“อาจารย์ เรามากินมื้อเช้ากันเถอะ ฉันเลี้ยงเอง” เทียนฉางเฉิงกล่าว หานซานเฉียนชำเลืองมองเทียนหลิงเอ๋อร์ อันที่จริงเขาคาดเดาได้อยู่แล้วว่าทำไมเทียนฉางเฉิงถึงปรากฏตัวขึ้น เรื่องการแข่งขันที่พูดถึงเมื่อครู่นั้นถือเป็นขั้นบันไดให้เทียนฉางเฉิงและเทียนหลิงเอ๋อร์เช่นกันหานซานเฉียนไม่ใช่คนโง่ เขาจะสัมผัสความรู้สึกดี ๆ ที่เทียนหลิงเอ๋อร์มีให้เขาได้อย่างไร? เพียงแต่ความรู้สึกเช่นนี้ไม่จำเป็นสำหรับหานซานเฉียน“ไม่ล่ะครับ ภรรยาของผมยังรอผมอยู่ที่บ้าน” หานซานเฉียนพูดจบก็วิ่งลงไปทางเนินเขาเทียนฉางเฉิงถอนหายใจ เทียนหลิงเอ๋อร์คงจะรู้สึกถึงการปฏิเสธที่ชัดเจนจากเขาแล้ว เทียนหลิงเอ๋อร์เม้มปาก น้ำตาไหลออกมาอย่างผิดหวัง “เทียนหลิงเอ๋อร์ เรากลับบ้านกันเถอะ” เทียนฉางเฉิงกล่าว ราวกับสร้อยไข่มุกขาดสะบั้นล่องลอยล่องไปตามสายน้ำ เทียนหลิงเอ๋อร์เอามือปาดน้ำตาพลางพูดว่า “คุณปู่คะ เขารักซูหยิงเซี่ยมาก หนูอิจฉาเหลือเกิน หนูควรทำยังไงดีคะ”เทียนฉางเฉิงเดินเข้าไปหาเทียนหลิงเอ๋อร์ ลูบหัวด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยว่า “หลิงเอ๋อร์ ปู่จะหาแฟนที่ดีกว่านี้ให้เธอ ให้ดีกว่าเขาเป็นพันเป็นหมื่นเท่าเลย ดีไหม?” เทียน
เมื่อมองภาพด้านหลังที่ฉี๋อีหยุนเดินกลับห้อง หานซานเฉียนก็ขนลุกไปทั้งตัว เขาไม่อยากให้ซูหยิงเซี่ยใกล้ชิดกับฉี๋อีหยุนอย่างไม่มีเหตุผล แต่เรื่องแบบนี้ เขาจะบอกกับซูหยิงเซี่ยได้อย่างไร?ฉี๋อีหยุนเป็นผู้หญิง แล้วยังเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดของซูหยิงเซี่ย เธอมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าใครซะอีก! “บ้าเอ๊ย! คุณอย่ามายุ่งนะ ไม่งั้นผมต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่” หานซานเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า ซูหยิงเซี่ยเพิ่งลงจากเตียงและพาเฉินหลิงเหยาในสภาพผมยุ่งเหยิงไปที่ห้องนั่งเล่น เธอดูสีหน้าไม่สู้ดีนัก มีรอยคล้ำอยู่รอบดวงตาฉี๋อีหยุนสวมแว่นตาและกลับไปมีกริยาสุภาพและสงบเสงี่ยม แต่สำหรับหานซานเฉียนแล้ว คงมองภาพที่เธอสุภาพและสงบเสงี่ยมไม่ได้อีกต่อไป “ซานเฉียน วันนี้เราจะไปซื้อของกัน ไปด้วยกันไหม?” ซูหยิงเซี่ยถามหานซานเฉียน“ไม่ดีกว่า ผมไม่อยากเข้าไปแทรกแซงเวลาที่อยู่กับเพื่อนสนิทของคุณ แต่ว่า…” หานซานเฉียนนั้นอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล เขาอยากให้เธอระวังฉี๋อีหยุน แต่เขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะพูดออกไปแบบนั้นได้อย่างไร“มีอะไรเหรอ?” ซูหยิงเซี่ยถามด้วยความสงสัยทันใดนั้นฉี๋อีหยุนก็จงใจ
“ผมจะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำอะไรลงไป?” หานซานเฉียนถาม“เด็กน้อยอย่างนายไร้ความสามารถ คิดจะมาทำเจ้าชู้กับผู้หญิงในพื้นที่ของฉัน ลงไม้ลงมือกับแผนกต้อนรับของฉัน ฉันขอแค่หนึ่งแสนหยวน นับว่าเห็นแก่หน้านายมากแล้ว” ชายสักแขนลายพร้อยกล่าวนักบวชลัทธิเต๋าจอมปลอมคนนี้ ถอดเสื้อคลุมออกแล้วก็ทำอะไรตามใจ หานซานเฉียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้พลางพูดว่า “ในเมื่อเขาทำเรื่องเกเรเแบบนี้ ในสายตาของผม ก็หักมือทั้งสองของเขาทิ้งเลย ดูว่าในอนาคตเขาจะกล้าทำอีกหรือเปล่า”เมื่อได้ยินแบบนี้ ชิงอวิ๋นก็พูดกับหานซานเฉียนด้วยสีหน้าสิ้นหวัง “พี่ใหญ่ ช่วยผมด้วย ผมยังไม่ได้แตะต้องผู้หญิงคนไหนเลย แค่หนึ่งแสนหยวนเอง คุณก็ไม่ได้ร้อนเงินนี่” เมื่อได้ยินสิ่งที่หานซานเฉียนพูด ชายสักแขนลายพร้อยก็พูดอย่างดูถูกว่า “นับคนอย่างนายเป็นพี่ใหญ่ เจ้าหมอนี่ตาบอดจริง ๆ นายขี้ขลาดพอที่จะยืนดูลูกสมุนของตัวเองมือพิการได้เฉย ๆ งั้นหรือ?” “ถ้าคุณทำให้เขาพิการจริง ๆ ผมจะขอบคุณมาก” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม“บ้าเอ๊ย อย่ามาพูดจาไร้สาระกับฉันอีก รีบเอาเงินมา ฉันไม่อยากเสียเวลากับนายแล้ว ไม่อย่างนั้น นายก็อย่าคิดจะอยู่เป็นสุขเลย” ชายสักแขนลายพ
ชายสักแขนลายพร้อยมาที่ห้องโถงด้วยความระแวดระวัง เขาอดตัวสั่นไม่ได้เมื่อเห็นหลินหยง เขาเป็นเพียงเจ้าของไนต์คลับเล็ก ๆ เท่านั้น เลี้ยงดูนักเลงเอาไว้ไม่กี่คน เมื่อเทียบกับหลินหยงซึ่งเป็นบุคคลในพื้นที่สีเทาจริง ๆ เขาก็เป็นเหมือนมดตัวหนึ่งแม้ว่าตอนนี้หลินหยงจะเป็นเพียงลูกน้องของม่อหยาง แต่ไม่มีใครในเมืองหยุนเฉิงกล้าดูถูกเขา“หยง...พี่หยง คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ มีคำสั่งอะไรหรือเปล่าครับ?” ชายสักแขนลายพร้อยถามอย่างระมัดระวังหลินหยงมองไปรอบ ๆ แต่ไม่พบเงาของหานซานเฉียน จึงถามว่า “พี่ซานเฉียนอยู่ไหน?”“พี่ซานเฉียน?” ชายสักแขนลายพร้อยถามด้วยความประหลาดใจ “ใครคือพี่ซานเฉียนครับ?” “พี่ซานเฉียนบอกให้ฉันมาที่นี่ นายคงไม่ได้ทำอะไรเขาใช่ไหม?” หลินหยงขมวดคิ้ว ถามอย่างเคร่งขรึมและเฉียบขาด ชายสักแขนลายพร้อยไม่รู้ว่าใครคือหานซานเฉียน ที่อยู่ในบาร์ตอนนี้ มีเพียงคนขี้ขลาดเมื่อครู่เท่านั้นอย่าบอกนะว่า...ล้อเล่นหรือเปล่า!ชายสักแขนลายพร้อยยิ้มเจื่อน ๆ เขาคือพี่ซานเฉียนที่หลินหยงพูดถึงงั้นเหรอ? ถ้าหลินหยงยังเรียกเขาว่าพี่ แล้วตำแหน่งของคนคนนี้คืออะไร? ส่วนเขามารีดไถเงินคนใหญ่คนโตเช่นนี้ แถมยัง
ชิงอวิ๋นลูบบั้นท้ายของตัวเองอย่างเศร้า ๆ แล้วพูดอย่างคับข้องใจ “พี่ใหญ่ คุณไม่ได้มาช่วยผมเหรอ?” “จะช่วยนายก็ต้องดูเหตุผลด้วยสิ มันเป็นความผิดของนายก่อน หรือว่านายจะพาลไม่ยอมฟังเหตุผล” หานซานเฉียนกล่าว ชิงอวิ๋นถอนหายใจ นั่งลงยอง ๆ พลางตบไหล่ชายสักแขนลายพร้อยแล้วพูดว่า “พี่ชาย ขอโทษนะ แต่คุณก็ใจดำเกินไป ผมแค่แตะผู้หญิงคนนั้นนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง คุณก็ขอหนึ่งแสน โลภมากเกินไปหน่อยนะ” ชายสักแขนลายพร้อยรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป หานซานเฉียนไม่เอาเรื่อง ต้องให้เขาต้องรับผิดชอบ แถมยังบอกให้ชิงอวิ๋นขอโทษเขาอีก คนใหญ่โตแบบนี้ ต่อให้เขาต้องชดเชยจนครอบครัวล่มจม เขาก็ไม่กล้าปริปากบ่น“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณต้องการ ผมจะส่งเธอให้คุณก็ได้ครับ” ชายสักแขนลายพร้อยกล่าวชิงอวิ๋นจดจำสัมผัสเมื่อคืนนี้ได้ เขาตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”“เรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว นายกลับไปก่อนก็ได้” หานซานเฉียนพูดกับหลินหยง“พี่ซานเฉียน เตาสือเอ้อร์ได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนนี้ คุณต้องการไปเยี่ยมเขาหน่อยไหม?” หลินหยงกล่าว เตาสือเอ้อร์เตือนเขาว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับหานซานเฉียน แต่เมื่อหลินหยงเห็นหาน
หานซานเฉียนกลับมายังโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง พอพลบค่ำ ซูหยิงเซี่ยและทั้งสามคนก็กลับมาพร้อมกับของที่ได้มาอย่างล้นหลาม แต่ละคนมีถุงใหญ่หลายใบอยู่ในมือเมื่อกลับมาถึงบ้าน ทั้งสามคนก็นอนแผอยู่บนโซฟาราวกับกองโคลน ผู้หญิงมีแรงสู้รบที่แข็งแกร่งในการชอปปิงมาตั้งแต่เกิด นี่คือเหตุผลที่ผู้ชายกลัวเรื่องนี้เช่นกัน ในห้างสรรพสินค้า พวกเธอจะไม่มีวันเหนื่อย แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็จะระเบิดออกมาพอเฉินหลิงเหยาเห็นซูหยิงเซี่ยเอาขาพาดบนต้นขาของหานซานเฉียน แล้วหานซานเฉียนยังนวดให้ซูหยิงเซี่ยอีก ความอิจฉาในแววตาของเธอก็ไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย“มีสามีนี่ดีจัง แล้วเมื่อไหร่ฉันจะมีสักคนล่ะ อีหยุน” เฉินหลิงเหยากล่าวฉี๋อีหยุนก็เหนื่อยมาก เธอพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ทำไมเหรอ?” “โทรหาพ่อสื่อให้ฉันหน่อย ถามเขาว่าลืมฉันหรือยัง” เฉินหลิงเหยากล่าวอย่างไม่พอใจฉี๋อีหยุนยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับซูหยิงเซี่ยว่า “พวกเธอจะสวีทกันก็ช่วยกลับไปที่ห้องได้ไหม อยากให้พวกเราอิจฉาตายเหรอ?”ซูหยิงเซี่ยชำเลืองมองหานซานเฉียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเขินอาย เธอชักขากลับอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “ฉันสวีทแล้วจ
การแข่งขันชกมวยคู่แรกเริ่มเวลาสามทุ่ม ผู้ชมเกือบทั้งหมดเข้ามาในพื้นที่แล้ว จนอัฒจันทร์สี่ทิศไม่มีที่ว่าง เมื่อเห็นบรรยากาศที่คึกคักเช่นนี้ หานซานเฉียนอดชื่นชมสมองของเตาสือเอ้อร์ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะการท้าชกชิงเงินรางวัล ผู้ชมคงไม่เยอะขนาดนี้หลังจากการชกคู่แรกเริ่มขึ้น นักมวยสองคนบนสังเวียนต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ผู้ชมกลับยังไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ หลายคนไม่ได้ดูการแข่งขันด้วยซ้ำ เอาแต่พูดคุยกัน“ไม่รู้ว่าชายคนเมื่อคืนวานจะปรากฏตัวหรือเปล่า เขาเอาชนะได้แม้แต่เตาสือเอ้อร์ ได้ดูเขาชกมันเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งจริง ๆ”“ได้ไปตั้งห้าแสน คงจะกำลังสำเริงสำราญอยู่ ตอนนี้ดูกระบวนท่าของนักชกเหล่านี้แล้วน่าเบื่อจริง ๆ ชกไปชกมาก็เข้ารูปแบบเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะการท้าชกชิงเงินรางวัล สู้กลับไปดูทีวีที่บ้านดีกว่า”“ก็ใช่น่ะสิ กระบวนท่าเหล่านี้ดูจนเอียนแล้ว น่าเบื่อจริง ๆ”คนหลายคนที่อยู่ใกล้ ๆ หานซานเซียนพูดคุยกันอย่างเบื่อหน่าย ไม่มีท่าทีสนุกสนานเลยสักนิด ความคิดของพวกเขาเกือบจะเป็นตัวแทนของผู้ชมส่วนใหญ่ในสนาม จากคำพูดเหล่านี้หานซานเฉียนสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเตาสือเอ้อร์ถึงทำการเปลี่ยนแปลงเช่
“ให้ตายสิ! เจ้าหมอนั่นไปจริง ๆ เหรอ?”“เขาไม่กลัวตายจริง ๆ การท้าชกชิงเงินรางวัล นักมวยไม่เคยออมมือมาก่อนนะ”“บ้าเอ๊ย! ผมจะต้องเรียกเขาว่าคุณปู่จริงเหรอ”“เรียกเขาว่าขนไก่ กว่าเขาจะถูกต่อยเข้าโรงพยาบาล พวกเราก็กลับบ้านไปตั้งนานแล้ว” แม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำตามสัญญาอยู่แล้ว อีกอย่างในสายตาของพวกเขา หานซานเฉียนไม่มีโอกาสได้เดินลงจากสังเวียน พอหามขึ้นรถพยาบาล ก็ไม่มีใครรู้จักใครแล้ว?“คืนนี้เพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับผู้ชม จะมีการแข่งขันสำหรับผู้ชมโดยเฉพาะ ทุกคนสามารถขึ้นเวทีได้อย่างอิสระ ใครสามารถยืนหยัดจนจบได้ จะได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่งแสนจากเวทีมวย” ผู้จัดการเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วพูดผ่านไมโครโฟนสิ่งนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วน แม้ว่าเงินหนึ่งแสนจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าไม่น้อย และทุกคนก็สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งหมายความว่าทุกคนมีโอกาสแต่อาศัยหลักการที่ว่าหากศัตรูไม่เคลื่อนไหวฉันก็ไม่เคลื่อนไหว จึงยังไม่มีผู้ชมคนไหนยินดีขึ้นเวทีในขณะนี้ในเวลานี้ หานซานเฉียนที่อยู่ด้านล่างเวทีได้เดินขึ้นไป“ผู้ท้าชิงคนแรกปรากฏตัวแล้ว ใครยินดีรับคำท้าบ้าง?” ผู้จัดการถาม พอเห็