หานซานเฉียนก้มศีรษะลงแต่ไม่โค้งตัว จนกระทั่งไม่มีการเคลื่อนไหวจากหนานกงเชียนชิวอีกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมา ตายแล้ว ตายก็ดีแล้ว ตายแล้วก็ไม่ต้องปวดหัว และจะไม่เห็นสภาพคนไร้ประโยชน์อย่างหานจุนอีก “หานซานเฉียน เธอตายแล้ว ตอนนี้แกคงปล่อยฉันได้แล้วสินะ” หานจุนพูดกับหานซานเฉียนโดยไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เขาสนใจแค่ว่าตัวเองจะออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ “ปล่อยนายไป นายก็ยังต้องกลับไปติดคุกที่เรือนจำหยุนหลงอีก คนที่ชื่อกวานหยงจะปรนนิบัตินายอย่างดี ถึงอย่างไรฉันก็เคยทุบตีเขาไว้ไม่น้อย” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของหานจุนย่ำแย่เหมือนกินของเสียเข้าไป กว่าจะออกมาได้มันไม่ง่าย ยังต้องกลับไปติดคุกอีกเหรอ? อีกอย่างถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง และเคยทุบตีกวานหยงจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นต่อไปเขาจะไม่เหมือนตายทั้งเป็นตอนอยู่ในห้องใหญ่หรอกเหรอ? “หานซานเฉียน ช่วยฉันด้วย ช่วยคิดหาทางออกให้ฉันที อย่าปล่อยให้ฉันกลับไป นายจะให้ฉันทำอะไรก็ได้” ขาของหานจุนใช้การไม่ได้แล้ว จะคุกเข่าก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่นอนคว่ำอยู่บนพื้น เอาหัวโขกพื้นไม่หยุด “ถ้านายไม่กลับไป ตระกูลหานจะต้องจบสิ้นจริง ๆ” ห
เจี่ยงหลานไม่กล้ามองหนานกงเชียนชิว เพราะกลัวเก็บไปฝันร้ายตอนกลางคืน และไม่กล้าอธิบายเรื่องนี้ให้ซูกั๋วเย่าฟัง เธอบอกกับหานซานเฉียนว่า “พ่อของเธอเมาแล้ว ฉันจะพาเขากลับไปที่ห้องก่อน” ถ้าหานซานเฉียนไม่พยักหน้า เจี่ยงหลานก็ไม่กล้าขยับ ในเวลานี้เจี่ยงหลานรู้สึกกลัวจนเข้ากระดูก “ไปสิ” หานซานเฉียนเอ่ย ความกดดันทั้งหมดในขณะนี้เป็นเหมือนน้ำป่าที่ไหลทะลัก เจี่ยงหลานจับมือซูกั๋วเย่าขึ้นไปชั้นบนโดยไม่รีรอ เมื่อมาถึงชั้นบนแล้ว ซูกั๋วเย่าจึงถามเจี่ยงหลานว่า “ที่รัก เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีคนถูกแขวนคอในบ้าน? แล้วคนอื่น ๆ คือใครอีก” เจี่ยงหลานสูดหายใจเข้าลึก ๆ หัวใจยังคงสั่นสะท้านอยู่ เธอบอกกับซูกั๋วเย่าว่า “คุณอย่าถามให้มันมากนัก ฉันขอเตือนคุณว่า ต่อไปห้ามยั่วโมโหหานซานเฉียนง่าย ๆ อีก” “ไม่ยั่วโมโหหานซานเฉียน? ที่รัก คุณเสียสติไปแล้วเหรอ? คนไร้ประโยชน์คนนี้คุณยังไม่กล้ายุ่งเหรอ?” ซูกั๋วเย่าพูดอย่างงุนงง ในอดีตเจี่ยงหลานวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าหานซานเฉียน ทำไมตอนนี้ถึงไม่กล้ายุ่งแล้ว? เจี่ยงหลานกัดฟันกรอด หานซานเฉียนนั้นแม้แต่ย่าของตัวเองยังบังคับให้ไปตาย แล้วนับประสาอะไรกับเธอ? ต่อไปถ้าไป
เมื่อซูอี้หานเห็นบาดแผลบนใบหน้าของซูหยิงเซี่ย เธอก็อดหัวเราะไม่ได้ พลางพูดเยาะเย้ยว่า “ซูหยิงเซี่ย เธอเอาหัวเข้าไปในลูกกลิ้งของเครื่องซักผ้ามาเหรอ?” เมื่อได้ยินเสียงยิ้มเยาะของซูอี้หาน ซูหยิงเซี่ยก็พูดอย่างเย็นชาว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?” เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่ซูอี้หานได้รับของหมั้น เธอก็มีเงินขึ้นมาทันใด ยิ่งลำพองหนัก และในตอนนี้ก็ไม่สนใจการงานในบริษัทอีกแล้ว เอาแต่รอให้ตระกูลหานมาแต่งงานเข้าบ้าน ตอนนี้เธอเริ่มเรียนรู้ว่าภรรยาที่ร่ำรวยควรใช้ชีวิตอย่างไร คำพูดกระทบกระเทียบของซูหยิงเซี่ย ทำให้ซูอี้หานไม่พอใจอย่างมาก “มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่เธอคือผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี ฉันแค่หวังว่าเธอจะใส่ใจกับภาพลักษณ์ภายนอกของบริษัทหน่อย ดูเธอสิ ใส่แต่เสื้อผ้าโทรม ๆ” ซูอี้หานพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ กระโปรงที่เธอสวมใส่อยู่ตัวนี้ อย่างน้อย ๆ ก็เหยียบหมื่นหยวน ถ้าไม่ใช้ร้านค้าแบรนด์ดังก็ไม่เข้า เสื้อผ้าที่มีราคาน้อยกว่าห้าหลักก็ไม่คิดจะแล ดังนั้นภาพลักษณ์ของซูหยิงเซี่ยในสายตาของเธอนั้นเหมือนกับพวกยาจก เมื่อมองดูภาพลักษณ์เศรษฐีใหม่ของซูอี้หาน หานซานเฉียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ อีกไม่ก
“อย่าโกรธเลย วันครอบครัวกำลังจะมาถึงแล้ว” หานซานเฉียนเอ่ยปลอบโยนเธอ ซูหยิงเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดได้ว่าไม่มีอะไรต้องโกรธแล้วจริง ๆ เมื่อถึงวันครอบครัว ซูอี้หานจะต้องคายเงินทั้งหมดออกมา พอถึงตอนนั้นเธอคงจะทำได้เพียงแค่ร้องไห้เท่านั้น หลังจากกลับมาที่คฤหาสน์ ซูหยิงเซี่ยกำลังทายาอยู่ที่ห้องของเธอ เจี่ยงหลานก็แอบเข้าไปในห้องแล้วล็อกประตู “แม่คะ แม่กำลังทำอะไรน่ะ?” ซูหยิงเซี่ยพูดด้วยความรู้สึกงุนงง เจี่ยงหลานนั่งลงข้างซูหยิงเซี่ยและถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นยังไงบ้าง? ลูกถามเขาหรือยังว่าเขาเป็นใครกันแน่?” ระหว่างทางกลับจากโรงพยาบาล ซูหยิงเซี่ยเกือบจะถามออกไปหลายครั้ง แต่แล้วก็ข่มความอยากรู้เอาไว้ เมื่อก่อนเธอมีความอยากรู้อยากเห็นมาก แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่แค่อยากรู้ แต่ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เธอกลัวว่าหลังจากที่ได้รู้ความจริงแล้ว เธอกับหานซานเฉียนจะยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่คู่ควรกับหานซานเฉียน “แม่คะ หนูไม่กล้าถามเขาค่ะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “มีอะไรให้กลัวล่ะ เขาเป็นสามีของลูก ลูกถามเขาว่าที่บ้านเขาทำอะไรก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?” เจี่ยงหลานพูดด้วยคว
ทางด้านนี้ ข่าวการเสียชีวิตของหานเฉิงเพิ่งสงบลง ก็มีข่าวลับออกมาจากตระกูลหานว่าหนานกงเชียนชิวเสียชีวิตด้วยโรคร้ายแรงอย่างกะทันหัน เรื่องนี้แพร่กระจายในสังคมชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ก็ยังทำให้หลายคนรู้สึกตกใจไม่น้อย เพราะตอนนี้ตระกูลหานอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหนานกงเชียนชิว หากเธอเสียชีวิตแล้ว ตระกูลหานจะตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกตัดหัว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าขณะนี้หานจุนถูกจำคุก แม้ว่าตระกูลหานจะยังมีฉือจิงอีกหนึ่งคน แต่การที่จะให้อาศัยผู้หญิงแซ่อื่นเพียงคนเดียวประคับประคองตระกูลหานให้อยู่รอดนั้น เธอจะสามารถทำได้หรือไม่? ข่าวลือมากมายแพร่กระจายในสังคมชนชั้นสูง ตระกูลหานใกล้จะล่มสลาย หรือตระกูลชื่อดังอาจจะล่มสลาย หลังจากที่หานจุนถูกคุมขังอีกครั้ง เรื่องนี้ได้ทำให้วิกฤตที่นำมาสู่ตระกูลหานนั้นได้หมดไป แต่ชีวิตของเขากลับไม่ได้อยู่อย่างสบายใจเท่าไหร่นัก ขาทั้งสองหัก มีเพียงมือเพียงข้างเดียวที่ยังคงไม่บุบสลาย แล้วกวานหยงจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร? การถูกทุบตีหลายครั้งต่อวันนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ แต่กวานหยงกลับพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ หานจุนแตกต่างไปจากเมื่อก่อนราวกับเป็นคน
เหยียนจุนถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ตระกูลหานทอดทิ้งหานซานเฉียน ถึงขนาดไล่เขาออกไปจากตระกูลหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเห็นหานซานเฉียนเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้กลับต้องการให้หานซานเฉียนแบกรับภาระที่เสี่ยงอันตรายนี้ ช่างไม่ยุติธรรมกับหานซานเฉียนเลยจริง ๆ แต่ในฐานะที่เหยียนจุนเป็นองครักษ์ของตระกูลหาน เมื่อฉือจิงต้องการทำอะไร เขาก็ไม่สามารถขัดขวางได้ “ลูกศิษย์ที่ดีของฉัน โชคชะตาของนายช่างเป็นหลุมเป็นบ่อจริง ๆ หวังว่านายจะขจัดอุปสรรคทั้งหมดไปได้”เหยียนจุนพึมพำกับตัวเอง ณ เมืองหยุนเฉิง หานซานเฉียนกำลังว่างและไม่มีอะไรทำ เขาคอยดูแลดอกไม้ใบหญ้าในสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ ซูหยิงเซี่ยคอยช่วยเหลือเขาอยู่ข้าง ๆ เพราะว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอได้รับบาดเจ็บ จึงไม่เป็นการดีถ้าเธอจะไปที่บริษัทด้วยภาพลักษณ์เช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงพักผ่อนรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน ขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของหานซานเฉียนก็ดังขึ้น “สวัสดีครับ ป้าจาง” หานหานซานเฉียนรับสายโทรศัพท์ด้วยความประหลาดใจ หลังจากที่ป้าจางหลิงฮวาถูกซูกั๋วเย่าขับรถชนจนล้มนั้น เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็ถูกจัดให้ทำงานในบริษัทลั่วเฉวโดยหานซานเฉียน แต่ทำไมจู่ ๆ เธอถึงได้โทรมาหา
เมื่อฟ่านเสวี่ยปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนตามเธอมาด้วย เมื่อเห็นเช่นนี้ จางหลิงฮวาก็รู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้น เธอปกป้องจางเทียนซิน แล้วพูดกับฟ่านเสวี่ยว่า “คุณคิดจะทำอะไรคะ?” “ทำอะไรงั้นเหรอ?” ฟ่านเสวี่ยยิ้มเยาะ แล้วพูดว่า “ลูกชายไอคิวต่ำของเธอเป็นคนไร้ประโยชน์ของสังคม ฉันต้องสอนบทเรียนให้เขาอย่างสาสม ดึงเธอออกไป” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ยินดังนั้น ก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงจางหลิงฮวาออกไป ฟ่านเสวี่ยถอดรองเท้าส้นสูงออก แล้วฟาดเข้าไปที่ศีรษะของจางเทียนซินครั้งแล้วครั้งเล่า “ไอ้คนคนปัญญาอ่อนเอ๊ย ไม่นึกเลยว่าจะทำตัวอันธพาล กล้าดียังไงมาแตะต้องฉันตามใจชอบแบบนี้?” ฟ่านเสวี่ยพูดพร้อมกับฟาดรองเท้าส้นสูงของเธอไปด้วยอย่างไม่หยุดหย่อน จางเทียนซินหลบอยู่ในมุมด้วยความหวาดกลัว เขาคุ้นเคยกับการถูกทุบตี ความเจ็บปวดไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ความหวาดกลัวนั้นกลับลุกลามอย่างต่อเนื่อง เพื่อนร่วมงานที่มามุงดูเหล่านั้น ไม่มีความสงสารเลยแม้แต่น้อย แถมยังยิ้มเยาะเมื่อได้เห็นภาพนี้ เพราะพวกเขาได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องจางหลิงฮวาสองแม่ลูกมานานแล้ว แม้ว่าจางเทียนซินไม่
“ฟ่านเสวี่ย ต่อไปถ้ามีคนกล้ารังแกคุณอีก บอกผมนะ ผมจะช่วยสั่งสอนเขาให้คุณเอง” “ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาผมได้ตลอดเวลา ผมไม่ได้แย่ไปกว่าใคร” “ผมทำทุกอย่างได้เพื่อคุณ ถ้าคุณรู้สึกไม่มีความสุข ผมจะอัดเจ้าคนปัญญาอ่อนนี่อีกสักครั้ง” ฟ่านเสวี่ยยิ้มบาง ๆ สุนัขเลียแข้งเลียขาพวกนี้ทุ่มเทมาก แต่น่าเสียดาย สายตาอันเฉียบคมของฉัน จะเห็นคุณค่าของพวกไร้ประโยชน์อย่างพวกคุณได้อย่างไร? แน่นอนว่าสำหรับผู้หญิงอย่างฟ่านเสวี่ยนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้สนใจพวกเขา แต่เธอก็จะไม่พูดให้ชัดเจน มิฉะนั้นแมลงวันเหล่านี้จะสมัครใจบินวนตามตัวเธอ เพื่อช่วยเหลือเธอได้อย่างไร? “เอาล่ะ ฉันรู้แล้วว่าพวกคุณเก่ง” ฟ่านเสวี่ยพูดพร้อมกับเลิกคิ้วงามของเธอขึ้นเล็กน้อย ผู้คนเหล่านั้นดีใจมาก พวกเขาคิดว่าฟ่านเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นมองดูพวกเขา และคิดว่าในอนาคตอาจจะได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น ผู้ชายที่อยากจะแสดงความแข็งแกร่งจงใจเตะจางเทียนซินอีกครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา จางหลิงฮวาคุกเข่าลงบนพื้น แล้วคลานไปตรงหน้าจางเทียนซิน พอเห็นใบหน้าฟกช้ำดำเขียวและบาดแผลภายนอกมากมายของจางเทียนซิน เธอก็พูดตำหนิตัวเองว่า “แม่ขอโทษนะ