“หานซานเฉียน คุณย่ามาแล้ว ทำไมแกยังไม่คุกเข่าขอโทษฉันอีก” ครู่หนึ่งหลังจากการแสดงความรักของย่าหลานผ่านไป หานจุนก็พูดกับหานซานเฉียนด้วยสายตาชั่วร้าย เมื่อมีหนานกงเชียนชิว หานจุนก็มีความมั่นใจ เพราะตราบใดที่คุณย่าของเขายังอยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย เขาก็ไม่กลัว ยิ่งไปกว่านั้น หานจุไม่เชื่อว่าต่อหน้าหนานกงเชียนชิว หานซานเฉียนจะกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม คนไร้ประโยชน์ อย่างไรก็เป็นคนไร้ประโยชน์วันยังค่ำ จะมีจิตใจที่เข้มแข็งได้อย่างไรกัน? “หานซานเฉียน แม้แต่พี่ชายของตัวเองยังกล้าทุบตี ถ้าแกไม่ตาย สวรรค์คงไม่ให้อภัยฉันแน่” หนานกงเชียนชิวพูดอย่างโกรธเคือง พี่ชาย? สวรรค์ไม่ให้อภัย? หานซานเฉียนหัวเราะเยาะ ถ้าเขาไม่ต่อต้าน ก็คงตายอยู่ในเงื้อมมือลูกน้องของหนานกงเชียนชิวไปนานแล้ว หรือว่าต้องยอมตายก่อนเหรอ สวรรค์ถึงจะให้อภัยเขา? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง จะมีสวรรค์เอาไว้ทำไม? “หนานกงเชียนชิว สวรรค์ไม่ให้อภัยผม ผมก็สวนทางสวรรค์ซะเลย ใครจะทำไม?” หานซานเฉียนพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาหานจุน บอดี้การ์ดที่หนานกงเชียนชิวพามาถูกหานซานเฉียนซัดหมอบลงกับพื้นหมดแล้ว ดังนั้นหนานกงเชียนชิวจึงทำได้เพียงปกป้องหา
ใบหน้าของหานซานเฉียนเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาจะไม่เห็นใคร ๆ ในตระกูลหานอยู่ในสายตาก็ได้ แต่ความเคารพที่มีต่อเหยียนจุนนั้นฝังลึกเข้าไปในไขกระดูก เพราะถ้าไม่มีเหยียนจุน ก็จะไม่มีเขาในวันนี้ “อาจารย์ ผมอยากนอนก็นอนไม่หลับครับ” หานซานเฉียนกล่าว “ในเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ถึงเวลาบอกให้โลกรู้จักได้แล้วว่านายเป็นใคร” เหยียนจุนกล่าว จากนั้นเขาก็เดินออกไปทางด้านหนึ่ง ราวกับว่าไม่คิดจะสนใจเรื่องตรงหน้า เมื่อเห็นแบบนี้ หนานกงเชียนชิวก็รู้สึกเหมือนตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง ถ้าเหยียนจุนไม่ออกโรง แล้วใครจะหยุดหานซานเฉียนได้? “เหยียนจุน อย่าบอกนะว่าคุณลืมสิ่งที่เขาพูดกับคุณไว้ก่อนตาย?” หนานกงเชียนชิวกัดฟันกรอดแล้วเอ่ยขึ้น “จำได้แน่นอน เขาต้องการให้ผมดูแลตระกูลหานให้ดีในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ตระกูลหานได้มีผู้สืบทอดต่อไป” เหยียนจุนกล่าว “แล้วทำไมคุณไม่ฆ่าเขาเสียล่ะ? ตระกูลหานต้องอยู่ในมือของหานจุนเท่านั้น ถึงจะสามารถพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้” หนานกงเชียนชิวกล่าว “เขาเหรอ?” เหยียนจุนเหลือบมองหานจุนอย่างดูถูก แล้วพูดว่า “เขาในสายตาของผม แย่ยิ่งกว่าขยะเสียอีก” เมื่อหานจุนได้ยินเช่นนี้ก็ด่าเปิ
เมื่อได้ยินสิ่งที่หานซานเฉียนพูด หานจุนก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นเหมือนได้ยินเรื่องตลกระดับชาติ คนไร้ประโยชน์คนนี้เรียนรู้การเสแสร้งเล่นละครตั้งแต่เมื่อไหร่ กล้าดีอย่างไรมาขู่เขาแบบนี้? “หานซานเฉียน แกคิดว่าฉันจะกลัวเหรอ? แกไม่ดูตัวเองหน่อยหรือไงว่าเอาปัญญาที่ไหนมาขู่ฉัน?” หานจุนกล่าว หานซานเฉียนมองไปที่หนานกงเชียนชิว ในสายตาไม่มีความรักระหว่างคนในครอบครัวอยู่เลย ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นเหมือนบึงน้ำที่ลึกจนไม่เห็นก้นสระ และสามารถกลืนกินผู้คนได้ตลอดเวลา หัวใจของหนานกงเชียนชิวสั่นสะท้าน เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าหานซานเฉียนผู้ที่เคยมีภาพลักษณ์เป็นคนไร้ประโยชน์ในใจเธอมาโดยตลอด จะทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ “หานซานเฉียน ถ้าแกมีปัญญาก็ฆ่าฉันซะ คนแก่อย่างฉันอยากเห็นเหมือนกันว่าแกจะกล้าไหม” หนานกงเชียนชิวกล่าว แม้ว่าหานซานเฉียนจะพูดว่าพวกเขาสองคนจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถออกไปได้ แต่สิ่งที่เขาต้องการก็คือ การตายของหนานกงเชียนชิว เพราะมีเพียงการตายของหนานกงเชียนชิวเท่านั้น ถึงจะกำจัดภัยคุกคามอย่างแท้จริง ส่วนคนไร้ประโยชน์อย่างหานจุน เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ที่สำคัญกว่านั้น
“หานซานเฉียน แกทำกับพี่ชายของแกแบบนี้ได้ยังไง ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง?” หนานกงเชียนชิวตะโกนลั่นอย่างโกรธจัด “คุณต่างหากที่คิดจะฆ่าผมก่อน ถ้าผมไม่ขัดขืน แล้วจะให้ยื่นคอไปให้คุณตัดหรือไง? หนานกงเชียนชิว อะไร ๆ บนโลกนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณทุกอย่าง คุณเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรอย่างเผด็จการเสมอไป” หานซานเฉียนกล่าวอย่างเรียบเฉย “คุณย่า คุณย่าอายุมากแล้ว ได้โปรดให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ ได้โปรด คุณย่าได้โปรดตายแทนผมเถอะนะ” หานจุนรู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็ต่อเมื่อหนานกงเชียนชิวตายเท่านั้น ในขณะที่ชีวิตของตนเองถูกคุกคาม เขาจะมัวสนใจความเป็นความตายของหนานกงเชียนชิวได้อย่างไร? เมื่อได้ยินแบบนี้ หนานกงเชียนชิวแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าหานจุนต้องการให้เธอไปตาย!“หานจุน รู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ ฉันเป็นย่าของเธอนะ” หนานกงเชียนชิวพูด “คุณเป็นย่าของผม ก็ควรรับประกันว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ใช่เหรอ? หรือว่าคุณย่าต้องการทำร้ายแม้แต่ชีวิตของหลานชายตัวเอง?” หานจุนพูด หนานกงเชียนชิวมีสีหน้าสิ้นหวัง หลานชายสุดที่รักที่บอกว่าจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ในเวลานี้กลับจะปล่อ
หานซานเฉียนก้มศีรษะลงแต่ไม่โค้งตัว จนกระทั่งไม่มีการเคลื่อนไหวจากหนานกงเชียนชิวอีกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมา ตายแล้ว ตายก็ดีแล้ว ตายแล้วก็ไม่ต้องปวดหัว และจะไม่เห็นสภาพคนไร้ประโยชน์อย่างหานจุนอีก “หานซานเฉียน เธอตายแล้ว ตอนนี้แกคงปล่อยฉันได้แล้วสินะ” หานจุนพูดกับหานซานเฉียนโดยไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เขาสนใจแค่ว่าตัวเองจะออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ “ปล่อยนายไป นายก็ยังต้องกลับไปติดคุกที่เรือนจำหยุนหลงอีก คนที่ชื่อกวานหยงจะปรนนิบัตินายอย่างดี ถึงอย่างไรฉันก็เคยทุบตีเขาไว้ไม่น้อย” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของหานจุนย่ำแย่เหมือนกินของเสียเข้าไป กว่าจะออกมาได้มันไม่ง่าย ยังต้องกลับไปติดคุกอีกเหรอ? อีกอย่างถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง และเคยทุบตีกวานหยงจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นต่อไปเขาจะไม่เหมือนตายทั้งเป็นตอนอยู่ในห้องใหญ่หรอกเหรอ? “หานซานเฉียน ช่วยฉันด้วย ช่วยคิดหาทางออกให้ฉันที อย่าปล่อยให้ฉันกลับไป นายจะให้ฉันทำอะไรก็ได้” ขาของหานจุนใช้การไม่ได้แล้ว จะคุกเข่าก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่นอนคว่ำอยู่บนพื้น เอาหัวโขกพื้นไม่หยุด “ถ้านายไม่กลับไป ตระกูลหานจะต้องจบสิ้นจริง ๆ” ห
เจี่ยงหลานไม่กล้ามองหนานกงเชียนชิว เพราะกลัวเก็บไปฝันร้ายตอนกลางคืน และไม่กล้าอธิบายเรื่องนี้ให้ซูกั๋วเย่าฟัง เธอบอกกับหานซานเฉียนว่า “พ่อของเธอเมาแล้ว ฉันจะพาเขากลับไปที่ห้องก่อน” ถ้าหานซานเฉียนไม่พยักหน้า เจี่ยงหลานก็ไม่กล้าขยับ ในเวลานี้เจี่ยงหลานรู้สึกกลัวจนเข้ากระดูก “ไปสิ” หานซานเฉียนเอ่ย ความกดดันทั้งหมดในขณะนี้เป็นเหมือนน้ำป่าที่ไหลทะลัก เจี่ยงหลานจับมือซูกั๋วเย่าขึ้นไปชั้นบนโดยไม่รีรอ เมื่อมาถึงชั้นบนแล้ว ซูกั๋วเย่าจึงถามเจี่ยงหลานว่า “ที่รัก เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีคนถูกแขวนคอในบ้าน? แล้วคนอื่น ๆ คือใครอีก” เจี่ยงหลานสูดหายใจเข้าลึก ๆ หัวใจยังคงสั่นสะท้านอยู่ เธอบอกกับซูกั๋วเย่าว่า “คุณอย่าถามให้มันมากนัก ฉันขอเตือนคุณว่า ต่อไปห้ามยั่วโมโหหานซานเฉียนง่าย ๆ อีก” “ไม่ยั่วโมโหหานซานเฉียน? ที่รัก คุณเสียสติไปแล้วเหรอ? คนไร้ประโยชน์คนนี้คุณยังไม่กล้ายุ่งเหรอ?” ซูกั๋วเย่าพูดอย่างงุนงง ในอดีตเจี่ยงหลานวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าหานซานเฉียน ทำไมตอนนี้ถึงไม่กล้ายุ่งแล้ว? เจี่ยงหลานกัดฟันกรอด หานซานเฉียนนั้นแม้แต่ย่าของตัวเองยังบังคับให้ไปตาย แล้วนับประสาอะไรกับเธอ? ต่อไปถ้าไป
เมื่อซูอี้หานเห็นบาดแผลบนใบหน้าของซูหยิงเซี่ย เธอก็อดหัวเราะไม่ได้ พลางพูดเยาะเย้ยว่า “ซูหยิงเซี่ย เธอเอาหัวเข้าไปในลูกกลิ้งของเครื่องซักผ้ามาเหรอ?” เมื่อได้ยินเสียงยิ้มเยาะของซูอี้หาน ซูหยิงเซี่ยก็พูดอย่างเย็นชาว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?” เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่ซูอี้หานได้รับของหมั้น เธอก็มีเงินขึ้นมาทันใด ยิ่งลำพองหนัก และในตอนนี้ก็ไม่สนใจการงานในบริษัทอีกแล้ว เอาแต่รอให้ตระกูลหานมาแต่งงานเข้าบ้าน ตอนนี้เธอเริ่มเรียนรู้ว่าภรรยาที่ร่ำรวยควรใช้ชีวิตอย่างไร คำพูดกระทบกระเทียบของซูหยิงเซี่ย ทำให้ซูอี้หานไม่พอใจอย่างมาก “มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่เธอคือผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี ฉันแค่หวังว่าเธอจะใส่ใจกับภาพลักษณ์ภายนอกของบริษัทหน่อย ดูเธอสิ ใส่แต่เสื้อผ้าโทรม ๆ” ซูอี้หานพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ กระโปรงที่เธอสวมใส่อยู่ตัวนี้ อย่างน้อย ๆ ก็เหยียบหมื่นหยวน ถ้าไม่ใช้ร้านค้าแบรนด์ดังก็ไม่เข้า เสื้อผ้าที่มีราคาน้อยกว่าห้าหลักก็ไม่คิดจะแล ดังนั้นภาพลักษณ์ของซูหยิงเซี่ยในสายตาของเธอนั้นเหมือนกับพวกยาจก เมื่อมองดูภาพลักษณ์เศรษฐีใหม่ของซูอี้หาน หานซานเฉียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ อีกไม่ก
“อย่าโกรธเลย วันครอบครัวกำลังจะมาถึงแล้ว” หานซานเฉียนเอ่ยปลอบโยนเธอ ซูหยิงเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดได้ว่าไม่มีอะไรต้องโกรธแล้วจริง ๆ เมื่อถึงวันครอบครัว ซูอี้หานจะต้องคายเงินทั้งหมดออกมา พอถึงตอนนั้นเธอคงจะทำได้เพียงแค่ร้องไห้เท่านั้น หลังจากกลับมาที่คฤหาสน์ ซูหยิงเซี่ยกำลังทายาอยู่ที่ห้องของเธอ เจี่ยงหลานก็แอบเข้าไปในห้องแล้วล็อกประตู “แม่คะ แม่กำลังทำอะไรน่ะ?” ซูหยิงเซี่ยพูดด้วยความรู้สึกงุนงง เจี่ยงหลานนั่งลงข้างซูหยิงเซี่ยและถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นยังไงบ้าง? ลูกถามเขาหรือยังว่าเขาเป็นใครกันแน่?” ระหว่างทางกลับจากโรงพยาบาล ซูหยิงเซี่ยเกือบจะถามออกไปหลายครั้ง แต่แล้วก็ข่มความอยากรู้เอาไว้ เมื่อก่อนเธอมีความอยากรู้อยากเห็นมาก แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่แค่อยากรู้ แต่ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เธอกลัวว่าหลังจากที่ได้รู้ความจริงแล้ว เธอกับหานซานเฉียนจะยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่คู่ควรกับหานซานเฉียน “แม่คะ หนูไม่กล้าถามเขาค่ะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “มีอะไรให้กลัวล่ะ เขาเป็นสามีของลูก ลูกถามเขาว่าที่บ้านเขาทำอะไรก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?” เจี่ยงหลานพูดด้วยคว