คืนวันนั้น หานซานเฉียนนั่งเครื่องบินกลับมาถึงเมืองหยุนเฉิง ซึ่งเป็นเวลาก่อนฟ้าสาง เขามาถึงคฤหาสน์บนเนินเขาอย่างร้อนใจจนเหมือนถูกเผา ด้วยความหวังว่าซูหยิงเซี่ยจะไม่คิดว่าหานจุนคือตนเอง ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาหานซานเฉียนก็ไม่กล้าจินตนาการเหมือนกัน เจี่ยงหลานและคนอื่น ๆ ยังคงนอนหลับอยู่ แต่หานซานเฉียนไม่เห็นใครในห้องของซูหยิงเซี่ยเลย แถมไม่มีหานจุนด้วย ทำให้หัวใจของหานซานเฉียนเย็นยะเยือกจนถึงขีดสุด สองคนนี้ไม่อยู่บ้าน แล้วไปไหนกัน? เสียงเปิดประตูปลุกเหอถิงให้ตื่นขึ้นมา เหอถิงเดินไปที่ห้องนั่งเล่นอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นหานซานเฉียน เธอก็พูดขึ้นมาว่า “คุณไม่ต้องมองหาซูหยิงเซี่ยหรอก เธอไม่อยู่บ้าน” น้ำเสียงของเหอถิงเย็นชามากแถมยังแฝงไปด้วยการตำหนิ หานซานเฉียนรู้ทันทีว่าหานจุนต้องทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เหอถิงไม่พอใจแน่ “ป้าเหอครับ หยิงเซี่ยไปไหน?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม ในสายตาของเหอถิง หานซานเฉียนกับหานจุนเป็นคนคนเดียวกัน ดังนั้นเธอย่อมไม่มีทางบอกหานซานเฉียนว่าซูหยิงเซี่ยอยู่ที่ไหน “หานซานเฉียน ทำไมตอนนี้คุณถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?” เหอถิงทั้งสับสนและโมโห ทันใดนั้น เจี่ยงหลานและซูกั๋ว
หานซานเฉียนไม่ตอบคำถาม ม่อหยางรู้ว่าเขาจงใจไม่พูดถึงมัน ดังนั้นจึงไม่ถามอะไรไปมากกว่านี้ เมื่อม่อหยางกับหลินหย่งออกไปโทรศัพท์ ท้องถนนในเมืองหยุนเฉิงช่วงเช้าตรู่ก็คึกคักขึ้นมาทันที ผู้คนหลายร้อยคนเดินขวักไขว่ไปมาบนท้องถนน เดินเข้าไปในโรงแรมบ้าง คลับบ้าง ตลอดจนสถานบันเทิงแต่ละแห่ง เพื่อพลิกแผ่นดินตามหาตัวหานจุน ส่วนหานจุนในเวลานี้ ยังคงไม่ยินดีที่จะออกจากดินแดนอันหอมหวานในคฤหาสน์จินเฉียว อาจเป็นเพราะอยู่ในเรือนจำหยุนหลงมานานเกินไป และไม่ได้สัมผัสกับความงดงามของสตรีมานาน เขาจึงปรารถนาจะได้รับการปรนนิบัติจากผู้หญิงทุกคนในคฤหาสน์จินเฉียว “คนไร้ค่าคนนั้น คงไม่เคยได้เสพสุขกับสวัสดิการแบบนี้มาก่อน ช่างน่าสงสารจริง ๆ!” หานจุนพูดแล้วหัวเราะไปพร้อมกับใช้มือซ้ายโอบไหล่หญิงสาว มือขวากอดเอวหญิงสาวราวกับราชา ยิ่งนึกถึงสภาพของหานซานเฉียน เขาก็ยิ่งรู้สึกสมเพชมากขึ้นเท่านั้น ถูกตระกูลหานเตะออกมาอยู่ยังสถานที่เล็ก ๆ อย่างเมืองหยุนเฉิง แต่กลับไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ตกอับถูกคนรังแก แถมถูกคนอื่นมองเป็นคนไร้ประโยชน์อีก “แต่นายไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันจะช่วยชำระล้างให้นายและบอกผู้คนในเมืองห
ที่สำคัญไปกว่านั้น ในความคิดของซูหยิงเซี่ย เรื่องชุดชั้นในแม้แต่หานซานเฉียนก็ไม่ควรรู้ แล้วเขา… เขาไปเห็นอะไรมาอย่างนั้นเหรอ? “ว่าไง ตอนนี้คุณเชื่อผมหรือยัง?” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม ซูหยิงเซี่ยหน้าแดงก่ำ เธอคิดว่าถ้าเป็นเรื่องกินนอนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมเขาถึงรู้ว่าตนเองไม่ชอบใส่ชุดชั้นในที่เข้าชุดกัน? “คุณ… คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจับคู่ชุดชั้นในยังไง?” ซูหยิงเซี่ยเอ่ยถาม “อะแฮ่ม” หานซานเฉียนกระแอมไออกมาด้วยความเขินอาย รู้ได้อย่างไรงั้นเหรอ? ก็ต้องแอบดูสิถึงได้รู้ แต่ถ้าบอกไปอย่างนี้ ซูหยิงเซี่ยต้องทุบเขาตายแน่ “เอ่อ… ในตู้เสื้อผ้ามันรกเละเทะน่ะ ผมเลยเดาเอา” หานซานเฉียนตอบอย่างขอไปที “เดาอะไร ฉันว่าคุณต้องเคยแอบดูแน่ ๆ ไอ้คนลามก” เฉินหลิงเหยาชอบดูเรื่องสนุกโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ระหว่างมองไปที่หานซานเฉียนอย่างดูถูกแล้วเอ่ยขึ้น หานซานเฉียนจ้องไปที่เฉินหลิงเหยาแล้วพูดขึ้นว่า “คืนเงินผมมาได้แล้ว” เมื่อเฉินหลิงเหยาได้ยินแบบนั้น ก็ก้มหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่เรื่องนี้เขาก็รู้ ดูท่าทางจะเป็นหานซานเฉียนไม่ผิดตัวจริง ๆ “อืม… เรื่องของพวกคุณสองคน ปรึกษากันเอาเองแล้ว
พอเห็นว่าหานจุนคุกเข่าลงคำนับพร้อมน้ำมูกน้ำตาไหล ม่อหยางก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนที่ออกมาจากท้องแม่เดียวกัน ถึงมีความแตกต่างมากมายขนาดนี้ หานจุนดูไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลย เขาขี้ขลาดจนถึงขีดสุด หัวเข่าของผู้ชายมีค่าดั่งทองคำ จะให้คุกเข่าง่าย ๆ ได้อย่างไร ย้อนกลับมามองหานซานเฉียน แม้ทั้งเมืองหยุนเฉิงจะเห็นว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่หานซานเฉียนแสดงออกมานั้นไม่ใกล้เคียงกับคนไร้ประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว มีแค่คนโง่เขลาพวกนั้นที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ ความสามารถของสองพี่น้องนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ม่อหยางเบะปากอย่างดูถูก แล้วพูดว่า “จะไม่แสดงให้เราเห็นความเป็นลูกผู้ชายสักหน่อยเลยเหรอ?” หานจุนไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นลูกผู้ชายหรือไม่ ขอแค่มีชีวิตอยู่ต่อไปก็พอ ในอนาคตเขายังสามารถแก้แค้นได้ ความอัปยศชั่วครั้งชั่วคราวแค่นี้จะเป็นอะไรไป? อีกอย่างช่วงที่อยู่ในเรือนจำหยุนหลง หานจุนได้เรียนรู้ให้ว่านอนสอนง่าย ถ้าเอาชนะไม่ได้ก็ยอมทำตาม ไม่อย่างนั้นจะถูกเฆี่ยนตีอย่างสาหัส นี่คือหลักการที่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ “พี่ชาย ปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่ใช่หานซานเฉียนจ
บ่ายวันนั้น หนานกงเชียนชิวมาถึงเมืองหยุนเฉิงพร้อมกับฉือจิง “รู้ไหมว่าเจ้าคนไร้ประโยชน์หานซานเฉียนอยู่ที่ไหน?” หลังลงจากเครื่องบิน หนานกงเชียนชิวก็ถามฉือจิง “โครงการคฤหาสน์เขาหยุนติงค่ะ” ฉือจิงกล่าว หนานกงเชียนชิวยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ตระกูลซูร่ำรวยถึงขนาดอาศัยอยู่ในโครงการคฤหาสน์ได้เลยอย่างนั้นเหรอ? ดูท่าทางเขาจะมีความสุขมากในเมืองหยุนเฉิงสินะ” ฉือจิงยิ้มอย่างขมขื่น หานซานเฉียนถูกไล่ออกจากตระกูลหาน เมื่อแต่งงานเข้าตระกูลซูก็ได้รับความอัปยศอดสูไม่น้อย แถมยังเพิ่งได้อาศัยอยู่ในโครงการคฤหาสน์ได้ไม่นาน ในสายตาของหญิงชราคิดว่าเป็นความสุขแล้วอย่างนั้นเหรอ? แล้วหานจุนล่ะ? ชีวิตอันอู้ฟู่หรูหราของหานจุนในหลายปีที่ผ่านมาจะเรียกว่าอะไรดี? ฉือจิงไม่อาจยืนข้างใครได้ในตอนนี้ เธอแค่ปฏิบัติตัวในฐานะผู้ชม แม้เมื่อก่อนเธอจะเคยให้ค่าหานจุนมาก แต่นับตั้งแต่หนานกงเชียนชิวยืนกรานว่าจะส่งหานซานเฉียนไปติดคุกแทนหานจุน ความอยุติธรรมนี้ทำให้ฉือจิงไม่ยินดีช่วยเหลือหานจุนอีก ถึงอย่างไรหานซานเฉียนก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอเช่นกัน เขาก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติแบบนี้ “แม่คะ แม่ไม่คิดว่าการส่งหานจุนกลับไป
เจี่ยงหลานเดินไปที่ประตูด้วยความหงุดหงิด เมื่อเธอเห็นฉือจิงและหนานกงเชียนชิวที่หน้าประตู ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างไม่รู้ต่อกี่เท่า เธอไม่รู้จักหญิงชราคนนี้ แต่ชั่วชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันลืมฉือจิง การตบหน้าอย่างแรงยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจำของเจี่ยงหลาน แล้วเธอยังได้รู้จากปากหานซานเฉียนอีกว่าฉือจิงเป็นคนที่ร้ายกาจมาก เธอ… ทำไมจู่ ๆ เธอถึงมาหาฉันถึงบ้าน! เจี่ยงหลานยังคงจำได้ว่าฉือจิงต้องการให้เธอทำตัวเงียบ ๆ ถ้าทำให้เขาเดือดร้อนอีก ก็จะทำให้เธอใช้ชีวิตด้วยความเสียใจภายหลัง แต่… แต่เจี่ยงหลานไม่รู้ว่าเขาที่ฉือจิงพูดถึงเป็นใคร อย่าบอกนะว่า เธอไปล่วงเกินคนคนนั้นอีกแล้วเหรอ? เจี่ยงหลานนึกถึงเรื่องที่เธอเพิ่งทำไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองไปล่วงเกินใครมา “คุณ… คุณมาที่นี่ทำไม?” เจี่ยงหลานพูดกับฉือจิงอย่างลนลาน หนานกงเชียนชิวชำเลืองมองเจี่ยงหลานอย่างเย็นชาก่อนถามขึ้น “เมื่อกี้คุณบอกว่าใครเป็นคนแปลกหน้านะ?” เจี่ยงหลานตัวสั่นด้วยความกลัวและรีบพูดว่า “ฉันขอโทษค่ะ ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้พูดถึงพวกคุณเลยแบบนั้นค่ะ” แม้เจี่ยงหลานจะไม่รู้ว่าหนานกงเชียนชิวเป็นใคร แต่หญิงชราผู้นี้
“ดูเหมือนว่าถ้าฉันไม่สั่งสอนบทเรียนให้กับเธอบ้าง เธอคงไม่รู้ว่ายายแก่อย่างฉันเป็นใคร” หนานกงเชียนชิวชักไม้เท้ากลับ แล้วกระแทกลงบนพื้นเสียงดังกึกก้อง บอดี้การ์ดหลายคนที่ติดตามเธอมาด้วย หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาหาซูหยิงเซี่ย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “คุกเข่าลง” “ฉันไม่คุกเข่า คุณจะทำอะไรฉันได้?” ซูหยิงเซี่ยเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าไม่ยอมแพ้ บอดี้การ์ดที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ กระชากผมของซูหยิงเซี่ยให้ก้มหัวลง แล้วยกหัวเข่าขึ้นกระแทกเข้าไปที่ท้องของซูหยิงเซี่ยอย่างแรง ซูหยิงเซี่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากบอดี้การ์ด เธอคุกเข่าลงบนพื้นอย่างไม่มีทางเลือก เธอมีนิสัยดื้อรั้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่ง เธอจะเอาอะไรไปสู้กับบอดี้การ์ดได้? หนานกงเชียนชิวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แล้วบอกกับซูหยิงเซี่ยว่า “อารมณ์รุนแรงนักไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงยอมคุกเข่าแล้วล่ะ” ซูหยิงเซี่ยยังคงมีสีหน้าไม่ยอมแพ้ เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจ้องไปที่หนานกงเชียนชิวอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วพูดว่า “ฉันคุกเข่าให้คุณได้ แถมยังจุดธูปสามดอกให้คุณได้ด้วย คุณจะเอาหรือเปล่าล่ะ?” หนานกงเชียนชิวรู้
“หานซานเฉียน แกมัวไปตายอยู่ที่ไหน ยังไม่กลับมาอีก!” ทันทีที่ปลายสายกดรับสาย เจี่ยงหลานก็ดุด่าอย่างโกรธเคือง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากหานซานเฉียน ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ซูหยิงเซี่ยจะโดนทำร้ายได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เจี่ยงหลานยังเข้าใจด้วยว่า วันนี้การที่ฉือจิงปรากฏตัวขึ้น พวกเขาไม่ได้มาเพื่อสร้างปัญหาให้กับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้กลัวมากนัก ขอแค่ให้หานซานเฉียนมารับผลที่ทำไว้ ตระกูลซูก็จะสามารถหลุดพ้นได้แล้ว ถ้าหานซานเฉียนทำให้พวกเธอเดือดร้อน เจี่ยงหลานก็มีวิธีเช่นกัน วิธีที่ดีที่สุดคือให้ซูหยิงเซี่ยหย่ากับหานซานเฉียนทันที เธอจะได้ไม่ต้องถูกลากเข้าไปพัวพันอีก หลังจากได้พบหานจุน หานซานเฉียนได้โทรศัพท์ของตัวเองคืนมา แต่จู่ ๆ เจี่ยงหลานก็บอกให้เขากลับไป อีกทั้งท่วงทำนองการพูดจายังเลวร้ายมาก ทำให้หานซานเฉียนไม่เข้าใจ “แม่ครับ มีอะไรหรือเปล่า?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม “แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ ฉันไม่ใช่แม่ของแก ตอนนี้ศัตรูของแกมาหาถึงบ้านแล้ว แกยังจะหลบอยู่อีกเหรอ รีบกลับมาเดี๋ยวนี้” เจี่ยงหลานกล่าว ศัตรู! เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของหานซานเฉียนก็หรี่ลง หนานกงเชียนชิวคงไ