เมื่อมองไปที่หลิ่วจื้อเจี๋ย จู่ ๆ เจี่ยงหว่านก็คิดเปรียบเทียบเขากับหานซานเฉียน จริงอยู่ว่ามีคนที่ยกย่องหานซานเฉียนอยู่บ้าง แต่เธอไม่เข้าใจเลยว่าคนไร้ประโยชน์แบบนั้นจะมีคุณสมบัติอะไรที่สามารถมาเทียบกับหลิ่วจื้อเจี๋ยได้?เจี่ยงหว่านเอาแต่สนใจเรื่องที่จะทำให้หานซานเฉียนกลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนอื่น เธอจึงไม่ได้สนใจในจุดนี้ณ เมืองหยุนเฉิงหานซานเฉียนนั่งอยู่ในห้องของประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว ตรงหน้าเขามีจงเหลียงกับตู้หงยืนอยู่เมื่อก่อนตู้หงสงสัยมาตลอดว่าที่จริงแล้วหานซานเฉียนเป็นใครกันแน่ เขายังหนุ่มยังแน่น ไม่นึกเลยว่าจะมีทรัพย์สินหลายหมื่นล้าน จนกระทั่งเขาเข้ามาที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวนี่แหละถึงได้รู้ฐานะที่แท้จริงของหานซานเฉียนเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าผู้อยู่เบื้องหลังของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวก็คือตระกูลหาน และหานซานเฉียนเองก็แซ่หานพอดี บางทีเขาอาจจะมาจากตระกูลหานก็ได้ แต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ตู้หงก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ เรื่องระดับสูงแบบนี้ เขาไม่มีปัญญาจะตรวจสอบได้เลย“คุณหานครับ มะรืนนี้ซูไห่เฉาน่าจะให้คำตอบกับเรา คุณจะออกหน้าเองเลยมั้ยครับ?” ตู้หง
“ซูไห่เฉา จากตำแหน่งประธานบริษัทกลายเป็นแค่คนงานรับจ้าง ถึงนายจะรู้สึกอึดอัด แต่ฉันเชื่อว่านายจะปรับตัวได้ ขอให้โชคดีนะ” หลังจากที่หานซานเฉียนพูดจบเขาก็เดินจากไปโดยไม่ถือสาในสิ่งที่ซูไห่เฉาทำกับเขาเลยแม้แต่น้อยถ้าเขาถือสาละก็ ซูไห่เฉาคงตายไปนานแล้วสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ ซูไห่เฉายังไม่ได้ละเมิดขีดจำกัดของเขาซูไห่เฉาหลบข้างทางเพื่อให้หานซานเฉียนเดิน เขาจะขวางทางก็ไม่กล้า จะสู้ก็สู้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงรู้สึกฉุนเฉียวเท่านั้นหลังจากที่หานซานเฉียนกลับไป ซูไห่เฉาก็คิดจะเข้าไปหาจงเหลียงในบริษัท แต่กลับถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยขวางเอาไว้ เพราะจงเหลียงได้สั่งเอาไว้แล้วว่าถ้าซูไห่เฉามา ห้ามให้เขาเข้ามาในบริษัทซูไห่เฉาจึงทำได้แค่ยืนรออยู่หน้าประตูอย่างช่วยไม่ได้จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน เมื่อซูไห่เฉาเห็นจงเหลียง เขาก็รีบวิ่งไปหาในทันที“พี่จงเหลียงครับ พี่จงเหลียง พี่ให้ผมเข้าไปในบริษัทสักครั้งเถอะนะครับ พี่สามารถยื่นข้อเสนอให้ผมทำตามที่พี่พอใจได้เลยนะครับ” ซูไห่เฉามองจงเหลียงด้วยสายตาอ้อนวอน ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถกอบกู้กิจการให้อยู่รอดได้ คือการที่จะทำให้บริษัทอสัง
“ฉันเนี่ยนะ?” ซูอี้หานขมวดคิ้วอย่างงุนงง เรื่องนี้เป็นหน้าที่ที่ซูไห่เฉาต้องจัดการ ทำไมถึงเอามาโยนให้เธอ แถมเธอก็ไม่มีวิธีอะไรที่จะทำให้จงเหลียงเปลี่ยนใจด้วย“เธอก็ลองไปนอนกับเขาดูสิ ถ้าเขามีความสุข เขาต้องยอมให้โอกาสบริษัทเราอีกครั้งแน่” ซูไห่เฉากล่าว“ซูไห่เฉา นี่นายเสียสติไปแล้วหรือไง” เมื่อซูอี้หานได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นอย่างร้อนรน เธอจะยอมหลับนอนกับจงเหลียงได้ยังไง ในอนาคตเธออาจจะต้องแต่งงานกับผู้ชายจากตระกูลที่ร่ำรวย ถ้าเกิดถูกขุดเรื่องฉาว ๆ ขึ้นมา ไม่เท่ากับดับอนาคตของตัวเองหรอกเหรอ“ซูอี้หาน เธอเองก็เป็นคนตระกูลซูนะ ตอนนี้ฉันแค่ขอให้เธอเสียสละเพื่อตระกูลซูนิดหน่อยเท่านั้นเอง หรือเธอไม่คิดจะช่วยกันเลย?” ซูไห่เฉากล่าว“ก็ไม่น่ะสิ ความบริสุทธิ์ของฉันมีค่ามากกว่าตระกูลซู ถ้าสามีในอนาคตของฉันรู้ ฉันก็จบเห่น่ะสิ” ซูอี้หานกล่าวซูไห่เฉารู้ว่าเธอยังใฝ่ฝันที่จะได้แต่งงานกับตระกูลที่ร่ำรวย แต่ยังมีความจริงบางอย่างที่เธอยังไม่รู้ สำหรับมุมมองของหญิงสาวทั่วไป ความงามของเธอถือว่าไม่แพ้ใคร แต่สำหรับตระกูลร่ำรวยแล้วมันจะไปมีค่าอะไร? ชายหนุ่มผู้มั่งคั่งและมีอิทธิพลพวกนั้นรายล้อมไปด้วยนางแบ
“พวกคุณคิดว่าซูหญิงเซี่ยเป็นโสเภณี และคิดว่าเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผม ทำให้ผมตัดสินใจเจาะจงที่จะร่วมงานกับเธองั้นเหรอ แต่ความจริงแล้วผมกับเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันทั้งนั้น แต่คุณกลับทำตัวเหมือนเป็นโสเภณีจริง ๆ” จงเหลียงพูดอย่างเหยียดหยาม“นี่คุณหมายความว่ายังไง?” ซูอี้หานถามอย่างโกรธเคือง เธอยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อที่จะทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจงเหลียงจะพูดแบบนี้กับเธอ“ผมหมายว่ายังไงอย่างนั้นเหรอ?” จงเหลียงหัวเราะเยาะ แล้วพูดต่ออีกว่า “ก็ไม่ได้หมายความว่ายังไง ผู้หญิงแพศยาแบบคุณ ผมขยะแขยงยิ่งกว่าอะไรดี”เมื่อจงเหลียงพูดจบก็ปิดประตูลงทันทีซูอี้หานรู้สึกโมโหมาก เธอจงใจแต่งตัวเซ็กซี่ขนาดนี้ ชุดซีทรูวับ ๆ แวม ๆ แบบนี้ ผู้ชายหน้าไหนก็ไม่อาจต้านทานไหว แต่...แต่ว่าจงเหลียงกลับขยะแขยงเธองั้นเหรอ!“คุณจงเหลียง ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ” ซูอี้หานเตะประตูด้วยความโมโหพร้อมกับตะโกนเสียงดังจงเหลียงเปิดประตูด้วยสีหน้าที่เย็นชาพร้อมตำหนิเธอว่า “ซูอี้หาน ถ้าคุณยังทำตัววุ่นวายอีกละก็ ผมจะให้พนักงานรักษาความปลอดภัยมาไล่คุณออกไป คุณอยากให้เรื่องนี้มีคนรับรู้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหานซานเฉียนจะยังไม่ลืมเขา เขายังมีโอกาสตอบแทนบุญคุณอยู่วันรุ่งขึ้น ณ สถานีขนส่งปินเซี่ยน รถยนต์ยี่ห้อโรลส์-รอยซ์ แฟนธอมที่มีเพียงคันเดียวในเมืองปินเซี่ยนจอดอยู่ที่ประตูของสถานีขนส่งทุกคนต่างรู้ว่ารถคันนี้เป็นของถังจง ดังนั้นผู้คนที่มองอยู่จึงรู้สึกประหลาดใจมากว่าทำไมถังจงถึงมาที่สถานีขนส่งแบบนี้ได้ ถ้าเป็นบุคคลที่สำคัญจนเขาต้องออกมารับด้วยตัวเอง คนคนนั้นจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงขนาดไหน!ในที่สุดท่ามกลางสายตาแห่งความคาดหวังของทุกคนก็ปรากฏชายหนุ่มที่ไม่น่าสนใจคนหนึ่งซึ่งเดินไปที่รถนึกไม่ถึงเลยว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างถังจง จะเป็นคนลงมาเปิดประตูให้ชายหนุ่มคนนั้นด้วยตัวเขาเอง เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่อย่างคับคั่งต่างรู้สึกตกตะลึงกันหมด“เขาเป็นใครกัน ถังจงถึงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แถมยังเปิดประตูให้อีก!”“ดูแล้วเขายังหนุ่มอยู่เลย อายุน่าจะยังไม่ถึงสามสิบก็มีอำนาจขนาดนี้แล้วเหรอ?”“ดูท่าแล้วเขาคงจะมีอำนาจมากกว่าถังจงเสียอีก เขาใช่คนเมืองปินเซี่ยนหรือเปล่า?”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ผู้คนที่มุงดูจำนวนไม่น้อยต่างพากันถ่ายรู
เจี่ยงหว่านมองรูปถ่ายในโทรศัพท์ อยู่ ๆ เธอก็ยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าซูหยิงเซี่ยและพูดอย่างหยิ่งผยองว่า “ฉันให้ดู เขาเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในเมืองปินเซี่ยน เธอคงจะเคยได้ยินชื่อของเขาใช่ไหม เขาชื่อถังจง หลิ่วจื้อเจี๋ยเป็นเพื่อนกับเขาล่ะ”แม้แต่หลิ่วจื้อเจี๋ยเองก็หน้าแดงด้วยความอับอาย จากคำที่เธอกล่าวโป้ปดออกมา ด้วยฐานะของเขา เขาจะไปเป็นเพื่อนกับถังจงได้อย่างไร เจี่ยงหว่านเป็นคนที่สามารถพูดอะไรออกมาก็ได้เพื่อโอ้อวดอย่างแท้จริงแต่โชคดีที่ซูหยิงเซี่ยไม่รู้จักถังจง เธอจึงไม่ถูกจับได้ว่าโกหกแต่เมื่อซูหยิงเซี่ยเห็นรูปถ่าย เธอก็ไม่ได้สนใจถังจงเลย เธอสนใจแค่แผ่นหลังนั้นที่ทำให้เธอตะลึงเท่านั้นหลังจากเคยผ่านเหตุการณ์เจ้าชายเปียโนตัวน้อย ซูหยิงเซี่ยก็จดจำแผ่นหลังของหานซานเฉียนได้เป็นอย่างดี หรือพูดได้ว่าเธอจดจำมันจนลงลึกถึงกระดูกของเธอเลย แผ่นหลังในรูปภาพที่เธอเห็นอยู่นี้เธอรู้สึกคุ้นเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่หานซานเฉียนแล้วจะเป็นใครได้อีก!เมื่อเห็นว่าซูหยิงเซี่ยใจลอย เจี่ยงหว่านก็คิดว่าเธอคงตกใจจึงพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “อันที่จริงแล้วคนมีชื่อเสียงแบบนี้นิสัยดีมากนะ ก่อนหน้านี้เขายังเคยชวนพวกฉั
เมื่อได้ยินหานซานเฉียนตอบอย่างไม่ใส่ใจ เจี่ยงหว่านก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ เขาควรจะแสดงท่าทีอิจฉาสิจึงจะถูกแม้แต่ซูหยิงเซี่ยเองก็ดูเหมือนจะไม่มีความอิจฉาเลย แบบนี้ไม่ได้การแล้ว“จริงสิ ช่วงบ่ายนี้เราไปเดินเล่นที่ห้างกันเถอะ มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เปิดใหม่ที่เมืองปินเซี่ยน พวกเธอคงยังไม่เคยไป ด้านในมีแต่แบรนด์ดัง ๆ ทั้งนั้นเลย” เจี่ยงหว่านกล่าวเมื่อไปที่ห้างสรรพสินค้า เจี่ยงหว่านจะมีโอกาสโอ้อวดอีกแน่นอน แต่ซูหยิงเซี่ยเอาแต่ส่ายหัวปฏิเสธแล้วพูดว่า “ฉันไม่ไปหรอก ฉันอยากกลับไปดูหมู่บ้านสักหน่อย”“ที่หมู่บ้านมีอะไรน่าดูกัน ในหมู่บ้านมีคนอยู่แค่ไม่กี่คนหรอก เขาย้ายไปอยู่เมืองหลวงกันหมดแล้ว”“ถึงจะไม่มีคนอยู่แล้วแต่ก็ยังมีความทรงจำอยู่ตั้งเยอะ ฉันอยากไปดูแม่น้ำที่เคยเล่นเมื่อสมัยก่อนน่ะ” ซูหยิงเซี่ยเอ่ยเจี่ยงหว่านโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ฉันไม่ไปหรอกนะ ช่วงนี้ยุงเยอะจะตาย ฉันไม่อยากโดนกัด แต่ละเดือนฉันหมดค่าสกินแคร์ไปตั้งหลายหมื่น เธอจะให้ฉันไปที่แบบนั้นได้ยังไงกัน”“พี่หว่าน ถ้าพี่ไม่อยากไปก็ชวนหลิ่วจื้อเจี๋ยไปห้างกับพี่สิ ฉันจะไปกับหานซานเฉียน ถือโอกาสพาเขาไปดูด้วย” ซูอี้หานกล่าวไปห้าง
การโต้เถียงหยุดลงในช่วงรับประทานอาหาร เมื่อเห็นว่าหานซานเฉียนกลายเป็นหัวข้อสนทนา แถมยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับหลิ่วจื้อเจี๋ยไม่หยุด เจี่ยงหว่านรู้สึกมีความสุขมาก เธอต้องการที่จะกดทับหานซานเฉียนเพื่อจะได้ชูให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของหลิ่วจื้อเจี๋ย จะได้รู้สึกว่าเธอนั้นเหนือกว่าซูหยิงเซี่ยหลังจากทานมื้อกลางวันเสร็จ เจี่ยงป๋อและสวี่ฟางที่เป็นเจ้าบ้านก็จงใจไม่ยอมเก็บจานอาหาร ทั้งสองคนเอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา แถมสายตาของทั้งคู่ก็เอาแต่จ้องไปที่หานซานเฉียนอย่างดูถูกหลังจากที่ซูกั๋วเย่ามาถึงที่บ้านตระกูลเจี่ยง เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเขาเองก็ถูกคนในตระกูลเจี่ยงดูถูก ผู้คนในตระกูลเจี่ยงต่างคิดว่าเมื่อเจี่ยงหลานแต่งงานเข้าตระกูลซู พวกเขาก็จะพลอยได้ดีไปด้วย แต่ความจริงก็คือซูกั๋วเย่าไม่ได้มีบทบาทสำคัญในตระกูลซู ตัวเขาเองยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอด แล้วจะให้คอยส่งเสียช่วยเหลือญาติพี่น้องตระกูลเจี่ยงได้อย่างไร ดังนั้นสถานะของซูกั๋วเย่าในบ้านตระกูลเจี่ยงจึงต่ำต้อยมาก“หานซานเฉียน มัวทำหน้ามึนงงอะไร งานพวกนี้นายคุ้นเคยดีอยู่แล้วนี่ กระตือรือร้นหน่อยสิ”เจี่ยงป๋อพูดอย่างไม่พอใจซูหยิงเซี่ยเริ่มรู้สึกโ