เขาถือนามบัตรเอาไว้ ลู่ซุนรู้สึกเหมือนได้พบกับขุมทรัพย์ ความปรารถนาของเขาที่มีต่อซูหยิงเซี่ยนั้นถึงจุดบ้าคลั่งแล้ว เพราะเขารู้ว่ามีเพียงผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่จะทำให้หานซานเฉียนยอมจำนนต่อหน้าเขาได้“นึกไม่ถึงว่าจะหาที่พักเป็นโฮมสเตย์เพื่อหลบซ่อนตัว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงหายากนัก แต่ตอนนี้ คุณหนีจากเงื้อมมือของผมไม่ได้แล้ว” ลู่ซุนมีรอยยิ้มที่ลามกบนใบหน้า และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสมเพช และพูดกับตัวเองต่อไปด้วยความมั่นใจ “หานซานเฉียน ตอนนี้นายยังกล้าปากแข็งอยู่ไหม ฉันจะพาผู้หญิงคนนี้มาหานายในไม่ช้านี้ แล้วจะให้นายได้เฝ้าดูฉันย่ำยีเธอ”เมื่อออกจากคลับ ลู่ซุนได้เรียกลูกน้องสองสามคนของเขา และขับรถมุ่งไปที่โฮมสเตย์ ซูหยิงเซี่ยนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของโฮมสเตย์ด้วยสีหน้าเม่อลอย เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ลู่ซุนพูดผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อทรมานหานซานเฉียน ยังดีหน่อยที่เธอเข้าใจประเด็นที่สำคัญที่สุด นั่นคือการที่เธอไปที่ตระกูลลู่นั้นไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด กลับจะเป็นการเพิ่มอันตรายให้กับตัวเธอเอง ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้แต่รอให้ม่อหยางและคนอื่
เมื่อซูหยิงเซี่ยบอกสวีถงถึงสิ่งเหล่านี้ ดวงตาของสวีถงก็เป็นประกาย ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนนี้ช่างรุนแรง ความทุ่มเทอย่างเงียบ ๆ ของหานซานเฉียนนั้นน่าประทับใจยิ่ง เพียงแค่ในคำธรรมดาเหล่านี้ สวีถงสามารถสัมผัสได้ถึงความอัปยศอดสู ที่หานซานเฉียนต้องทนทุกข์ทรมานในตระกูลซูเป็นเวลาสามปี เขาสามารถแบกรับได้ทั้งหมดซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้แต่สิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นอย่างแน่ชัดว่า หานซานเฉียนมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อซูหยิงเซี่ย"ทั่วทั้งหยุนเฉิงบอกว่าเขาเป็นสวะ แต่เหตุผลที่เขาอยู่ในตระกูลซูอย่างเงียบ ๆ ก็เพื่อปกป้องคุณจริง ๆ" สวีถงกล่าวซูหยิงเซี่ยพยักหน้าไม่หยุด และพูดว่า “ดังนั้นฉันจึงรู้สึกผิดต่อเขามาก ถ้าฉันรู้สึกตัวเร็วกว่านี้ เขาจะไม่ได้รับความคับข้องใจมากมายขนาดนี้”“ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลง ในตอนนี้คุณรักเขามากขนาดนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าความทุ่มเทของเขาก็ได้รับผลตอบแทนเช่นกัน เขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ” สวีถงกล่าว ในสังคมทุกวันนี้ที่ผู้ชายเลว ๆ มีอยู่ไปทั่ว ผู้หญิงหลาย ๆ คนคงฝันที่จะมีคนที่รักพวกเขามาก ความอิจฉาภายในใจของ สวีถงนั้นไม่สามารถที่จะแสดงออกมาเป็นคำพูดได้อีกต่อไปแล
“หลังจากข่าวของภัตตาคารสุ่ยจิงแพร่ออกไป หลายคนหัวเราะเยาะเธอและหานซานเฉียน แล้วยังบอกอีกว่าเหตุการณ์นี้จงใจมุ่งเป้ามาที่พวกเธอ ไม่อย่างนั้นจะเลือกวันครบรอบแต่งงานของพวกเธอได้ยังไง คิดไม่ถึง ที่แท้ตัวเอกก็คือพวกเธอนี่เอง คนพวกนั้นที่อ่านเรื่องตลกต่างรู้ดีว่าพวกเขาจะอิจฉาจนจะบ้าตาย” สวีถงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอก็เป็นหนึ่งในคนที่อ่านเรื่องตลก อีกทั้งอารมณ์ของเธอตอนนี้สามารถสื่อแทนคนส่วนใหญ่ ที่ดูความตื่นเต้นในคืนนั้น “เขาไม่เคยสนใจสายตาของคนนอกอยู่แล้ว และฉันก็ไม่สนเหมือนกัน” ซูหยิงเซี่ยกล่าว“แต่เธอมีสามีที่สุดยอดขนาดนี้ เธอไม่อยากให้คนอื่นรู้เหรอ?” สวีถงถามด้วยความสงสัย ถ้าเป็นเธอ เธอคงอยากให้หานซานเฉียนไปเล่นเปียโนที่ห้างทุกวัน และเธอก็จะยืนอยู่ข้าง ๆ หานซานเฉียนแล้วเพลิดเพลินไปกับสายตาที่อิจฉาริษยาของผู้หญิงเหล่านั้น ซูหยิงเซี่ยส่ายหน้า และยังไม่ได้บอกตัวตนที่แท้จริงของหานซานเฉียนกับเธอ ดังนั้นซูหยิงเซี่ยจึงรู้สึกว่า เขาต้องมีเรื่องบางอย่างที่อยากทำแน่นอน และเรื่องเหล่านี้ต้องทำภายใต้เงื่อนไขที่เขาปกปิดตัวตน ซูหยิงเซี่ยจะป่าวประกาศเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร “ฉันกลัวว่าจะมีคนแ
“ลู่ซุน แกทำมากเกินไปแล้วนะ" หยางเฉินกล่าว “ฉันเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่มากเกินไป แกไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นคนยังไง? พวกแกหยุดเล่นบ้า ๆ ได้แล้ว หลีกฉัน อัดมันให้ตายไปเลย” ลู่ซุนกล่าว เมื่อลู่ซุนสั่ง พวกอันธพาลจึงไม่กล้าที่จะล้อเล่นกับหยางเฉินอีก ต่างร่วมมือกันตรึงหยางเฉินไว้กับพื้น และแตะต่อยเขา หยางเฉินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเผชิญกับความทรมาน และความเจ็บปวดอยู่ในนรก ในชีวิตนี้เขาไม่เคยถูกทุบตีแบบนี้มาก่อน ซูหยิงเซี่ยได้ยินเสียงร้องครวญอย่างทรมานของหยางเฉิน จึงพูดกับลู่ซุนว่า “รีบบอกให้คนของแกหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ แกจะทำอะไรกันแน่” ลู่ซุนเป็นลูกผู้ดีมีเงินรุ่นที่สอง และยังมีอิทธิพลบนเกาะจีเหยียน เขาคุ้นเคยกับการใช้กำลังเพื่อจัดการฝ่ายตรงข้าม และเขาไม่สนว่าใครจะร้องขอความเมตตา “รีบไปไหนล่ะ ผู้ชายคนนี้อยากเป็นฮีโร่ ฉันก็ต้องสนองความต้องการของเขาสิ ทำให้เขาสำเนียกตัวเองสักหน่อย" ลู่ซุนพูดอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นว่าเสียงร้องของหยางเฉินแผ่วลงเรื่อย ๆ ซูหยิงเซี่ยจึงพยายามผลักอันธพาลเหล่านั้นออก แต่เธออ่อนแอเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น เมื่อหยางเฉินดิ้นจนเฮือกสุดท้าย ลู่ซุนก็พูดว่า “พอแล้ว ขยะแ
ในจัตุรัสเหรินหมิน หานซานเฉียนไม่เคยยอมเมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันอันจากเจียงฟู่ แต่กลับทำให้คนเหล่านั้นคุกเข่าลง ซึ่งทำเอาตะลึงทั้งหยุนเฉิง เข่าของเขา แม้แต่ฟ้าดินก็ไม่ยอมคุกเข่า แต่ตอนนี้เขากลับคุกเข่าลงให้ลู่ซุน ความอับอายและความอัปยศอดสูแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้กับหานซานเฉียน แต่เพื่อซูหยิงเซี่ย เขาทำได้เพียงเท่านั้นและเป็นสิ่งเดียวที่ต้องทำ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ลู่ซุนหัวเราะเต็มปอด การทรมานใด ๆ ไม่ได้ทำให้เขายอม แต่ผู้หญิงคนนี้สามารถทำให้เขายอมจำนนได้ ซึ่งทำให้ลู่ซุนมีความสุขมากจึงพูดว่า “หานซานเฉียน แกเป็นคนใจแข็งไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ไม่ทำตัวแข็งกร้าวแล้วล่ะ เอาหัวโขกพื้นให้ฉันดูสักสองสามทีก่อน แล้วฉันจะพิจารณาว่าจะปล่อยเธอไปดีไหม” หานซานเฉียนกระแทกหน้าผากของตัวเองลงบนพื้นส่งเสียงโครมครามโดยไม่ลังเล “ลู่ซุน ตราบใดที่แกปล่อยเธอไป การที่ฉันเอาหัวโขกก็ไม่สำคัญหรอก แกชนะแล้ว แกเป็นผู้ชนะ ฉันยอมแพ้” หานซานเฉียนกล่าว ลู่ซุนจงใจส่งโทรศัพท์ให้ซูหยิงเซี่ย และพูดว่า “ดูไอ้ผู้ชายขยะคนนี้สิ ตอนนี้เขาคุกเข่าลง และก้มหัวให้ฉัน ขยะแบบนี้ทำไมเธอยังอยู่กับมัน ถ้าเธอมาอยู่กับฉัน ฉันจะทำให้เธ
“ทำยังไงดี มือถือของซูหยิงเซี่ยโทรไม่ติด” ม่อหยางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เข้าไปดูหน่อยสิ” หลังจากที่เตาสือเอ้อร์พูดจบ เขาก็เดินนำไปที่โฮมสเตย์ วิธีที่เตาสือเอ้อร์ทำนั้นเรียบง่ายมาก หยาบคายและตรงไปตรงมา เขาเดินไปถึงหน้าประตู และไม่รีรอที่จะเคาะประตู พลันเตะประตูให้เปิด หยางเฉินและสวีถงอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกด้วยอาการสั่นเทาและตื่นตระหนก ทันทีที่หยางเฉินเห็นเห็นเตาสือเอ้อร์ เขาก็หดคอทันที เพราะเขาคิดว่าคนของลู่ซุนกลับมาทำร้าย แต่พอเห็นม่อหยาง หยางเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พี่ใหญ่ม่อ ในที่สุดพี่ก็มาถึงสักที” หยางเฉินกล่าว ม่อหยางไม่สนใจว่าหยางเฉินเป็นใคร เขาถามว่า “ซูหยิงเซี่ยอยู่ไหน?” “ลู่ซุนลักพาตัวไปแล้ว พี่รีบไปที่บ้านตระกูลลู่เถอะ ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป” หยางเฉินกล่าว ม่อหยางไม่รู้ว่าสถานะของตระกูลลู่บนเกาะจีเหยียนนั้นเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้ต้องทุบเกาะจีเหยียนให้แหลกเป็นผุยผง เขาก็จะช่วยหานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยให้ได้ “ลู่เฟิง?” เตาสือเอ้อร์พูด “ลู่ซุนเป็นลูกชายของลู่เฟิง” หยางเฉินอธิบาย ม่อหยางมองเตาสือเอ้อร์ เพราะเขาเอ่ยชื่อของลู่เฟิง เขาอ
คฤหาสน์ตระกูลลู่ เมื่อลู่ซุนพาซูหยิงเซี่ยไปที่ห้องเก็บไวน์ ซูหยิงเซี่ยก็ทรุดลงทันที หานซานเฉียนนอนอยู่บนกองเลือด แม้ว่าเลือดบนนิ้วทั้งสิบจะแข็งตัว แต่อาการบาดเจ็บสาหัสที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก เธอไม่เคยปวดใจขนาดนี้มาก่อน เหมือนมีคนเอามีดมากรีดแผลในใจเธอ “ซานเฉียน เป็นยังไงบ้าง” ซูหยิงเซี่ยย่อนั่งข้าง ๆ หานซานเฉียน และร้องไห้อย่างเจ็บปวด หานซานเฉียนมองซูหยิงเซี่ย และพยายามสุดแรงเพื่อยิ้ม และพูดว่า “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่เจ็บนิดหน่อยเอง” นัยน์ตาของซูหยิงเซี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอรู้ว่าหานซานเฉียนพูดเพื่อไม่ให้เธอกังวล แม้กระทั่งตอนนี้หานซานเฉียนก็ยังเป็นห่วงความรู้สึกของเธอ “ผมขอโทษ ผมดูแลคุณไม่ดีเอง” หานซานเฉียนกล่าว ซูหยิงเซี่ยเอาแต่ส่ายหัว และพูดว่า “ไม่ใช่ความผิดของคุณ ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยค่ะ ฉันสิต้องขอโทษคุณ ถ้าฉันไม่เลือกมาที่เกาะจีเหยียน เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น” “เด็กโง่ ผมจะโทษคุณได้ยังไง เป็นเพราะผมไม่แข็งแกร่งพอ ผมเคยบอกไปแล้วว่าจะปกป้องคุณและไม่ทำให้คุณได้รับอันตรายใด ๆ แต่ดูตอนนี้สิ ผมดันผิดสัญญากับคุณซะแล้ว” หานซานเฉียนก
ผิวขาวเนียนค่อย ๆ เผยออกมาให้เห็น ลู่ซุนเลียริมฝีปากแห้ง “ไม่นึกเลยว่านังผู้หญิงสำส่อนของแกจะยั่วยวนใจได้ขนาดนี้ น่าเสียดายจริง ๆ ที่ไปอยู่กับสวะแบบแก ถ้ารู้จักฉันเร็วกว่านี้ ไม่งั้นฉันคงไม่ปล่อยให้สวะอย่างแกด้อยค่าหรอก” ลู่ซุนกล่าว “ไม่ อย่า หยิงเซี่ย ผมขอร้องล่ะ อย่า ต่อให้ผมตาย ผมไม่อยากเห็นเขาเหยียดหยามคุณ” หานซานเฉียนพูดอย่างสิ้นหวัง ในขณะที่นอนอ่อนแรงอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำด้วยน้ำตา จู่ ๆ ลูกน้องคนหนึ่งก็มาถึงห้องใต้ดิน และพูดกับลู่ซุนว่า “นายน้อยลู่ มีคนสองคนบุกรุกเข้าไปในบ้านและบอกว่าพวกเขาต้องการพบคุณครับ” เมื่อถูกขัดจังหวะในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ลู่ซุนก็พูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทนว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน ก็จัดการซะ และอย่ามารบกวนฉัน” ลูกน้องมองไปที่ซูหยิงเซี่ย และรู้ว่าลู่ซุนกำลังมีอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่คนสองคนที่อยู่ข้างนอกดูแล้วมีรัศมีที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นหากพวกเขาชกต่อยใครโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ จะยิ่งเดือดร้อนเข้าได้ ถ้าคน ๆ นั้นมีภูมิหลังที่มีอิทธิพล “นายน้อยลู่ จากรูปร่างหน้าตาของพวกเขาแล้ว ตัวตนของพวกเขาดูไม่ธรรมดา คุณจะไปดูไหมครับ?” ลูกน้องถาม ลู่