ความคิดดูถูกประเทศจีนของหานเหยียนที่มีต่อประเทศจีนนั้นฝังลึกลงในกระดูก ทำให้หานซานเฉียนโกรธมาก เขาไม่เข้าใจว่าคนที่มีเลือดจีนไหลเวียนอยู่ในร่างกาย จะพูดจาแบบนี้ออกมาได้อย่างไร หานซานเฉียนเคยเห็นคนที่นิยมวัฒนธรรมต่างชาติมามากมาย แต่การไม่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่าจะพูดเสียดสีได้ขนาดนี้ แม้ว่าเธอจะเติบโตในต่างประเทศ แต่อย่างน้อยเธอก็ควรรู้ว่ารากเหง้าของเธออยู่ที่ไหน “นี่คือสิ่งที่ตระกูลหานบ่มสอนคุณมาอย่างนั้นเหรอ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร?” หานซานเฉียนพูดน้ำเสียงเย็นชา การอบรมสั่งสอนที่หานเหยียนได้รับตั้งแต่เด็ก สภาพแวดล้อมที่เธออยู่ และญาติ ๆ รอบตัวเธอปฏิบัติต่อประเทศจีนแทบจะเหมือนกับเธอ คนเหล่านั้นยังดูถูกประเทศจีนเข้ากระดูก จึงทำให้เธอกลายเป็นคนแบบนี้ เธอไม่คิดว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมีอะไรผิด และการที่หานซานเฉียนพูดถึงการอบรมสั่งสอนของตระกูลหานนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการตำหนิตระกูลหาน สวะของตระกูลย่อยมีสิทธิ์อะไรมาตำหนิตระกูลหาน? “คุณกำลังสงสัยเกี่ยวกับการอบรมสั่งสอนระดับสูงที่ฉันได้รับใช่ไหม? อย่าอวดความรักชาติของคุณต่อหน้าฉัน คุณมันปัญญาอ่อนจนไม่มีอะไรจะแสดงให้เห็น คุณก็คง
เซินเวิงไปพบหานจุนในห้องเยี่ยม วันนี้หานจุนกลายเป็นคนไร้ค่า เขาเกลียดหานซานเฉียนเข้ากระดูกดำ แทบอยากจะฆ่าหานซานเฉียนด้วยมือของเขาเอง แล้วดื่มเลือดและกินเนื้อของเขา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถระบายความเกลียดชังที่มีได้ “แผนของเราเป็นยังไงบ้างครับ?” หานจุนถามเซินเวิง “คนจากตระกูลหานในอเมริกาได้ไปที่หยุนเฉิงแล้ว แต่ฉันเดาไม่ถูกว่าพวกเขาจะทำอะไรกันแน่” เซินเวิงกล่าว เขาคือคนที่โทรหาพ่อของหานจุน จุดประสงค์ของเขาก็ง่ายมาก คือต้องการให้หานซานเฉียนเป็นคู่ต่อสู้ แต่คู่ต่อสู้คนนี้จะทำอะไร เซินเวิงไม่รู้ได้ “รีบหาทางให้พวกเขาฆ่าหานซานเฉียนไม่ได้หรือไง?” หานจุนพูดพร้อมกัดฟัน ด้วยสถานะของเซินเวิง เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะควบคุมสิ่งที่ตระกูลหานในอเมริกาทำ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือยุให้พวกเขาเกลียดหานซานเฉียน “หานจุน แกพูดกับฉันแบบนี้เหรอ?” เซินเวิงพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ขอโทษครับ คุณปู่เซิน ผมตื่นเต้นเกินไป ผมแทบรอไม่ไหวที่จะแก้แค้นน่ะครับ” หานจุนก้มศีรษะและขอโทษ แต่ดวงตาของเขาไม่มีวี่แววของความสำนึกผิด “การแก้แค้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม แกยังต้องอยู่ในคุกอีกสอง
หานซานเฉียนและม่อหยางออกจากโรงแรมเพนนินซูล่าพร้อมกัน และคุยเรื่องชิงอวิ๋นในรถ ช่วงนี้หานซานเฉียนปฏิบัติต่อชิงอวิ๋นด้วยท่าทีที่ไร้กังวล และไม่ว่าเขาจะทำอะไรในหยุนเฉิง เขาแค่ขอให้ม่อหยางจัดคนคอยจับตาดูเขา “เพื่อนของนายเป็นคนมีความสามารถนะ” เมื่อพูดถึงชิงอวิ๋น รอยยิ้มเจื่อน ๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของม่อหยาง “เกิดอะไรขึ้น?” หานซานเฉียนสงสัย “นายบอกฉันก่อนเถอะว่าจริง ๆ แล้วพรสวรรค์ที่ว่ามันเป็นยังไง นายรู้จักคนแบบนี้ได้ยังไง?” ม่อหยางสงสัย “เขาเคยเป็นนักบวชลัทธิเต๋าที่เป็นนักต้มตุ๋น เราพบกันโดยบังเอิญ ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนกันหรอก” หานซานเฉียนกล่าว เหตุผลหลักที่เขาให้ชิงอวิ๋นอยู่เคียงข้างเขาคือ เพื่อดูว่าชายคนนี้ต้องการจะทำอะไร และทำไมต้องอยู่เคียงข้างเขา “เฮ้อ” ม่อหยางถอนหายใจและพูดว่า “เขาเข้าไปในห้องร้องเพลง แล้วไปทำลวนลามถึงสามครั้ง สองครั้งแรกไม่มีหลักฐานทำให้เขารอดตัว แต่ครั้งนี้โชคไม่ดีนัก เขาถูกถ่ายรูปไว้ทัน อาจจะถูกปิดไปสักพัก” หานซานเฉียนสีหน้าประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าชิงอวิ๋นไม่ใช่คนดี และมีความต้องการผู้หญิงมาก แต่หานซานเฉียนไม่เคยคิดว่าเขาจะทำสิ่งที่ไร้ยางอายและอนาจารเช่นน
“มีอะไรหรือเปล่า?” หานซานเฉียนเดินเข้ามาถาม ซูหยิงเซี่ยเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ซานเฉียน เมื่อกี้เพื่อนของคุณโทรหาฉัน และบอกว่าเขากำลังจะออกจากหยุนเฉิงแล้ว” เพื่อน? หานซานเฉียนคิดอยู่พักหนึ่ง เธอน่าจะหมายถึงฉินหลิน สถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทซูมีเสถียรภาพแล้ว ฉินหลินก็ต้องกลับเยียนจิงไปจัดการบริษัทเฟิงเชียนของเขาเอง “เขาเป็นหัวหน้าของบริษัทด้วย คงยากที่จะให้เขามาช่วย หรือคุณยังต้องการให้เขาทำงานให้เหรอครับ? หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่เขาเก่งจริง ๆ นะคะ ฉันถือว่าเขาเป็นไอดอลเลย ฉันกลัวว่าบริษัทไม่มีเขาแล้ว ฉันจะรับมือไม่ไหว”ซูหยิงเซี่ยกล่าว ความสามารถของฉินหลินในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ทำให้ซูหยิงเซี่ยรู้สึกชื่นชมเขามากการที่เธอถือว่าเขาเป็นไอดอลไม่ใช่พูดเล่นแน่นอน เมื่อรู้ข่าวว่าจู่ ๆ ฉินหลินจะไป ซูหยิงเซี่ยรู้สึกรับไม่ทันเล็กน้อย คำพูดเหล่านี้ทำให้หานซานเฉียนอิจฉา ฉินหลินเป็นเพียงหุ่นเชิดของเขา จู่ ๆ ซูหยิงเซี่ยก็ถือว่าเขาเป็นไอดอลซะอย่างนั้น เธอเอาผู้ชายคนอื่นมาเป็นไอดอลได้อย่างไร “แล้วผมไม่เก่งเหรอครับ?” หานซานเฉียนพูดไม่ออก เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานซานเฉียนแล้ว ซูหย
“คุณปฏิเสธได้เหรอครับ?” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไมฉันจะปฏิเสธไม่ได้ล่ะ ก็แค่ไม่ไปเท่านั้น" ซูหยิงเซี่ยพูดพร้อมกับทำปากจู๋ เมื่อหานซานเชียนเห็นซูหยิงเซี่ยทำปากจู๋ เขาก็เลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า “แม่ต้องมีแรงจูงใจบางอย่างที่ให้เราไปด้วย ถ้าคุณทำให้เธอไม่พอใจ เธอก็จะโกรธ” ซูหยิงเซี่ยรู้ว่าเจี่ยงหลานต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ลากพวกเขาทั้งสองไปด้วยกัน เป็นเพราะเหตุนี้เหมือนกันที่ซูหยิงเซี่ยไม่อยากไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หานซานเฉียนพูดก็สมเหตุสมผล ถ้าไม่ไปเจี่ยงหลานคงโกรธแน่นอน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้เธอพอใจด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้ จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของหานซานเฉียนก็ดังขึ้น ฉินหลินจะไปแล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องรายงานหานซานเฉียน หลังจากเชื่อมต่อสายแล้ว ฉินหลินก็พูดว่า “คุณหาน ผมจะ...” “ไปให้พ้น รีบไปให้พ้นเลย” หานซานเฉียนพูดจบก็วางสาย ฉินหลินที่อยู่ในโรงแรมถึงกับงุนงง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฟังจากน้ำเสียงของหานซานเฉียนก็รู้ว่าว่าหานซานเฉียนโกรธมาก สิ่งที่ทำให้ฉินหลินครุ่นคิด หรือเขาจะทำอะไรผิดไป? แต่หลังจากคิดแล้ว ฉินหลินก็ยังไ
“แม่ครับ ถึงเราจะไปตอนนี้ ก็ไม่มีใครอยู่โรงแรมหรอกครับ พวกเขายังต้องไปรับเจ้าสาวก่อน เราไปเร็วขนาดนั้น คนอื่นก็จะไม่หัวเราะเยาะเอาหรอกเหรอครับ?” หานซานเฉียนยืนพูดอยู่ข้าง ๆ “พวกเขาไม่ได้จัดในโรงแรม พวกเขาจองบ้านไร่เอาไว้ เราก็ต้องไปบ้านไร่กันแต่เช้านี่ไง” เจี่ยงหลานกล่าว ท่าทีและน้ำเสียงของเธอที่มีต่อหานซานเฉียนดูนุ่มนวลกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่รุนแรงเท่ากับตอนที่เธอพูดกับซูกั๋วเย่า “คนที่รับเจ้าสาวก็ยังไม่มา แขกแบบแม่ไปถึงก่อนซะอีก ถ้าไม่มีใครทักทายแม่ แล้วแม่จะเอาหน้าไปไว้ไหน” ซูหยิงเซี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ไปสาย ๆ หน่อยก็แล้วกันค่ะ น้องสาวของแม่คงมาถึงกันพอดี หลังจากที่แม่ปรากฏตัว พวกเขาก็จะมุ่งความสนใจมาที่แม่ ไม่อย่างนั้นใครจะสังเกตเห็นแม่ล่ะคะ” เมื่อเจี่ยงหลานได้ยินแบบนั้น เธอก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล ยิ่งเธอไปช้าก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ง่ายขึ้น และเธอไม่จำเป็นเรียกร้องความสนใจ “ตกลง ตามนั้นแล้วกัน” เจี่ยงหลานกล่าว หานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยกลับมาที่ห้อง “ฉันไปอาบน้ำก่อนนะคะ คุณอยากไปด้วยกันไหม?” ซูหยิงเซี่ยกล่าว หานซานเฉียนรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดเหล่านี้
“คุณจะไม่กลายเป็นแบบนี้ในอนาคตใช่ไหม” หานซานเฉียนถามซูหยิงเซี่ย หลังจากที่จอดรถและมองไปที่หญิงวัยกลางคนที่ประตู เมื่อเห็นแต่ละคนแต่งตัวประชันกัน ซูหยิงเซี่ยหยิกเอวของหานซานเฉียนอย่างแรง ทำให้หานซานเฉียนอ้าปากค้าง “คุณเห็นฉันเป็นแบบนั้นเหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยกัดฟัน และพูดกับหานซานเฉียน เมื่อรู้ว่าตัวเองพูดผิด หานซานเฉียนจึงรีบปฏิเสธทันที “ไม่แน่นอนครับ ผมแค่พูดเล่น คุณอย่าจริงจังเลยนะ” ซูหยิงเซี่ยตะคอกเสียงเย็นชาว่า “ทีหลังก็คิดให้ดี ๆ ก่อนพูด ฉันไม่ใช่เป็นคนที่จะมายั่วได้ง่าย ๆ นะคะ” หานซานเฉียนยิ้มเจื่อน เขาแน่ใจแล้วว่านิสัยของผู้หญิงนั้นพลิกเปลี่ยนไวยิ่งกว่าพลิกหนังสือซะอีก หลังจากเข้าไปในบ้านไร่แล้ว แขกส่วนใหญ่ก็นั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหาร เวทีงานแต่งงานก็จัดอย่างหรูหรา เจ้าภาพงานแต่งงานและคู่บ่าวสาวทั้งสองได้สรุปขั้นตอนงาน “พวกคุณมาช้าเกินไป ที่นั่งที่จัดไว้ถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว และคนที่มาก็เป็นแขกทั้งหมด อย่างนั้นก็นั่งตรงนี้เถอะ”จีชุนพาเจี่ยงหลานและคนอื่น ๆ ไปที่โต๊ะอาหารที่อยู่ไกลที่สุดจากเวที เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญน้อยที่สุด ทำให้เจี่ยงหลานรู้ส
คำพูดที่อุกอาจแบบนี้ หยางฉียังไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่เขากลับกล้าพูดมันต่อหน้าหานซานเฉียน “แม่ง ฉันมาที่นี่เพราะให้เกียรตินาย หยุดไร้สาระและไปให้พ้นสักที” หยางฉีสบถ เจ้าบ่าวตกตะลึง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ หยางฉีถึงโกรธ จึงรีบพูดว่า “ผมขอโทษ พี่ฉี ถ้าพี่อยากนั่งตรงนี้ก็นั่งได้ตามสบายเลยครับ” “ไปให้พ้น” หยางฉีหมดความอดทน เจ้าบ่าวปาดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว จีชุนตัวแข็งทื่อ ญาติ ๆ ของเธอทุกคนเห็นฉากนี้ทำให้เธอรู้สึกอายเล็กน้อย แต่หยางฉีเป็นคนแบบไหน เธอรู้ดี แม้ว่าเธอจะเสียหน้า เธอก็ทำได้เพียงยอมรับ “พวกเธอนั่งลงก่อน ฉันจะไปจัดการอย่างอื่น” หลังจากจีชุนพูดจบก็รีบออกไป คนอื่น ๆ ก็กลับไปที่เก้าอี้ของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ เก้าอี้ที่ใกล้กับเวทีมากที่สุด ทำให้พวกเธอรู้สึกเหนือกว่าเจี่ยงหลาน อาศัยอยู่ในคฤหาสน์บนภูเขาแล้วอย่างไร ยังถูกลดความสำสำคัญมานั่งในตำแหน่งที่ไม่เป็นจุดสนใจ “พี่ฉี ทำไมพี่ถึงมานั่งตรงนี้คะ?” ซูหยิงเซี่ยถามหยางฉีด้วยความสงสัย เธอและหยางฉีเคยพบกัน และด้วยสถานะของหยางฉี แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่บนเวที ครอบครัวของจีชุนก็ไม่โต้แย้งใด ๆ ดังนั้นซูหยิงเซ