เมื่อเห็นเหล่าญาติ ๆ ต่างพากันขุ่นเคือง เจี่ยงหลานก็แอบยิ้มในใจ หลังจากพวกหล่อนเผยแพร่เรื่องนี้ ถึงแม้ชื่อเสียงของหานซานเฉียนจะแย่ลง แต่มันจะช่วยปกป้องภาพลักษณ์ของซูหยิงเซี่ยได้ และคนนอกจะได้ไม่คิดว่าซูหยิงเซี่ยเป็นคนทิ้งหานซานเฉียน ฝ่ายที่อ่อนแอกว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดว่าซูหยิงเซี่ยผิด สำหรับหานซานเฉียนที่น่าสังเวช จะถูกด่าว่าอย่างไรเจี่ยงหลานก็ไม่สนใจ เธอไม่อยากเป็นแม่ยายของหานซานเฉียนอีก และเจี่ยงหลานเชื่อว่าหานซานเฉียนจะไม่กลับมาแก้แค้น เพื่อเป็นการปกป้องซูหยิงเซี่ย เขาจะต้องแบกรับความอับอายนี้ไว้อย่างเงียบ ๆ คนเดียวแน่นอน “ผู้ชายก็อย่างนี้แหละ คนธรรมดาไร้ค่าจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้เหรอ” เจี่ยงหลานพูดพร้อมกับถอนหายใจ “หานซานเฉียนคนนี้ จะต้องเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเทียนดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงกล้าทำเรื่องที่ทำให้ซูหยิงเซี่ยเสียใจ” “เขาอยู่ในตระกูลซูมาหลายปีแล้ว เกาะผู้หญิงกินไปตั้งเท่าไหร่ คนอกตัญญู” “ไปซะก็ดี เรื่องแบบนี้ถ้าหนึ่งก็ต้องมีสอง มีสองก็ต้องมีสาม ไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอน แต่ฉันรู้สึกสงสารซูหยิงเซี่ยที่ถูกผู้ชายประเภทนี้หักหลัง”
ในฐานะเพื่อนรักของซูหยิงเซี่ย เฉินหลิงเหยารู้ดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างซูหยิงเซี่ยและหานซานเฉียน รวมถึงเหตุการณ์ในคฤหาสน์จินเฉียวครั้งนั้นว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด สำหรับซูหยิงเซี่ย เธอเห็นว่ามันยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ ในฐานะเจ้าตัว เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเหล่านี้ไปเอาข่าวปลอมนี้มาจากไหน “พวกคุณกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่เหรอคะ ซูหยิงเซี่ยกับหานซานเฉียนจะหย่ากันได้ยังไง?” เฉินหลิงเหยาอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น และพูดเมื่อเธอได้ยินกลุ่มคนพวกนั้นกำลังคุยกันอย่างดุเดือด “ใครพูดไร้สาระ เรื่องนี้ออกมาจากปากของแม่ของซูหยิงเซี่ยเอง ไม่มีทางโกหกแน่นอน” “ป้าทั้งสามเป็นญาติของเจี่ยงหลาน เจี่ยงหลานเป็นคนบอกเธอเอง เธอไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างก็อย่ามาจับผิดคนอื่นดีกว่า” เฉินหลิงเหยาตกตะลึง หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ เรื่องนี้มาจากปากของเจี่ยงหลานเหรอ? เป็นไปได้อย่างไรกัน ทำไมจู่ ๆ เธอถึงพูดแบบนี้ หลังจากนั่งลง เฉินหลิงเหยาก็ถามซูหยิงเซี่ยว่า “หยิงเซี่ย เกิดอะไรขึ้น แม่ของเธอกำลังคิดจะทำอะไรอยู่?” ซูหยิงเซี่ยก้มศีรษะลงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่น ๆ เห็นหน้า และพูดว่า “ไม่หรอกมั้ง มั
“เขาไปแล้ว” เจี่ยงหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ซูหยิงเซี่ยวิ่งกลับไปที่ห้องด้วยความตื่นตระหนก และเปิดตู้เสื้อผ้าดู กลับพบว่าไม่มีเสื้อผ้าของหานซานเฉียนเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้เธอยืนตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ เจี่ยงหลานเดินไปที่ประตูห้อง และพูดกับซูหยิงเซี่ยว่า “หานซานเฉียนเปลี่ยนกลอุบายเพื่อหย่ากับลูก เขาคงวางแผนไว้นานแล้ว ลูกจะไปเสียงใจให้ผู้ชายแบบนั้นทำไม?” ปัง! ซูหยิงเซี่ยปิดประตูอย่างแรง สิ่งที่หานซานเฉียนทำต่อเธอ ซูหยิงเซี่ยรู้ดี เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล อีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็มั่นคงขึ้นมาก และดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหานซานเฉียนจะหย่ากับเธอในช่วงเวลาแบบนี้ได้อย่างไร? ซูหยิงเซี่ยสับสน ร้องไห้โดยที่ศีรษะของเธออยู่ในอ้อมแขนของเธอเอง เมื่อคืนที่ผ่านมาท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่สว่างไสว แต่ตอนนี้โลกของเธอกลับมืดมิด เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหานซานเฉียนถึงทำแบบนี้ เจี่ยงหลานที่ยืนข้างนอกประตูถอนหายใจเล็กน้อย เธอคิดไว้แล้วว่าซูหยิงเซี่ยจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ “ดูสิ่งที่เธอทำลงไปสิ” ซูกั๋วเย่าบ่นเจี่ยงหลาน “ฉันทำเพื่อประโยชน์ของเธอเอง และเรื่อ
เด็กผู้หญิงสองคนเดินควงแขนกันขึ้นลิฟต์ และดูเหมือนว่าพวกเธอสนิทกันมาก เมื่อพวกเธอเห็นชั้นที่หานซานเฉียนกด ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย “คุณเช่าห้องอยู่บนชั้นที่สิบหกเหรอคะ?” หญิงสาวคนหนึ่งถามหานซานเฉียน เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นมิตรกับคนอื่นมากกว่า ซึ่งแตกต่างจากหญิงสาวอีกคนโดยสิ้นเชิง “ใช่แล้ว” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้เช่าบ้านหลังนี้หรอก เขาซื้อ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น หานซานเฉียนจึงไม่อธิบายเพิ่ม “ฉันก็อยู่ที่ชั้นสิบหกเหมือนกันค่ะ จากนี้ไปเรามาเป็นเพื่อนบ้านกันนะคะ ฉันชื่อหยางเหมิง ส่วนเธอชื่อมี่เฟยเอ๋อร์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” หยางเหมิงเป็นมิตรมาก เธอพูดจบก็ยื่นมือไปหาหานซานเฉียน หานซานเฉียนยื่นมือไปจับหยางเหมิงอย่างสุภาพ และพูดว่า “นามสกุลของพี่คือหาน พวกเธอเรียกพี่ว่าพี่หานก็ได้นะ” หยางเหมิงดูเป็นมิตรมาก แต่มี่เฟยเอ๋อร์ปฏิบัติต่อหานซานเฉียนอย่างเย็นชา เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าหานซานเฉียนด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับทักทาย หานซานเฉียนไม่ใช่คนประเภทที่ชอบดูแคลน สำหรับคนที่แสร้งทำเป็นเย็นชา เขาก็ไม่จำเป็นต้องถือสา และหานซานเฉียนก็ไม่ได้ให้ความสำค
เช้าวันรุ่งขึ้น หานซานเฉียนลืมตาขึ้น และหันไปทางซ้ายตามความเคยชิน เพราะในเวลานี้ซูหยิงเซี่ยจะต้องลุกขึ้นไปวิ่งตอนเช้า แต่เมื่อเขาหันศีรษะไป กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงอดฝืนยื้มไม่ได้ “ฉันเคยชินกับเรื่องต่าง ๆ มานานขนาดนั้น เปลี่ยนยังไงก็ไม่หายหรอก” เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นที่คฤหาสน์บนเขา ซึ่งบ่งบอกว่าถึงเวลาต้องออกไปวิ่งตอนเช้าแล้ว ซูหยิงเซี่ยตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ซานเฉียน รีบปิดนาฬิกาปลุกเดี๋ยวนี้เลย” หลังจากพูดคำเหล่านี้ออกไป ซูหยิงเซี่ยก็ลืมตาขึ้น ถึงตระหนักได้ว่า เธอเป็นคนเดียวที่นอนอยู่บนเตียง และเธอก็อดรู้สึกเคว้งคว้างไม่ได้ คนสองคนที่อยู่ไม่ห่างกันลุกขึ้นพร้อมกัน แต่พวกเขาทั้งสองกลับสูญเสียจิตวิญญาณที่เคยมี ซูหยิงเซี่ยไปวิ่งที่ยอดเขาคนเดียว หานซานเฉียนกำลังจะลงไปชั้นล่างเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในชุมชน ทันทีที่เขาเปิดประตู หานซานเฉียนก็เห็นมี่เฟยเอ๋อร์ในชุดกีฬาดูกระฉับกระเฉงมาก ดูจากรูปร่างหน้าตาของเธอแล้ว เธอน่าจะชอบออกกำลังกายตอนเช้าเหมือนกัน “สวัสดี” หานซานเฉียนทักทาย เมื่อทั้งสองกำลังรอลิฟต์ด้วยกัน มี่เฟยเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างหลังหานซานเฉียนหนึ่งเมตร
หลังจากขึ้นลิฟต์ ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิด มี่เฟยเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาด้วยความโกรธ “สนุกมากไหม?” มี่เฟยเอ๋อร์พูดกับหานซานเฉียนหลังจากนั้นไม่นาน “ถ้าเป็นหยางเหมิง ผมจะช่วย” หานซานเฉียนกล่าว ประโยคนี้ทำให้มี่เฟยเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเธอ เขาถึงไม่ช่วย ผู้ชายคนนี้จำเป็นต้องพูดตรง ๆ ขนาดนี้ด้วยเหรอ? “ใช่สิ หยางเหมิงหลอกง่ายกว่า และมีแนวโน้มที่จะถูกหลอกด้วยกลอุบายของเทพบุตรที่เข้ามาช่วยได้ง่ายกว่า” มี่เฟยเอ๋อร์พูดพร้อมกัดฟัน หานซานเฉียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ในเมื่อเธอยากเป็นภูเขาน้ำแข็ง เธอก็ต้องทนหนาว แสร้งทำเป็นเหนือกว่า แต่ต้องการให้คนอื่นช่วยเหลือเธอ เธอคิดว่าโลกทั้งใบขึ้นอยู่กับเธองั้นเหรอ?” หลังจากพูดประโยคนี้จบ ลิฟต์ก็มาถึงชั้นที่สิบหกพอดี และหานซานเฉียนก็เดินออกจากลิฟต์ในทันที ทิ้งมี่เฟยเอ๋อร์ไว้เพียงลำพังด้วยความงุนงง มี่เฟยเอ๋อร์สวยมาก แม้ว่าเธอจะเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็ง แต่ก็ยังมีผู้ชายหลายคนที่คิดอยากลองเอาใจเธอ จึงทำให้มี่เฟยเอ๋อร์มักคิดว่าผู้ชายธรรมดาเหล่านั้นจะด้อยกว่าเธอ หานซานเฉียนที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่าก็เช่นเดียวกัน เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอ
หานซานเฉียน มี่เฟยเอ๋อร์ และหยางเหมิงทั้งสองมาถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว ทีละคน เมื่อหานซานเฉียนไปที่สำนักงานของจงเหลียง มี่เฟยเอ๋อร์และหยางเหมิงก็กำลังรอการสัมภาษณ์อยู่ที่แผนกบุคคล เนื่องจากช่วงนี้ตอนนี้บริษัทกำลังประสบปัญหา ดังนั้นจึงมีแค่เธอสองคนที่มาสัมภาษณ์ แต่ความคิดของคนปกติทั่วไปคงไม่ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน คนส่วนน้อยมากที่คิดกลับกันอย่างมี่เฟยเอ๋อร์ เมื่อสัมภาษณ์ทั้งสองคน หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ถามคำถามหลักว่าทำไมทั้งสองคนถึงเลือกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวในเวลานี้ คำตอบของมี่เฟยเอ๋อร์ตรงไปตรงมามาก เหมือนกับที่เธออธิบายให้หยางเหมิงฟัง และเธอก็แสดงความปรารถนาของเธออย่างเรียบง่าย นี่เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าแผนกบุคคลเจอคนแบบนี้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมองมี่เฟยเอ๋อร์ต่างออกไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านการสัมภาษณ์หรือไม่นั้น ก็ยังคงต้องรอการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของจงเหลียง “เราเข้าใจสถานการณ์พื้นฐานของคุณแล้ว รอสักครู่นะคะ” หลังจากหัวหน้าแผนกออกจากห้องสัมภาษณ์ หยางเหมิงดูประหม่าเล็กน้อย ในขณะที่มี่เฟยเอ๋อร์ดูมั่นใจมาก “พี่เฟยเอ๋อ
คนแรกที่เจอในวันนี้ชื่อ หลิวกั๋วเฟิง หลิวกั๋วเฟิงมาถึงห้องอาหารก่อนแล้ว ถ้าเมื่อก่อนเขาเคยถูกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวสัมภาษณ์ เขาคงจะตื่นเต้นมากอย่างแน่นอน เพราะก่อนที่จะมีการก่อตั้งหาน กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวในหยุนเฉิงเป็นที่ที่ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างต้องการเข้าไปทำงาน เพราะอย่างไรบริษัทนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหานในเหยียนจิง ทุกคนต่างหวังผลประโยชน์ แต่ตอนนี้หลิวกั๋วเฟิงไม่สนใจเรื่องนี้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวถูกหาน กรุ๊ป แซงหน้า การระงับโครงการเฉิงซี ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะแข่งกับหาน กรุ๊ป การมาหาเขาครั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกหลอกใช้ "คุณหลิว ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาถึงเร็วขนาดนี้” จงเหลียงพูดกับหลิวกั๋วเฟิงด้วยรอยยิ้ม หลังจากเข้าไปในห้องอาหาร ท่าทีของหลิวกั๋วเฟิงนั้นเย็นชา ถ้าเป็นเมื่อก่อนการเจอจงเหลียงนั้นเป็นเรื่องยาก แล้วเขาจะยิ้มแย้มได้อย่างไร “หัวหน้าจง วันนี้ผมว่างพอดีเลยมาหาคุณ ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย คุณก็รู้ว่าการมาพบคุณตอนนี้มันอันตรายมาก ถ้าหาน กรุ๊ป รู้เข้า บริษัทของผมอาจจะจบลง” หลิวกั๋วเ