“แล้วตอนนี้ฉันจะทําอย่างไรดี ฉันทำอะไรไม่ได้เลยเหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยร้องไห้อย่างกระวนกระวายใจในตอนนี้เอง โทรศัพท์ของหยางเฉินก็ดังขึ้น เป็นหมายเลขของหานซานเฉียนที่โทรกลับมา หยางเฉินจึงทำท่าทางให้ซูหยิงเซี่ยเงียบเสียงทันทีหลังจากที่ซูหยิงเซี่ยระงับเสียงร้องไห้ของเธอลงแล้ว หยางเฉิงจึงได้กดปุ่มรับสายและเปิดลำโพง“คนสวย ถ้าคุณต้องการช่วยผู้ชายของคุณ ทางที่ดีก็รีบมาที่บ้านผมโดยด่วน มิฉะนั้นผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าผมจะทําอะไรกับเขา ตอนนี้เขานอนอยู่ตรงหน้าผมเหมือนกับสุนัขที่ตายแล้ว คุณต้องการได้ยินเสียงของเขาไหม?”หลังจากที่ลู่ซุนพูดคําเหล่านี้ออกมา เขาก็เริ่มชกและเตะหานซานเฉียน จนได้ยินเสียงทุบตี แต่ไม่มีเสียงครวญครางที่เจ็บปวดจากหานซานเฉียนแม้แต่น้อย“น่าสมเพช นายมันปากแข็งนักใช่ไหม ฉันจะดูว่านายจะฝืนได้สักแค่ไหน” เดิมทีลู่ซุนต้องการให้หานซานเฉียนเปล่งเสียงออกมา เพื่อทำให้ซู่หยิงเซี่ยกังวลมากขึ้น จากนั้นก็จะเผยตัวตนออกมา แต่เขาไม่คาดคิดว่าหานซานเฉียนจะสามารถกัดฟันและอดทน แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม“เอาไม้จิ้มฟันมาให้ฉัน ฉันจะดูสิว่าเจ้าเศษสวะนี้จะทนได้นานแค่ไหน”“คนสวย
ในเวลานี้ ภายในห้องเก็บไวน์ของคฤหาสน์ตระกูลลู่ ลู่ซุนซึ่งโทรศัพท์ไม่ติดนั้นได้กัดฟันด้วยความโกรธ นิ้วทั้งสิบของหานซานเฉียนถูกไม้จิ้มฟันปักจนเลือดไหลไม่หยุด“เศษสวะ นายดูผู้หญิงของนายสิ เขาไม่ได้สนใจความเป็นความตายของนายเลยแม้แต่น้อย” ลู่ซุนเอ่ยกับหานซานเฉียนนิ้วของหานซานเฉียนเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และเสื้อผ้าของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาไม่เพียงแต่จ่ายราคาสําหรับการเชื่อในตัวเหวินเหลียง แต่เขายังมั่นใจในตัวเองมากเกินไป เดิมทีคิดว่าถึงแม้ว่าลู่ซุนจะทำให้ลำบาก แต่เขาก็จะมีความสามารถที่จะออกจากคฤหาสน์ได้ แต่ไม่คิดเลยว่าลู่ซุนจะเตรียมคนมากมายขนาดนี้เพื่อรับมือกับเขา"อย่าปล่อยให้ฉันมีชีวิตอยู่ มิฉะนั้นนายก็จะต้องร้องขอความตาย" หานซานเฉียนกัดฟันและพูดออกมาลู่ซุนตบหน้าหานซานเฉียน และพูดอย่างดูถูกว่า “นายดูสภาพตัวเองตอนนี้ว่าน่าสมเพชขนาดไหน ยังกล้ามาขู่ฉันอีก ความจริงก็คือ ฉันสามารถทําให้นายร้องขอความตายได้ ”“จัดการมัน”เมื่อออกจากห้องเก็บไวน์ไป ลู่ซุนไปนั่งอยู่ภายในห้องนั่งเล่น ในหัวของเขาเต็มไปด้วยรูปลักษณ์ของซูหยิงเซี่ย ยิ่งไขว่คว้ามาไม่ได้ เขายิ่งมีความปรารถนาที่จะได้มา มิฉะนั้นค
เขาถือนามบัตรเอาไว้ ลู่ซุนรู้สึกเหมือนได้พบกับขุมทรัพย์ ความปรารถนาของเขาที่มีต่อซูหยิงเซี่ยนั้นถึงจุดบ้าคลั่งแล้ว เพราะเขารู้ว่ามีเพียงผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่จะทำให้หานซานเฉียนยอมจำนนต่อหน้าเขาได้“นึกไม่ถึงว่าจะหาที่พักเป็นโฮมสเตย์เพื่อหลบซ่อนตัว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงหายากนัก แต่ตอนนี้ คุณหนีจากเงื้อมมือของผมไม่ได้แล้ว” ลู่ซุนมีรอยยิ้มที่ลามกบนใบหน้า และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสมเพช และพูดกับตัวเองต่อไปด้วยความมั่นใจ “หานซานเฉียน ตอนนี้นายยังกล้าปากแข็งอยู่ไหม ฉันจะพาผู้หญิงคนนี้มาหานายในไม่ช้านี้ แล้วจะให้นายได้เฝ้าดูฉันย่ำยีเธอ”เมื่อออกจากคลับ ลู่ซุนได้เรียกลูกน้องสองสามคนของเขา และขับรถมุ่งไปที่โฮมสเตย์ ซูหยิงเซี่ยนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของโฮมสเตย์ด้วยสีหน้าเม่อลอย เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ลู่ซุนพูดผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อทรมานหานซานเฉียน ยังดีหน่อยที่เธอเข้าใจประเด็นที่สำคัญที่สุด นั่นคือการที่เธอไปที่ตระกูลลู่นั้นไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด กลับจะเป็นการเพิ่มอันตรายให้กับตัวเธอเอง ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้แต่รอให้ม่อหยางและคนอื่
เมื่อซูหยิงเซี่ยบอกสวีถงถึงสิ่งเหล่านี้ ดวงตาของสวีถงก็เป็นประกาย ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนนี้ช่างรุนแรง ความทุ่มเทอย่างเงียบ ๆ ของหานซานเฉียนนั้นน่าประทับใจยิ่ง เพียงแค่ในคำธรรมดาเหล่านี้ สวีถงสามารถสัมผัสได้ถึงความอัปยศอดสู ที่หานซานเฉียนต้องทนทุกข์ทรมานในตระกูลซูเป็นเวลาสามปี เขาสามารถแบกรับได้ทั้งหมดซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้แต่สิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นอย่างแน่ชัดว่า หานซานเฉียนมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อซูหยิงเซี่ย"ทั่วทั้งหยุนเฉิงบอกว่าเขาเป็นสวะ แต่เหตุผลที่เขาอยู่ในตระกูลซูอย่างเงียบ ๆ ก็เพื่อปกป้องคุณจริง ๆ" สวีถงกล่าวซูหยิงเซี่ยพยักหน้าไม่หยุด และพูดว่า “ดังนั้นฉันจึงรู้สึกผิดต่อเขามาก ถ้าฉันรู้สึกตัวเร็วกว่านี้ เขาจะไม่ได้รับความคับข้องใจมากมายขนาดนี้”“ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลง ในตอนนี้คุณรักเขามากขนาดนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าความทุ่มเทของเขาก็ได้รับผลตอบแทนเช่นกัน เขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ” สวีถงกล่าว ในสังคมทุกวันนี้ที่ผู้ชายเลว ๆ มีอยู่ไปทั่ว ผู้หญิงหลาย ๆ คนคงฝันที่จะมีคนที่รักพวกเขามาก ความอิจฉาภายในใจของ สวีถงนั้นไม่สามารถที่จะแสดงออกมาเป็นคำพูดได้อีกต่อไปแล
“หลังจากข่าวของภัตตาคารสุ่ยจิงแพร่ออกไป หลายคนหัวเราะเยาะเธอและหานซานเฉียน แล้วยังบอกอีกว่าเหตุการณ์นี้จงใจมุ่งเป้ามาที่พวกเธอ ไม่อย่างนั้นจะเลือกวันครบรอบแต่งงานของพวกเธอได้ยังไง คิดไม่ถึง ที่แท้ตัวเอกก็คือพวกเธอนี่เอง คนพวกนั้นที่อ่านเรื่องตลกต่างรู้ดีว่าพวกเขาจะอิจฉาจนจะบ้าตาย” สวีถงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอก็เป็นหนึ่งในคนที่อ่านเรื่องตลก อีกทั้งอารมณ์ของเธอตอนนี้สามารถสื่อแทนคนส่วนใหญ่ ที่ดูความตื่นเต้นในคืนนั้น “เขาไม่เคยสนใจสายตาของคนนอกอยู่แล้ว และฉันก็ไม่สนเหมือนกัน” ซูหยิงเซี่ยกล่าว“แต่เธอมีสามีที่สุดยอดขนาดนี้ เธอไม่อยากให้คนอื่นรู้เหรอ?” สวีถงถามด้วยความสงสัย ถ้าเป็นเธอ เธอคงอยากให้หานซานเฉียนไปเล่นเปียโนที่ห้างทุกวัน และเธอก็จะยืนอยู่ข้าง ๆ หานซานเฉียนแล้วเพลิดเพลินไปกับสายตาที่อิจฉาริษยาของผู้หญิงเหล่านั้น ซูหยิงเซี่ยส่ายหน้า และยังไม่ได้บอกตัวตนที่แท้จริงของหานซานเฉียนกับเธอ ดังนั้นซูหยิงเซี่ยจึงรู้สึกว่า เขาต้องมีเรื่องบางอย่างที่อยากทำแน่นอน และเรื่องเหล่านี้ต้องทำภายใต้เงื่อนไขที่เขาปกปิดตัวตน ซูหยิงเซี่ยจะป่าวประกาศเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร “ฉันกลัวว่าจะมีคนแ
“ลู่ซุน แกทำมากเกินไปแล้วนะ" หยางเฉินกล่าว “ฉันเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่มากเกินไป แกไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นคนยังไง? พวกแกหยุดเล่นบ้า ๆ ได้แล้ว หลีกฉัน อัดมันให้ตายไปเลย” ลู่ซุนกล่าว เมื่อลู่ซุนสั่ง พวกอันธพาลจึงไม่กล้าที่จะล้อเล่นกับหยางเฉินอีก ต่างร่วมมือกันตรึงหยางเฉินไว้กับพื้น และแตะต่อยเขา หยางเฉินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเผชิญกับความทรมาน และความเจ็บปวดอยู่ในนรก ในชีวิตนี้เขาไม่เคยถูกทุบตีแบบนี้มาก่อน ซูหยิงเซี่ยได้ยินเสียงร้องครวญอย่างทรมานของหยางเฉิน จึงพูดกับลู่ซุนว่า “รีบบอกให้คนของแกหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ แกจะทำอะไรกันแน่” ลู่ซุนเป็นลูกผู้ดีมีเงินรุ่นที่สอง และยังมีอิทธิพลบนเกาะจีเหยียน เขาคุ้นเคยกับการใช้กำลังเพื่อจัดการฝ่ายตรงข้าม และเขาไม่สนว่าใครจะร้องขอความเมตตา “รีบไปไหนล่ะ ผู้ชายคนนี้อยากเป็นฮีโร่ ฉันก็ต้องสนองความต้องการของเขาสิ ทำให้เขาสำเนียกตัวเองสักหน่อย" ลู่ซุนพูดอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นว่าเสียงร้องของหยางเฉินแผ่วลงเรื่อย ๆ ซูหยิงเซี่ยจึงพยายามผลักอันธพาลเหล่านั้นออก แต่เธออ่อนแอเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น เมื่อหยางเฉินดิ้นจนเฮือกสุดท้าย ลู่ซุนก็พูดว่า “พอแล้ว ขยะแ
ในจัตุรัสเหรินหมิน หานซานเฉียนไม่เคยยอมเมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันอันจากเจียงฟู่ แต่กลับทำให้คนเหล่านั้นคุกเข่าลง ซึ่งทำเอาตะลึงทั้งหยุนเฉิง เข่าของเขา แม้แต่ฟ้าดินก็ไม่ยอมคุกเข่า แต่ตอนนี้เขากลับคุกเข่าลงให้ลู่ซุน ความอับอายและความอัปยศอดสูแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้กับหานซานเฉียน แต่เพื่อซูหยิงเซี่ย เขาทำได้เพียงเท่านั้นและเป็นสิ่งเดียวที่ต้องทำ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ลู่ซุนหัวเราะเต็มปอด การทรมานใด ๆ ไม่ได้ทำให้เขายอม แต่ผู้หญิงคนนี้สามารถทำให้เขายอมจำนนได้ ซึ่งทำให้ลู่ซุนมีความสุขมากจึงพูดว่า “หานซานเฉียน แกเป็นคนใจแข็งไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ไม่ทำตัวแข็งกร้าวแล้วล่ะ เอาหัวโขกพื้นให้ฉันดูสักสองสามทีก่อน แล้วฉันจะพิจารณาว่าจะปล่อยเธอไปดีไหม” หานซานเฉียนกระแทกหน้าผากของตัวเองลงบนพื้นส่งเสียงโครมครามโดยไม่ลังเล “ลู่ซุน ตราบใดที่แกปล่อยเธอไป การที่ฉันเอาหัวโขกก็ไม่สำคัญหรอก แกชนะแล้ว แกเป็นผู้ชนะ ฉันยอมแพ้” หานซานเฉียนกล่าว ลู่ซุนจงใจส่งโทรศัพท์ให้ซูหยิงเซี่ย และพูดว่า “ดูไอ้ผู้ชายขยะคนนี้สิ ตอนนี้เขาคุกเข่าลง และก้มหัวให้ฉัน ขยะแบบนี้ทำไมเธอยังอยู่กับมัน ถ้าเธอมาอยู่กับฉัน ฉันจะทำให้เธ
“ทำยังไงดี มือถือของซูหยิงเซี่ยโทรไม่ติด” ม่อหยางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เข้าไปดูหน่อยสิ” หลังจากที่เตาสือเอ้อร์พูดจบ เขาก็เดินนำไปที่โฮมสเตย์ วิธีที่เตาสือเอ้อร์ทำนั้นเรียบง่ายมาก หยาบคายและตรงไปตรงมา เขาเดินไปถึงหน้าประตู และไม่รีรอที่จะเคาะประตู พลันเตะประตูให้เปิด หยางเฉินและสวีถงอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกด้วยอาการสั่นเทาและตื่นตระหนก ทันทีที่หยางเฉินเห็นเห็นเตาสือเอ้อร์ เขาก็หดคอทันที เพราะเขาคิดว่าคนของลู่ซุนกลับมาทำร้าย แต่พอเห็นม่อหยาง หยางเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พี่ใหญ่ม่อ ในที่สุดพี่ก็มาถึงสักที” หยางเฉินกล่าว ม่อหยางไม่สนใจว่าหยางเฉินเป็นใคร เขาถามว่า “ซูหยิงเซี่ยอยู่ไหน?” “ลู่ซุนลักพาตัวไปแล้ว พี่รีบไปที่บ้านตระกูลลู่เถอะ ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป” หยางเฉินกล่าว ม่อหยางไม่รู้ว่าสถานะของตระกูลลู่บนเกาะจีเหยียนนั้นเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้ต้องทุบเกาะจีเหยียนให้แหลกเป็นผุยผง เขาก็จะช่วยหานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยให้ได้ “ลู่เฟิง?” เตาสือเอ้อร์พูด “ลู่ซุนเป็นลูกชายของลู่เฟิง” หยางเฉินอธิบาย ม่อหยางมองเตาสือเอ้อร์ เพราะเขาเอ่ยชื่อของลู่เฟิง เขาอ