่งที่ฉันทำตลอดชีวิตถูกกำหนดโดยความปรารถนาของเธอ จนวันนี้ วันที่ฉันกำลังจะลาจากโลกนี้ไป ฉันแทบไม่ได้ยินเสียงของ โพธิ อีกเลย คำแนะนำของเขาที่บริสุทธิ์และเข้าใจง่ายตั้งแต่ก่อนฉันเกิด บัดนี้ได้สงบลงแล้ว มันถูกซ่อนอยู่ภายในใจของฉัน และรอคอยการ