ครอบครัวของเจี่ยงเฟิงกวางสามคนรู้ความจริงทั้งหมด แต่พวกเขาไม่ปล่อยโอกาสที่จะคอยซ้ำเติมครั้งนี้หลิวฮวาทำหน้าดูถูก แล้วพูดว่า “พวกเธอไม่รู้เหรอ ครั้งที่แล้วที่ฉันไปเมืองหยุนเฉิง พวกเขาเปลี่ยนรถเป็นออดี้แล้ว ตอนนี้เป็นคนรวยกันหมดแล้ว พวกเขาจะยังเห็นญาติอย่างพวกเราอยู่ในสายตาได้ยังไงล่ะ”“เปลี่ยนรถเป็นออดี้เหรอ? ซูหยิงเซี่ยทำกำไรได้มากขนาดนั้นเลยเชียว?”“คิดไม่ถึงเลยว่าบ้านของพวกเธอจะมีอนาคตเพราะพึ่งพาผู้หญิง ซูกั๋วเย่าเป็นคนไร้ประโยชน์ หานซานเฉียนก็เหมือนกัน โชคดีชะมัด”“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าคนอย่างหานซานเฉียนแต่งงานกับฉัน ฉันก็ไม่กล้าออกไปไหน กลัวขายหน้า”เจี่ยงเชิงดูเหมือนจะรู้สึกว่าคำพูดเสียดแทงเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้หานซานเฉียนอับอาย จึงพูดต่ออีกว่า “พวกคุณไม่รู้อะไร เวลาน้าหลานมองหานซานเฉียน เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ สถานะของเขาในบ้านก็เหมือนหนูวิ่งเพ่นพ่านบนถนน มีแต่คนเกลียด ไม่รู้จริง ๆ ว่าทนมาได้ยังไงตั้งหลายปี ไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นชายเลยสักนิด ถ้าผมเป็นเขาคงกระโดดตึกฆ่าตัวตายไปนานแล้ว อยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรี ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเลย”“ตอนนี้เขายังล้างจานซักผ้าอยู
ผู้จัดการเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลิ่วจื้อเจี๋ย วันนี้เจ้านายใหญ่กำชับมาเองเลยว่าโรงแรมถูกเหมาไว้แล้ว ไม่ว่าใครจะจองที่นั่งมาก่อนก็ให้ถือเป็นโมฆะ เขารู้ว่าหลิ่วจื้อเจี๋ยจองมาแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ? เจ้านายสั่งมาแล้ว ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้า นั่นหมายความว่าใครก็เข้าไปไม่ได้การล่วงเกินแขกสำหรับโรงแรมจงหวางแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด ตราบใดที่ลูกค้ามีความสามารถมากพอก็เข้าไปได้ทั้งนั้น แต่กับคนที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ถ้าจะให้เข้ามาแล้วจะเป็นอย่างไรต่อล่ะ?“หลิ่วจื้อเจี๋ย คุณหูหนวกหรือเปล่า คุณไม่ได้ยินพวกเขาพูดเหรอว่าวันนี้โรงแรมถูกเหมาแล้ว?” ผู้จัดการพูดอย่างไม่ใส่ใจในสายตาของทุกคนในตระกูลเจี่ยง ภาพลักษณ์ของหลิ่วจื้อเจี๋ยนั้นยิ่งใหญ่ ถ้าเขาเสียหน้าในวันนี้ ต่อไปจะกล้าสู้หน้าคนในตระกูลเจี่ยงได้อย่างไร? “คุณมีอำนาจตัดสินใจเหรอ? เชื่อไหมว่าผมจะโทรหาเจ้านายของคุณทันที รู้จักไหมคำว่าลูกค้าคือพระเจ้า?” หลิ่วจื้อเจี๋ยพูดอย่างเย็นชา“ได้ คุณอยากโทรก็ลองดู ถ้าคุณมีเบอร์โทรศัพท์ของเจ้านายผม ผมจะให้คุณเข้าไป ว่าไงล่ะ?” ผู้จัดการกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทฤษฎีที่ว่าลูกค้าคือพระเจ้าจะเอามาใช้
“คุณปู่คะ พวกเราไปที่อื่นกันเถอะค่ะ” เจี่ยงหว่านกล่าวเจี่ยงหงขมวดคิ้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าคนในครอบครัวจะได้มีอนาคตที่สดใส แล้วเขาจะทนรับความเจ็บใจนี้ได้อย่างไร มาถึงหน้าประตูแล้ว แต่กลับต้องจากไปอย่างเศร้าหมอง มันจะไม่เป็นการเสียหน้าหรอกหรือ“เจี่ยงหว่าน นี่เธอกำลังพูดจาเหลวไหลอะไร พวกเราตระกูลเจี่ยงจะปล่อยให้คนที่ดูถูกคนอื่นแบบนี้มารังแกเหรอ?” เจี่ยงหงกล่าวด้วยความไม่พอใจเมื่อผู้จัดการได้ยินแบบนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณปู่ครับ ผมว่าคุณควรมีไหวพริบสักหน่อยนะว่าเจ้าของโรงแรมจงหวางเป็นใคร หรือว่าคุณไม่รู้? ต้องการให้ผมเตือนความจำคุณหน่อยไหม?”เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว หากยังโวยวายแบบนี้ต่อไปก็อาจเป็นการรบกวนถังจงได้ หลิ่วจื้อเจี๋ยจึงรีบพูดว่า “ผู้จัดการ ผมขอโทษครับ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”ไปเหรอ? คำคำนี้ทำให้เจี่ยงหงหงุดหงิด เขายังไม่ได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับวงศ์ตระกูล แต่กลับทำให้อับอายขายหน้าแล้ว“จื้อเจี๋ย นายหมายความว่ายังไง? ถ้ากลับไปแบบนี้ ตระกูลเจี่ยงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” เจี่ยงหงกล่าวผู้จัดการอดหัวเราะไม่ได้ พลางพูดว่า “คุณปู่ ตระกูลเจี่ยงของพวกคุณ
หลังจากจับจ้องไปที่หานซานเฉียนด้วยสายตาเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ เจี่ยงหว่านก็หันไปมองซูหยิงเซี่ยด้วยสายตาอันเกลียดชัง ราวกับว่าจะถลกหนังซูหยิงเซี่ยทั้งเป็น “ซูหยิงเซี่ย เธอจงใจทำให้พวกเราขายหน้าใช่ไหม?” เจี่ยงหว่านโกรธจนตัวสั่น เรื่องความอับอายขายหน้าในห้างสรรพสินค้า ไม่ง่ายเลยกว่าจะรู้สึกดีขึ้น แต่ตอนนี้เธอยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีกเดิมทีคิดว่าหลังจากขับไล่พวกเธอออกจากบ้านแล้ว มันจะเพียงพอสำหรับการสั่งสอนให้ซูหยิงเซี่ยได้รู้จักกับบทเรียน คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากมันจะไม่เพียงพอ ซูหยิงเซี่ยยังตามมากลั่นแกล้งเธอเรื่องโรงแรมอีก“จงใจเหรอ? เจี่ยงหว่าน พี่ช่วยพูดให้ชัดเจนหน่อย ทำไมฉันต้องจงใจกลั่นแกล้งพี่ด้วย? พี่ต่างหากที่ใช้โทรศัพท์ของคุณตาเพิ่มเบอร์โทรศัพท์ของแม่ฉันลงในแบล็กลิสต์ไม่ใช่เหรอ?” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “ถ้าใช่แล้วจะทำไม พวกเธอมีสิทธิ์อะไรมาร่วมงานเลี้ยงของตระกูล” เจี่ยงหว่านกล่าว“ฉันไม่มีสิทธิ์ ดังนั้นฉันถึงไม่ได้มาเพื่อร่วมงานเลี้ยง แต่แค่เหมาโรงแรมแล้วมารับประทานอาหารกับครอบครัวตามปกติเท่านั้นเอง” ซูหยิงเซี่ยไม่ได้มีนิสัยวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ทุกคนล้วนมีขีดจำกัด เห็นได้ชัดว่าเจี่ยงหว่
“พูดมาสิ” สวี่ฟางยังไม่ทันพูดอะไรเจี่ยงหงก็ชิงพูดออกมาก่อนแล้วเจี่ยงหลานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าให้เจี่ยงหงฟัง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าใครถูกใครผิดเรื่องนี้ทำให้เจี่ยงหงรู้สึกหงุดหงิดมาก เขาเคยคิดว่าเจี่ยงหลานรวยแล้ว จึงไม่เห็นพ่ออย่างเขาอยู่ในสายตา นึกไม่ถึงเลยว่าเจี่ยงหว่านจะสร้างความยุ่งยากให้กับครอบครัวของเจี่ยงหลาน แถมยังถูกไล่ออกจากบ้านอีกด้วย ครอบครัวเจี่ยงหว่านทั้งสามคนถึงขนาดลงทุนแต่งเรื่องมาหลอกเขาเจี่ยงหงจ้องมองเจี่ยงป๋อด้วยความโมโห พลางดุด่าอย่างโกรธเคือง “ฉันแค่ไม่อยู่บ้าน ในฐานะที่แกเป็นพี่ชายคนโต แม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายกับน้องสาวก็ยังทำพัง”“พ่อครับ ผม...”“ไม่ต้องพูดแล้ว ครอบครัวของพวกแกทุกคน รีบขอโทษเจี่ยงหลานซะ” เจี่ยงหงกล่าวเจี่ยงป๋อชำเลืองมองสวี่ฟางและเจี่ยงหว่านด้วยความลำบากใจ ตัวเขาสามารถขอโทษได้โดยไม่มีปัญหา แต่สองคนนี้จะยอมขอโทษได้อย่างไร?โดยเฉพาะเจี่ยงหว่าน เธอถูกทำให้อับอายขายหน้า ถ้าเธอขอโทษเจี่ยงหลาน ต่อไปเธอจะมีหน้าไปเจอใครได้อีก?“คุณปู่ ทำไมหนูต้องขอโทษน้าด้วย หลังจากที่หนูแต่งงานกับหลิ่วจื้อเจี๋ย หนูก็เป็นสมาชิกของตร
คำพูดของหานซานเฉียนทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ญาติของตระกูลเจี่ยงในทันทีแม้ว่าโรงแรมจะถูกเหมาจองในชื่อของหานซานเฉียน แต่มีใครไม่รู้บ้างว่าเป็นเงินของซูหยิงเซี่ย? ด้วยความสามารถอันต้อยต่ำของหานซานเฉียน เขาจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร“หานซานเฉียน นายไม่มีสิทธิ์พูดที่นี่ หุบปากเน่าเหม็นของนายไปซะ”“นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดียังไงมาบอกว่าคุณปู่ไม่มีสิทธิ์”“เกาะเมียกินจนทำตัวเป็นพระเอก ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างเลยนะ”บรรดาญาติ ๆ ต่างชี้หน้าด่าหานซานเฉียนเจี่ยงเชิงเดินเข้าไปหาหานซานเฉียนด้วยใบหน้าเย้ยหยัน แล้วพูดว่า “หานซานเฉียน เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเหรอ? นายไม่รู้จักประมาณตนตั้งแต่เมื่อไหร่?”“ซูหยิงเซี่ย ฉันไม่อยากเห็นคนไร้ประโยชน์ร่วมโต๊ะในมื้ออาหารของวันนี้ เธอไล่เขากลับไปเถอะ” เจี่ยงหงพูดกับซูหยิงเซี่ย ในสายตาของเขา หานซานเฉียนไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เอาเงินของตระกูลซูมาอวดเบ่งต่อหน้าเขา มันไม่ตลกเกินไปหน่อยเหรอ?“คุณตาคะ เรื่องนี้หนูไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจค่ะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าวสีหน้าของเจี่ยงหงขรึมลง แล้วพูดว่า “เธอหมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าตระกูลซูตกไปอยู่ในมือ
เหมาะสมไหมอย่างนั้นเหรอ!สองคำนี้ทำให้เจี่ยงหงโกรธจนตัวสั่นเทา คนไร้ประโยชน์คนนี้ กล้าพูดว่าเขาไม่เหมาะสม !“เจ้าคนสารเลว! ไปเอาความโอหังนี้มาจากไหน แม้แต่หลิ่วจื้อเจี๋ยก็ไม่กล้าพูดกับฉันแบบนี้ นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร?” เจี่ยงหงพูดด้วยความโกรธหานซานเฉียนชำเลืองมองหลิ่วจื้อเจี๋ย หลิ่วจื้อเจี๋ยไม่กล้าสบตาหานซานเฉียน เขาก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว“เขาจะเป็นอะไรได้? ในสายตาของพวกคุณ หลิ่วจื้อเจี๋ยเป็นเจ้านายที่เหนือกว่า แต่ในสายตาของผม เขาไม่ได้มีค่าอะไรเลย” หานซานเฉียนกล่าวทันใดนั้นเจี่ยงหงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าคนไร้ประโยชน์คนนี้จะบอกว่าหลิ่วจื้อเจี๋ยไม่มีค่าในสายตาของเขาตอนนี้ซูหยิงเซี่ยไม่มีอนาคตสดใส แม้แต่เขาก็ยังมีความมั่นใจขนาดนี้ ช่างน่าละอายใจจริง ๆ“หานซานเฉียน คนไร้ประโยชน์เกาะผู้หญิงกินอย่างนาย ยังมีหน้ามาพูดจาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะจนฟันร่วง ถ้าไม่ใช่เพราะซูหยิงเซี่ยได้ขึ้นเป็นผู้ดูแลโครงการ นายก็แทบไม่มีสิทธิ์มายืนต่อหน้าฉันด้วยซ้ำ ออกไปซะ ตระกูลเจี่ยงของเราไม่ยอมรับสถานะของนาย และนายก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปกินข้าวในโรงแรม” เจี่ยงหงพูดจบก็หันไปมองซูหยิงเซี
คำพูดของถังจงทำให้คนในตระกูลเจี่ยงรู้สึกแปลก ๆ ก่อนหน้านี้หานซานเฉียนบอกว่าต้องต้อนรับแขกคนสำคัญ แต่ตอนนี้กลายมาเป็นว่าถังจงต้อนรับแขกคนสำคัญแทน?หรือว่าหานซานเฉียนจะคุยโม้?เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของคนในตระกูลเจี่ยง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน เห็นได้ชัดว่าหานซานเฉียนถูกเปิดโปงเรื่องที่โอ้อวดไว้แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งแม้แต่เจี่ยงหงก็คิดอย่างนั้น ถึงแม้วันนี้เขาจะตัดสินใจไม่ไปรับประทานอาหารที่โรงแรมจงหวางแล้ว แต่การได้เห็นหานซานเฉียนเสียหน้า ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี“คุณหาน ผมขอโทษครับที่มาสาย” ถังจงโค้งคำนับกล่าวขอโทษขณะที่เดินเข้าไปหาหานซานเฉียนเหมือนสายฟ้าฟาดลงตรงกลางใจของทุกคนในตระกูลเจี่ยงตอนกลางวันแสก ๆเป็นไปได้อย่างไร!ถังจงกล่าวขอโทษหานซานเฉียน!หลิ่วจื้อเจี๋ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับภาพที่เกิดขึ้นนี้แม้ว่าเขาจะคาดเดาได้ว่าหานซานเฉียนนั้นไม่ธรรมดา แต่นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ถังจงเองยังต้องก้มหัวขอโทษเขา!อีกอย่าง การโค้งคำนับของถังจงยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าสถานะของเขานั้นต่ำกว่าหานซานเฉียนเป็นไปได้ยังไง!มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันหลิ่วจื้อเจี๋ยเ