บ่ายวันนั้น หนานกงเชียนชิวมาถึงเมืองหยุนเฉิงพร้อมกับฉือจิง “รู้ไหมว่าเจ้าคนไร้ประโยชน์หานซานเฉียนอยู่ที่ไหน?” หลังลงจากเครื่องบิน หนานกงเชียนชิวก็ถามฉือจิง “โครงการคฤหาสน์เขาหยุนติงค่ะ” ฉือจิงกล่าว หนานกงเชียนชิวยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ตระกูลซูร่ำรวยถึงขนาดอาศัยอยู่ในโครงการคฤหาสน์ได้เลยอย่างนั้นเหรอ? ดูท่าทางเขาจะมีความสุขมากในเมืองหยุนเฉิงสินะ” ฉือจิงยิ้มอย่างขมขื่น หานซานเฉียนถูกไล่ออกจากตระกูลหาน เมื่อแต่งงานเข้าตระกูลซูก็ได้รับความอัปยศอดสูไม่น้อย แถมยังเพิ่งได้อาศัยอยู่ในโครงการคฤหาสน์ได้ไม่นาน ในสายตาของหญิงชราคิดว่าเป็นความสุขแล้วอย่างนั้นเหรอ? แล้วหานจุนล่ะ? ชีวิตอันอู้ฟู่หรูหราของหานจุนในหลายปีที่ผ่านมาจะเรียกว่าอะไรดี? ฉือจิงไม่อาจยืนข้างใครได้ในตอนนี้ เธอแค่ปฏิบัติตัวในฐานะผู้ชม แม้เมื่อก่อนเธอจะเคยให้ค่าหานจุนมาก แต่นับตั้งแต่หนานกงเชียนชิวยืนกรานว่าจะส่งหานซานเฉียนไปติดคุกแทนหานจุน ความอยุติธรรมนี้ทำให้ฉือจิงไม่ยินดีช่วยเหลือหานจุนอีก ถึงอย่างไรหานซานเฉียนก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอเช่นกัน เขาก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติแบบนี้ “แม่คะ แม่ไม่คิดว่าการส่งหานจุนกลับไป
เจี่ยงหลานเดินไปที่ประตูด้วยความหงุดหงิด เมื่อเธอเห็นฉือจิงและหนานกงเชียนชิวที่หน้าประตู ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างไม่รู้ต่อกี่เท่า เธอไม่รู้จักหญิงชราคนนี้ แต่ชั่วชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันลืมฉือจิง การตบหน้าอย่างแรงยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจำของเจี่ยงหลาน แล้วเธอยังได้รู้จากปากหานซานเฉียนอีกว่าฉือจิงเป็นคนที่ร้ายกาจมาก เธอ… ทำไมจู่ ๆ เธอถึงมาหาฉันถึงบ้าน! เจี่ยงหลานยังคงจำได้ว่าฉือจิงต้องการให้เธอทำตัวเงียบ ๆ ถ้าทำให้เขาเดือดร้อนอีก ก็จะทำให้เธอใช้ชีวิตด้วยความเสียใจภายหลัง แต่… แต่เจี่ยงหลานไม่รู้ว่าเขาที่ฉือจิงพูดถึงเป็นใคร อย่าบอกนะว่า เธอไปล่วงเกินคนคนนั้นอีกแล้วเหรอ? เจี่ยงหลานนึกถึงเรื่องที่เธอเพิ่งทำไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองไปล่วงเกินใครมา “คุณ… คุณมาที่นี่ทำไม?” เจี่ยงหลานพูดกับฉือจิงอย่างลนลาน หนานกงเชียนชิวชำเลืองมองเจี่ยงหลานอย่างเย็นชาก่อนถามขึ้น “เมื่อกี้คุณบอกว่าใครเป็นคนแปลกหน้านะ?” เจี่ยงหลานตัวสั่นด้วยความกลัวและรีบพูดว่า “ฉันขอโทษค่ะ ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้พูดถึงพวกคุณเลยแบบนั้นค่ะ” แม้เจี่ยงหลานจะไม่รู้ว่าหนานกงเชียนชิวเป็นใคร แต่หญิงชราผู้นี้
“ดูเหมือนว่าถ้าฉันไม่สั่งสอนบทเรียนให้กับเธอบ้าง เธอคงไม่รู้ว่ายายแก่อย่างฉันเป็นใคร” หนานกงเชียนชิวชักไม้เท้ากลับ แล้วกระแทกลงบนพื้นเสียงดังกึกก้อง บอดี้การ์ดหลายคนที่ติดตามเธอมาด้วย หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาหาซูหยิงเซี่ย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “คุกเข่าลง” “ฉันไม่คุกเข่า คุณจะทำอะไรฉันได้?” ซูหยิงเซี่ยเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าไม่ยอมแพ้ บอดี้การ์ดที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ กระชากผมของซูหยิงเซี่ยให้ก้มหัวลง แล้วยกหัวเข่าขึ้นกระแทกเข้าไปที่ท้องของซูหยิงเซี่ยอย่างแรง ซูหยิงเซี่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากบอดี้การ์ด เธอคุกเข่าลงบนพื้นอย่างไม่มีทางเลือก เธอมีนิสัยดื้อรั้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่ง เธอจะเอาอะไรไปสู้กับบอดี้การ์ดได้? หนานกงเชียนชิวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แล้วบอกกับซูหยิงเซี่ยว่า “อารมณ์รุนแรงนักไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงยอมคุกเข่าแล้วล่ะ” ซูหยิงเซี่ยยังคงมีสีหน้าไม่ยอมแพ้ เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจ้องไปที่หนานกงเชียนชิวอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วพูดว่า “ฉันคุกเข่าให้คุณได้ แถมยังจุดธูปสามดอกให้คุณได้ด้วย คุณจะเอาหรือเปล่าล่ะ?” หนานกงเชียนชิวรู้
“หานซานเฉียน แกมัวไปตายอยู่ที่ไหน ยังไม่กลับมาอีก!” ทันทีที่ปลายสายกดรับสาย เจี่ยงหลานก็ดุด่าอย่างโกรธเคือง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากหานซานเฉียน ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ซูหยิงเซี่ยจะโดนทำร้ายได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เจี่ยงหลานยังเข้าใจด้วยว่า วันนี้การที่ฉือจิงปรากฏตัวขึ้น พวกเขาไม่ได้มาเพื่อสร้างปัญหาให้กับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้กลัวมากนัก ขอแค่ให้หานซานเฉียนมารับผลที่ทำไว้ ตระกูลซูก็จะสามารถหลุดพ้นได้แล้ว ถ้าหานซานเฉียนทำให้พวกเธอเดือดร้อน เจี่ยงหลานก็มีวิธีเช่นกัน วิธีที่ดีที่สุดคือให้ซูหยิงเซี่ยหย่ากับหานซานเฉียนทันที เธอจะได้ไม่ต้องถูกลากเข้าไปพัวพันอีก หลังจากได้พบหานจุน หานซานเฉียนได้โทรศัพท์ของตัวเองคืนมา แต่จู่ ๆ เจี่ยงหลานก็บอกให้เขากลับไป อีกทั้งท่วงทำนองการพูดจายังเลวร้ายมาก ทำให้หานซานเฉียนไม่เข้าใจ “แม่ครับ มีอะไรหรือเปล่า?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม “แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ ฉันไม่ใช่แม่ของแก ตอนนี้ศัตรูของแกมาหาถึงบ้านแล้ว แกยังจะหลบอยู่อีกเหรอ รีบกลับมาเดี๋ยวนี้” เจี่ยงหลานกล่าว ศัตรู! เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของหานซานเฉียนก็หรี่ลง หนานกงเชียนชิวคงไ
บอดี้การ์ดหลายคนถูกหานซานเฉียนที่กำลังโกรธจัดการล้มลงทั้งหมด จนทุกคนก็หมดสติไปทันที ไม่มีช่องให้ตอบโต้เลย สีหน้าของหนานกงเชียนชิวซีดเผือดราวกับกระดาษ คราวที่แล้วเธอคิดว่าหานซานเฉียนชนะชายชุดดำด้วยความโชคดี แต่ในตอนนี้ทักษะอันแข็งแกร่งของหานซานเฉียนได้ประจักษ์ต่อหน้าเธอจริง ๆ มันยังเป็นความโชคดีได้อีกเหรอ? “แก...” หนานกงเชียนชิวมองไปที่หานซานเฉียนอย่างไม่เชื่อสายตา เป็นไปได้อย่างไร? คนไร้ประโยชน์อย่างเขา ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้! บอดี้การ์ดเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนจากเหยียนจุน ซึ่งเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งในการปกป้อง ทำไม ทำไมต่อหน้าหานซานเฉียนกลับเป็นเหมือนหุ่นกระดาษโง่ ๆ! ความเข้าใจในตัวหานซานเฉียนที่หนานกงเชียนชิวมีพังทลายลงในช่วงเวลาสั้น ๆ เธอรู้สึกตกใจมากจนไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ แม้ว่าฉือจิงจะรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อเทียบกับความกระวนกระวายของหนานกงเชียนชิวแล้วกลับน้อยกว่ามาก เพราะเธอไม่ได้มองหานซานเฉียนเป็นคนไร้ค่า เขาได้รับความอยุติธรรมมาตั้งแต่เด็ก จึงแอบทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างลับ ๆ ย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ “รู้ไหมว่าทำไมผมต้องอดทนอยู่หลายปี?”
“หานซานเฉียน คุณย่ามาแล้ว ทำไมแกยังไม่คุกเข่าขอโทษฉันอีก” ครู่หนึ่งหลังจากการแสดงความรักของย่าหลานผ่านไป หานจุนก็พูดกับหานซานเฉียนด้วยสายตาชั่วร้าย เมื่อมีหนานกงเชียนชิว หานจุนก็มีความมั่นใจ เพราะตราบใดที่คุณย่าของเขายังอยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย เขาก็ไม่กลัว ยิ่งไปกว่านั้น หานจุไม่เชื่อว่าต่อหน้าหนานกงเชียนชิว หานซานเฉียนจะกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม คนไร้ประโยชน์ อย่างไรก็เป็นคนไร้ประโยชน์วันยังค่ำ จะมีจิตใจที่เข้มแข็งได้อย่างไรกัน? “หานซานเฉียน แม้แต่พี่ชายของตัวเองยังกล้าทุบตี ถ้าแกไม่ตาย สวรรค์คงไม่ให้อภัยฉันแน่” หนานกงเชียนชิวพูดอย่างโกรธเคือง พี่ชาย? สวรรค์ไม่ให้อภัย? หานซานเฉียนหัวเราะเยาะ ถ้าเขาไม่ต่อต้าน ก็คงตายอยู่ในเงื้อมมือลูกน้องของหนานกงเชียนชิวไปนานแล้ว หรือว่าต้องยอมตายก่อนเหรอ สวรรค์ถึงจะให้อภัยเขา? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง จะมีสวรรค์เอาไว้ทำไม? “หนานกงเชียนชิว สวรรค์ไม่ให้อภัยผม ผมก็สวนทางสวรรค์ซะเลย ใครจะทำไม?” หานซานเฉียนพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาหานจุน บอดี้การ์ดที่หนานกงเชียนชิวพามาถูกหานซานเฉียนซัดหมอบลงกับพื้นหมดแล้ว ดังนั้นหนานกงเชียนชิวจึงทำได้เพียงปกป้องหา
ใบหน้าของหานซานเฉียนเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาจะไม่เห็นใคร ๆ ในตระกูลหานอยู่ในสายตาก็ได้ แต่ความเคารพที่มีต่อเหยียนจุนนั้นฝังลึกเข้าไปในไขกระดูก เพราะถ้าไม่มีเหยียนจุน ก็จะไม่มีเขาในวันนี้ “อาจารย์ ผมอยากนอนก็นอนไม่หลับครับ” หานซานเฉียนกล่าว “ในเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ถึงเวลาบอกให้โลกรู้จักได้แล้วว่านายเป็นใคร” เหยียนจุนกล่าว จากนั้นเขาก็เดินออกไปทางด้านหนึ่ง ราวกับว่าไม่คิดจะสนใจเรื่องตรงหน้า เมื่อเห็นแบบนี้ หนานกงเชียนชิวก็รู้สึกเหมือนตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง ถ้าเหยียนจุนไม่ออกโรง แล้วใครจะหยุดหานซานเฉียนได้? “เหยียนจุน อย่าบอกนะว่าคุณลืมสิ่งที่เขาพูดกับคุณไว้ก่อนตาย?” หนานกงเชียนชิวกัดฟันกรอดแล้วเอ่ยขึ้น “จำได้แน่นอน เขาต้องการให้ผมดูแลตระกูลหานให้ดีในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ตระกูลหานได้มีผู้สืบทอดต่อไป” เหยียนจุนกล่าว “แล้วทำไมคุณไม่ฆ่าเขาเสียล่ะ? ตระกูลหานต้องอยู่ในมือของหานจุนเท่านั้น ถึงจะสามารถพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้” หนานกงเชียนชิวกล่าว “เขาเหรอ?” เหยียนจุนเหลือบมองหานจุนอย่างดูถูก แล้วพูดว่า “เขาในสายตาของผม แย่ยิ่งกว่าขยะเสียอีก” เมื่อหานจุนได้ยินเช่นนี้ก็ด่าเปิ
เมื่อได้ยินสิ่งที่หานซานเฉียนพูด หานจุนก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นเหมือนได้ยินเรื่องตลกระดับชาติ คนไร้ประโยชน์คนนี้เรียนรู้การเสแสร้งเล่นละครตั้งแต่เมื่อไหร่ กล้าดีอย่างไรมาขู่เขาแบบนี้? “หานซานเฉียน แกคิดว่าฉันจะกลัวเหรอ? แกไม่ดูตัวเองหน่อยหรือไงว่าเอาปัญญาที่ไหนมาขู่ฉัน?” หานจุนกล่าว หานซานเฉียนมองไปที่หนานกงเชียนชิว ในสายตาไม่มีความรักระหว่างคนในครอบครัวอยู่เลย ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นเหมือนบึงน้ำที่ลึกจนไม่เห็นก้นสระ และสามารถกลืนกินผู้คนได้ตลอดเวลา หัวใจของหนานกงเชียนชิวสั่นสะท้าน เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าหานซานเฉียนผู้ที่เคยมีภาพลักษณ์เป็นคนไร้ประโยชน์ในใจเธอมาโดยตลอด จะทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ “หานซานเฉียน ถ้าแกมีปัญญาก็ฆ่าฉันซะ คนแก่อย่างฉันอยากเห็นเหมือนกันว่าแกจะกล้าไหม” หนานกงเชียนชิวกล่าว แม้ว่าหานซานเฉียนจะพูดว่าพวกเขาสองคนจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถออกไปได้ แต่สิ่งที่เขาต้องการก็คือ การตายของหนานกงเชียนชิว เพราะมีเพียงการตายของหนานกงเชียนชิวเท่านั้น ถึงจะกำจัดภัยคุกคามอย่างแท้จริง ส่วนคนไร้ประโยชน์อย่างหานจุน เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ที่สำคัญกว่านั้น