เจี่ยงหลานลูบคลำใบหน้าของเธอ แล้วมองหานซานเฉียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ เจ้า...เจ้าคนไร้ประโยชน์คนนี้ กล้าตบเธอ! “ความอดทนของผม ไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะมาเหยียบจมูกผมได้ ผมขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังพูดจากเหลวไหลต่อไป ผมจะไม่เกรงใจคุณแล้ว” สีหน้าของหานซานเฉียนเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เยือกเย็นไปถึงกระดูก แววตาของเจี่ยงหลานเป็นตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ซูกั๋วเย่าเองก็ยังตกตะลึง เหมือนเขาจะมองเห็นพลังของหานซานเฉียนที่ใช้กำลังกับซูไห่เฉาคราวก่อนซึ่งน่าสะพรึงกลัวมาก “หานซานเฉียน คุณทำอะไรน่ะ!” ซูหยิงเซี่ยได้สติกลับมาแล้วจึงตวาดใส่หานซานเฉียนด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ถึงอย่างไรเจี่ยงหลานก็เป็นแม่ของเธอ หานซานเฉียนอยู่ในฐานะคนรุ่นหลังจะมาทำร้ายผู้อาวุโสกว่าได้อย่างไร? หานซานเฉียนยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายหน้า แล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง ได้ยินเสียงเจี่ยงหลานโวยวายอยู่ข้างนอก หานซานเฉียนกลับรู้สึกสงบนิ่ง คนแบบนี้เขาควรจะสอนบทเรียนให้เธอมานานแล้ว แม้ว่าบทเรียนนี้จะยังไม่เพียงพอ แต่หานซานเฉียนจะทำให้เธอสำนึกตัวเองได้ในวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว! ซูหยิงเซี่ยนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นเหม
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซ่างกวนเฮยไป๋ก็ตกใจและเข้าใจผิดว่าเหยียนจุนกำลังตำหนิเขา จึงรีบอธิบายว่า “ผมประมาทเกินไป ชนะแค่สิบจุดครับ” เหยียนจุนหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าให้เวลาเขาอีกห้าปี คุณจะยังเอาชนะเขาได้ไหม? พูดมาตามตรง” เวลาห้าปี สีหน้าของซ่างกวนเฮยไป๋เริ่มย่ำแย่ลงอย่างถึงที่สุด ตอนนี้เขาอายุมากแล้ว สมองของเขาก็แย่ลงเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาห้าปี ทักษะการเล่นหมากล้อมของเขาจะถดถอยลง แต่ชายหนุ่มคนนั้นจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อีกห้าปีข้างหน้า ตาชั่งของผู้ชนะจะต้องเอนเอียงไปหาชายหนุ่มคนนั้นอย่างแน่นอน แต่การยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ซ่างกวนเฮยไป๋จะพูดออกมาได้ ในฐานะผู้นำ สิ่งสำคัญที่สุดคือภาพลักษณ์ แล้วจะยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าคนหนุ่มคนหนึ่งได้อย่างไร? “คุณเหยียน อีกห้าปีข้างหน้า ลูกศิษย์ของผมจะต้องชนะเขาอย่างแน่นอน” ซ่างกวนเฮยไป๋กล่าว เหยียนจุนยิ้มเล็กน้อย ชายคนนี้คิดว่าเขาไม่พอใจที่พ่ายแพ้ แต่ในความเป็นจริง เหยียนจุนกลับมีความสุขกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม หานซานเฉียนเป็นคนที่เขาฝึกฝนอบรมมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ซ่างกวนเฮยไป๋เป็นศัตรูกับหานซานเฉียน การเติบโตขึ้นของคนเรา
ณ ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่คุ้นเคยมากสำหรับหานซานเฉียน หลังลงจากเครื่องแล้ว เหยียนจุนก็บอกเขาว่า “ไปเที่ยวให้สนุกเถอะ พรุ่งนี้อย่าลืมกลับบ้านแล้วกัน” หานซานเฉียนพยักหน้ารับและไม่พูดอะไรอีก สถานที่เหล่านั้นใหญ่โตมาก มีหลายสถานที่ที่หานซานเฉียนไม่เคยไป เพราะตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน คุณย่าของเขาจะพาหานจุนไปกับเธอเท่านั้น ส่วนเขาต้องอยู่ที่บ้าน ได้แต่รอให้หานจุนกลับมาเล่าให้เขาฟังว่าสถานที่เหล่านั้นน่าสนุกแค่ไหน ตอนเด็ก ๆ หานซานเฉียนตั้งตารอสวนสนุกที่หานจุนเล่าให้ฟัง สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไปดูด้วยตัวเองเมื่อโตขึ้น แต่เมื่อหานซานเฉียนเติบโตขึ้น เขาก็ไม่เคยไปที่นั่น เพราะสถานที่ที่หานจุนเคยไป เป็นที่ที่คุณย่าทิ้งอคติไว้กับเขา เขารู้ว่าถึงแม้จะไปที่นั่นก็ไม่มีทางมีความสุข ณ อาคารเฟิงเฉียน ในฐานะบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียง กลุ่มเฟิงเฉียนยังมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมมากมาย ฉินหลิน ประธานบริษัทเฟิงเฉียนอยู่ในตำแหน่งสูง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถยกฐานะเข้าไปอยู่ในวงเวียนของตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ให้เกียรติเขา หานซานเฉียนไม่มีบัตรพนักงาน จึงถูกเจ้า
“งั้นเหรอ?” สองคำนี้ดังออกมาจากปากของหานซานเฉียนอย่างเย็นชา พร้อมด้วยท่าทีเหมือนผู้ที่อยู่เหนือกว่า กำลังคุยกับผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า แค่คำพูดสองคำกับเสียงที่คุ้นเคยนี้ ก็ทำให้ฉินหลินตัวสั่นเทา เขา... เมื่อฉินหลินหันกลับไปก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยภายใต้หมวกแก๊ป ถ้าไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ ฉินหลินก็แทบจะคุกเข่าลงไปแล้ว! ทำไมจู่ ๆ เขาก็กลับมา! หลายคนไม่สามารถแยกแยะหานซานเฉียนกับหานจุนได้ แต่ฉินหลินรับรู้ถึงเอกลักษณ์ของคนสองคนนี้เป็นอย่างดี อีกอย่างตอนนี้หานจุนยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำหยุนหลง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ “คุณ...คุณหาน” ฉินหลินปากแห้งและรู้สึกเสียใจกับท่าทีจองหองของตัวเองเมื่อสักครู่นี้ เขารีบโค้งตัวลงเล็กน้อยให้กับหานซานเฉียน “เดี๋ยวนี้การจะพบคุณมันยากขนาดนี้เชียวเหรอ?” หานซานเฉียนถามอย่างเย็นชา “ไม่ครับ ๆ ๆ ๆ” ฉินหลินพูดพร้อมโบกมือไปมาด้วยความตื่นตระหนกแล้วพูดว่า “คุณหาน โปรดตามผมมาครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนเห็นท่าทีของฉินหลินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ต่างก็พากันอ้าปากค้าง ผู้ชายคนนี้เป็นใครถึงสามารถทำให้ประธานกลุ่มเฟิงเฉียนหวาดกลัวได้ถึ
บ้านใหญ่ตระกูลหาน สถานที่นี้ หากพูดกันตามตรงแล้วก็ไม่ใช่คฤหาสน์หรูหราอะไร แต่เป็นเรือนสี่ประสานที่อยู่ลึกเข้าไปในตรอก ทั่วทั้งสี่ทิศ ที่ดินผืนเล็ก ๆ ทุกตารางนิ้วนั้นมีค่าดั่งทองคำ มีสวนดอกไม้อิสระ บ่อปลา กลางลานบ้านยังมีไม้พะยูงไหหลำอายุร้อยปีอยู่ด้วย หนานกงเชียนชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้ และมีเหยียนจุนยืนอยู่ไม่ไกล “เจ้าคนไม่เอาถ่าน ถ้าเขากลับมาที่นี่ เขาคงรอไม่ไหวที่จะใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาแล้วสินะ?” หนานกงเชียนชิวพูดอย่างเย็นชา เรื่องแบบนี้ ปกติแล้วมีแต่หานจุนเท่านั้นที่ทำอะไรแบบนั้น แต่หนานกงเชียนชิวกลับเชื่อว่าเขาทำไปเพียงเพื่อขยายวงสังคม หาเพื่อนให้มากขึ้น เพื่อความก้าวหน้าของตระกูลหาน ส่วนหานซานเฉียน ถ้าเขาไม่ได้กลับบ้าน ไม่ว่าจะไปที่ไหน หญิงชราคิดว่าเขากำลังทำตัวเหลวไหลอยู่เสมอ “ผมจะให้เขากลับบ้านพรุ่งนี้ครับ” เหยียนจุนกล่าว เมื่อได้ยินแบบนี้ หนานกงเชียนชิวก็มีสีหน้าไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เหยียนจุนมีสถานะพิเศษในตระกูลหาน แม้ว่าเขาจะดูเหมือนเป็นบอดี้การ์ดอันดับหนึ่งของตระกูลหาน แต่การดำรงอยู่ของเขา แม้แต่หนานกงเชียนชิวก็ไม่กล้าตำหนิตามใจชอบได้ หนานก
หานซานเฉียนเดินไปใต้ต้นไม้ ก้มหัวเล็กน้อยให้กับเหยียนจุน แต่เขาไม่ได้ทักทายหนานกงเชียนชิวไม่เคารพและยังอกตัญญูอีกเหรอเนี่ย?หานซานเฉียนไม่ได้ทำอะไร แค่เขาถูกไล่ออกจากตระกูลหานมาเป็นเวลานาน อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาหนานกงเชียนชิวไม่เคยปฏิบัติต่อเขาแบบหลานชายเลย แล้วทีนี้เขาจะเรียกหนานกงเชียวชิวว่าคุณย่าอย่างเต็มปากได้อย่างไร?“ผมกลับมาแล้ว คุณต้องการให้ผมทำอะไรบ้างครับ?” หานซานเฉียนเอ่ยถามอย่างเย็นชาหนานกงเชียนชิวกัดฟันแน่นพร้อมพูดว่า “ตระกูลหานให้กำเนิดสิ่งปฏิกูลไร้มารยาทผู้ดีอย่างแกมาได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะหานจุนถูกขังคุก แกอย่าคิดที่จะได้กลับมาที่นี่อีกตลอดไปเลย”การโดนดูถูกจากหนานกงเชียนชิวนั้นสำหรับหานซานเฉียนแล้วไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เขาคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้มานาน“ผมได้ยินมาว่าหานเฉิงใกล้ตายแล้ว คุณต้องการให้ผมไปเคารพศพครั้งสุดท้ายใช่ไหมครับ?” หานซานเฉียนกล่าวหนานกงเชียนชิวลุกยืนขึ้นด้วยท่าทางดุดัน ไม้เท้าที่อยู่ในมือโบกไปทางหัวไหล่ของหานซานเฉียน แล้วพูดด่าทอด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “แกจะพูดยังไงเขาก็คือพ่อของแกนะ ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีแก แล้วแกมีหน้ามาพูดแบ
ฉือจิงไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เป็นเวลานาน เขามอบโอกาสครั้งสุดท้ายให้ตระกูลหาน นี่มันหมายความว่าอย่างไร!ฉือจิงสงสัยว่า ทำไมเธอถึงสังเกตเห็นวิกฤติของตระกูลหานทั้งหมดจากปากของหานซานเฉียน แถมวิกฤตครั้งนี้ยังเกิดขึ้นโดยหานซานเฉียนอีก!เขามีแผนการพุ่งเป้ามาที่ตระกูลหานอย่างนั้นเหรอ?ด้วยความแข็งแกร่งของหานซานเฉียนในตอนนี้ ถ้าต้องการจัดการกับตระกูลหาน ดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยเหมาะสมแก่เวลาสักเท่าไหร่ แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ในเมืองหยุนเฉิง ตระกูลหานก็คงไม่เอามันมาอยู่ในสายตา ด้วยความสามารถของฉินหลินในตอนนี้ก็ยังแข่งขันกับตระกูลหานไม่ได้การที่หานซานเฉียนเรียกว่าโอกาสนั้นมีไว้สำหรับหานจุนและหนานกงเชียนชิว และยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นโอกาสของเขาด้วยเช่นกัน เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ตัดความสัมพันธ์ทางสายเลือดส่วนนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ หานซานเฉียนก็ไม่จำเป็นที่จะมีข้ออ้างใด ๆ ให้ใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์ทางสายเลือดอีกต่อไปหลังจากปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฉือจิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองไปที่หานเฉิงที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ซึ่งถูกกำหนดให้ไม่สามารถกลับ
ฝุ่นละอองคลุกเคล้ากับกลิ่นเหม็นอับชื้นคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาหานซานเฉียนไม่ได้ออกจากห้องของตัวเองจนกระทั่งถึงวันฝังศพหานเฉิง เถ้ากระดูกและป้ายหลุมศพ แม้แต่ระยะตำแหน่งของหานเฉิงล้วนเป็นการควบคุมโดยบอดี้การ์ดของตระกูลหาน ต่อให้หานจุนไม่ได้รับทัณฑ์บน หานซานเฉียนก็คงไม่ได้รับการยอมรับจากหนานกงเชียนชิวเหมือนเก่า แถมเขายังไม่มีสิทธิ์ส่งอำลาหานเฉิงเป็นครั้งสุดท้ายด้วยในสายตาของหนานกงเชียนชิวนั้น หานซานเฉียนไม่ใช่คนตระกูลหานมาตั้งนานแล้ว เขาแค่มีค่าสำหรับการใช้งานบางอย่างเท่านั้น เขาถึงมีสิทธิ์ได้กลับมา หลังจากนั้นไม่กี่วัน งานศพของหานเฉิงก็เสร็จสิ้น หนานกงเชียนชิวเดินมาอยู่นอกประตูห้องของหานซานเฉียนด้วยตัวเอง “เจ้าสิ่งปฏิกูลอกตัญญู ยังไม่เสนอหน้าออกมาพบฉันอีกเหรอ?” หนานกงเฉียนชิวที่กำลังเดินด้วยไม้เท้าค้ำยันพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมหานซานเฉียนผลักประตูห้องด้วยสีหน้าเย็นชาและพูดว่า “ผมไม่ใช่คนของตระกูลหานแล้ว ทำไมถึงพูดว่าอกตัญญูล่ะครับ?”หนานกงเชียนชิวพูดด้วยสีหน้าหน้าเย็นชา “หานจุนคิดถึงมิตรภาพความเป็นพี่น้องกับแก เขาต้องการพบกับแกสักครั้ง ควรจะมีความสุขหน่อยนะที่มีพี่ชายแสนดีแบบนี้”