เมื่อได้ยินสิ่งที่หานซานเฉียนพูด หานจุนก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นเหมือนได้ยินเรื่องตลกระดับชาติ คนไร้ประโยชน์คนนี้เรียนรู้การเสแสร้งเล่นละครตั้งแต่เมื่อไหร่ กล้าดีอย่างไรมาขู่เขาแบบนี้? “หานซานเฉียน แกคิดว่าฉันจะกลัวเหรอ? แกไม่ดูตัวเองหน่อยหรือไงว่าเอาปัญญาที่ไหนมาขู่ฉัน?” หานจุนกล่าว หานซานเฉียนมองไปที่หนานกงเชียนชิว ในสายตาไม่มีความรักระหว่างคนในครอบครัวอยู่เลย ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นเหมือนบึงน้ำที่ลึกจนไม่เห็นก้นสระ และสามารถกลืนกินผู้คนได้ตลอดเวลา หัวใจของหนานกงเชียนชิวสั่นสะท้าน เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าหานซานเฉียนผู้ที่เคยมีภาพลักษณ์เป็นคนไร้ประโยชน์ในใจเธอมาโดยตลอด จะทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ “หานซานเฉียน ถ้าแกมีปัญญาก็ฆ่าฉันซะ คนแก่อย่างฉันอยากเห็นเหมือนกันว่าแกจะกล้าไหม” หนานกงเชียนชิวกล่าว แม้ว่าหานซานเฉียนจะพูดว่าพวกเขาสองคนจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถออกไปได้ แต่สิ่งที่เขาต้องการก็คือ การตายของหนานกงเชียนชิว เพราะมีเพียงการตายของหนานกงเชียนชิวเท่านั้น ถึงจะกำจัดภัยคุกคามอย่างแท้จริง ส่วนคนไร้ประโยชน์อย่างหานจุน เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ที่สำคัญกว่านั้น
“หานซานเฉียน แกทำกับพี่ชายของแกแบบนี้ได้ยังไง ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง?” หนานกงเชียนชิวตะโกนลั่นอย่างโกรธจัด “คุณต่างหากที่คิดจะฆ่าผมก่อน ถ้าผมไม่ขัดขืน แล้วจะให้ยื่นคอไปให้คุณตัดหรือไง? หนานกงเชียนชิว อะไร ๆ บนโลกนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณทุกอย่าง คุณเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรอย่างเผด็จการเสมอไป” หานซานเฉียนกล่าวอย่างเรียบเฉย “คุณย่า คุณย่าอายุมากแล้ว ได้โปรดให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ ได้โปรด คุณย่าได้โปรดตายแทนผมเถอะนะ” หานจุนรู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็ต่อเมื่อหนานกงเชียนชิวตายเท่านั้น ในขณะที่ชีวิตของตนเองถูกคุกคาม เขาจะมัวสนใจความเป็นความตายของหนานกงเชียนชิวได้อย่างไร? เมื่อได้ยินแบบนี้ หนานกงเชียนชิวแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าหานจุนต้องการให้เธอไปตาย!“หานจุน รู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ ฉันเป็นย่าของเธอนะ” หนานกงเชียนชิวพูด “คุณเป็นย่าของผม ก็ควรรับประกันว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ใช่เหรอ? หรือว่าคุณย่าต้องการทำร้ายแม้แต่ชีวิตของหลานชายตัวเอง?” หานจุนพูด หนานกงเชียนชิวมีสีหน้าสิ้นหวัง หลานชายสุดที่รักที่บอกว่าจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ในเวลานี้กลับจะปล่อ
หานซานเฉียนก้มศีรษะลงแต่ไม่โค้งตัว จนกระทั่งไม่มีการเคลื่อนไหวจากหนานกงเชียนชิวอีกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมา ตายแล้ว ตายก็ดีแล้ว ตายแล้วก็ไม่ต้องปวดหัว และจะไม่เห็นสภาพคนไร้ประโยชน์อย่างหานจุนอีก “หานซานเฉียน เธอตายแล้ว ตอนนี้แกคงปล่อยฉันได้แล้วสินะ” หานจุนพูดกับหานซานเฉียนโดยไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เขาสนใจแค่ว่าตัวเองจะออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ “ปล่อยนายไป นายก็ยังต้องกลับไปติดคุกที่เรือนจำหยุนหลงอีก คนที่ชื่อกวานหยงจะปรนนิบัตินายอย่างดี ถึงอย่างไรฉันก็เคยทุบตีเขาไว้ไม่น้อย” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของหานจุนย่ำแย่เหมือนกินของเสียเข้าไป กว่าจะออกมาได้มันไม่ง่าย ยังต้องกลับไปติดคุกอีกเหรอ? อีกอย่างถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง และเคยทุบตีกวานหยงจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นต่อไปเขาจะไม่เหมือนตายทั้งเป็นตอนอยู่ในห้องใหญ่หรอกเหรอ? “หานซานเฉียน ช่วยฉันด้วย ช่วยคิดหาทางออกให้ฉันที อย่าปล่อยให้ฉันกลับไป นายจะให้ฉันทำอะไรก็ได้” ขาของหานจุนใช้การไม่ได้แล้ว จะคุกเข่าก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่นอนคว่ำอยู่บนพื้น เอาหัวโขกพื้นไม่หยุด “ถ้านายไม่กลับไป ตระกูลหานจะต้องจบสิ้นจริง ๆ” ห
เจี่ยงหลานไม่กล้ามองหนานกงเชียนชิว เพราะกลัวเก็บไปฝันร้ายตอนกลางคืน และไม่กล้าอธิบายเรื่องนี้ให้ซูกั๋วเย่าฟัง เธอบอกกับหานซานเฉียนว่า “พ่อของเธอเมาแล้ว ฉันจะพาเขากลับไปที่ห้องก่อน” ถ้าหานซานเฉียนไม่พยักหน้า เจี่ยงหลานก็ไม่กล้าขยับ ในเวลานี้เจี่ยงหลานรู้สึกกลัวจนเข้ากระดูก “ไปสิ” หานซานเฉียนเอ่ย ความกดดันทั้งหมดในขณะนี้เป็นเหมือนน้ำป่าที่ไหลทะลัก เจี่ยงหลานจับมือซูกั๋วเย่าขึ้นไปชั้นบนโดยไม่รีรอ เมื่อมาถึงชั้นบนแล้ว ซูกั๋วเย่าจึงถามเจี่ยงหลานว่า “ที่รัก เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีคนถูกแขวนคอในบ้าน? แล้วคนอื่น ๆ คือใครอีก” เจี่ยงหลานสูดหายใจเข้าลึก ๆ หัวใจยังคงสั่นสะท้านอยู่ เธอบอกกับซูกั๋วเย่าว่า “คุณอย่าถามให้มันมากนัก ฉันขอเตือนคุณว่า ต่อไปห้ามยั่วโมโหหานซานเฉียนง่าย ๆ อีก” “ไม่ยั่วโมโหหานซานเฉียน? ที่รัก คุณเสียสติไปแล้วเหรอ? คนไร้ประโยชน์คนนี้คุณยังไม่กล้ายุ่งเหรอ?” ซูกั๋วเย่าพูดอย่างงุนงง ในอดีตเจี่ยงหลานวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าหานซานเฉียน ทำไมตอนนี้ถึงไม่กล้ายุ่งแล้ว? เจี่ยงหลานกัดฟันกรอด หานซานเฉียนนั้นแม้แต่ย่าของตัวเองยังบังคับให้ไปตาย แล้วนับประสาอะไรกับเธอ? ต่อไปถ้าไป
เมื่อซูอี้หานเห็นบาดแผลบนใบหน้าของซูหยิงเซี่ย เธอก็อดหัวเราะไม่ได้ พลางพูดเยาะเย้ยว่า “ซูหยิงเซี่ย เธอเอาหัวเข้าไปในลูกกลิ้งของเครื่องซักผ้ามาเหรอ?” เมื่อได้ยินเสียงยิ้มเยาะของซูอี้หาน ซูหยิงเซี่ยก็พูดอย่างเย็นชาว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?” เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่ซูอี้หานได้รับของหมั้น เธอก็มีเงินขึ้นมาทันใด ยิ่งลำพองหนัก และในตอนนี้ก็ไม่สนใจการงานในบริษัทอีกแล้ว เอาแต่รอให้ตระกูลหานมาแต่งงานเข้าบ้าน ตอนนี้เธอเริ่มเรียนรู้ว่าภรรยาที่ร่ำรวยควรใช้ชีวิตอย่างไร คำพูดกระทบกระเทียบของซูหยิงเซี่ย ทำให้ซูอี้หานไม่พอใจอย่างมาก “มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่เธอคือผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี ฉันแค่หวังว่าเธอจะใส่ใจกับภาพลักษณ์ภายนอกของบริษัทหน่อย ดูเธอสิ ใส่แต่เสื้อผ้าโทรม ๆ” ซูอี้หานพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ กระโปรงที่เธอสวมใส่อยู่ตัวนี้ อย่างน้อย ๆ ก็เหยียบหมื่นหยวน ถ้าไม่ใช้ร้านค้าแบรนด์ดังก็ไม่เข้า เสื้อผ้าที่มีราคาน้อยกว่าห้าหลักก็ไม่คิดจะแล ดังนั้นภาพลักษณ์ของซูหยิงเซี่ยในสายตาของเธอนั้นเหมือนกับพวกยาจก เมื่อมองดูภาพลักษณ์เศรษฐีใหม่ของซูอี้หาน หานซานเฉียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ อีกไม่ก
“อย่าโกรธเลย วันครอบครัวกำลังจะมาถึงแล้ว” หานซานเฉียนเอ่ยปลอบโยนเธอ ซูหยิงเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดได้ว่าไม่มีอะไรต้องโกรธแล้วจริง ๆ เมื่อถึงวันครอบครัว ซูอี้หานจะต้องคายเงินทั้งหมดออกมา พอถึงตอนนั้นเธอคงจะทำได้เพียงแค่ร้องไห้เท่านั้น หลังจากกลับมาที่คฤหาสน์ ซูหยิงเซี่ยกำลังทายาอยู่ที่ห้องของเธอ เจี่ยงหลานก็แอบเข้าไปในห้องแล้วล็อกประตู “แม่คะ แม่กำลังทำอะไรน่ะ?” ซูหยิงเซี่ยพูดด้วยความรู้สึกงุนงง เจี่ยงหลานนั่งลงข้างซูหยิงเซี่ยและถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นยังไงบ้าง? ลูกถามเขาหรือยังว่าเขาเป็นใครกันแน่?” ระหว่างทางกลับจากโรงพยาบาล ซูหยิงเซี่ยเกือบจะถามออกไปหลายครั้ง แต่แล้วก็ข่มความอยากรู้เอาไว้ เมื่อก่อนเธอมีความอยากรู้อยากเห็นมาก แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่แค่อยากรู้ แต่ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เธอกลัวว่าหลังจากที่ได้รู้ความจริงแล้ว เธอกับหานซานเฉียนจะยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่คู่ควรกับหานซานเฉียน “แม่คะ หนูไม่กล้าถามเขาค่ะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “มีอะไรให้กลัวล่ะ เขาเป็นสามีของลูก ลูกถามเขาว่าที่บ้านเขาทำอะไรก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?” เจี่ยงหลานพูดด้วยคว
ทางด้านนี้ ข่าวการเสียชีวิตของหานเฉิงเพิ่งสงบลง ก็มีข่าวลับออกมาจากตระกูลหานว่าหนานกงเชียนชิวเสียชีวิตด้วยโรคร้ายแรงอย่างกะทันหัน เรื่องนี้แพร่กระจายในสังคมชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ก็ยังทำให้หลายคนรู้สึกตกใจไม่น้อย เพราะตอนนี้ตระกูลหานอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหนานกงเชียนชิว หากเธอเสียชีวิตแล้ว ตระกูลหานจะตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกตัดหัว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าขณะนี้หานจุนถูกจำคุก แม้ว่าตระกูลหานจะยังมีฉือจิงอีกหนึ่งคน แต่การที่จะให้อาศัยผู้หญิงแซ่อื่นเพียงคนเดียวประคับประคองตระกูลหานให้อยู่รอดนั้น เธอจะสามารถทำได้หรือไม่? ข่าวลือมากมายแพร่กระจายในสังคมชนชั้นสูง ตระกูลหานใกล้จะล่มสลาย หรือตระกูลชื่อดังอาจจะล่มสลาย หลังจากที่หานจุนถูกคุมขังอีกครั้ง เรื่องนี้ได้ทำให้วิกฤตที่นำมาสู่ตระกูลหานนั้นได้หมดไป แต่ชีวิตของเขากลับไม่ได้อยู่อย่างสบายใจเท่าไหร่นัก ขาทั้งสองหัก มีเพียงมือเพียงข้างเดียวที่ยังคงไม่บุบสลาย แล้วกวานหยงจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร? การถูกทุบตีหลายครั้งต่อวันนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ แต่กวานหยงกลับพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ หานจุนแตกต่างไปจากเมื่อก่อนราวกับเป็นคน
เหยียนจุนถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ตระกูลหานทอดทิ้งหานซานเฉียน ถึงขนาดไล่เขาออกไปจากตระกูลหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเห็นหานซานเฉียนเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้กลับต้องการให้หานซานเฉียนแบกรับภาระที่เสี่ยงอันตรายนี้ ช่างไม่ยุติธรรมกับหานซานเฉียนเลยจริง ๆ แต่ในฐานะที่เหยียนจุนเป็นองครักษ์ของตระกูลหาน เมื่อฉือจิงต้องการทำอะไร เขาก็ไม่สามารถขัดขวางได้ “ลูกศิษย์ที่ดีของฉัน โชคชะตาของนายช่างเป็นหลุมเป็นบ่อจริง ๆ หวังว่านายจะขจัดอุปสรรคทั้งหมดไปได้”เหยียนจุนพึมพำกับตัวเอง ณ เมืองหยุนเฉิง หานซานเฉียนกำลังว่างและไม่มีอะไรทำ เขาคอยดูแลดอกไม้ใบหญ้าในสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ ซูหยิงเซี่ยคอยช่วยเหลือเขาอยู่ข้าง ๆ เพราะว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอได้รับบาดเจ็บ จึงไม่เป็นการดีถ้าเธอจะไปที่บริษัทด้วยภาพลักษณ์เช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงพักผ่อนรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน ขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของหานซานเฉียนก็ดังขึ้น “สวัสดีครับ ป้าจาง” หานหานซานเฉียนรับสายโทรศัพท์ด้วยความประหลาดใจ หลังจากที่ป้าจางหลิงฮวาถูกซูกั๋วเย่าขับรถชนจนล้มนั้น เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็ถูกจัดให้ทำงานในบริษัทลั่วเฉวโดยหานซานเฉียน แต่ทำไมจู่ ๆ เธอถึงได้โทรมาหา