ยังคงเป็นห้องนั้น คราวนี้หวางเม่าไม่ได้ชะล่าใจ กระดานนี้เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี เขาจำเป็นต้องเอาชนะหานซานเฉียน เพื่อสร้างที่ยืนใหม่ให้กับตัวเองในวงการหมากล้อมเมืองหยุนเฉิง แม้ว่าจะมีคนไม่มากที่รู้เรื่องความพ่ายแพ้ในเกมหมากล้อม แต่สำหรับหวางเม่าแล้วนี่เป็นความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมาก เพราะหานซานเฉียนนั้นเด็กเกินไป เด็กมากจนหวางเม่าคิดว่าเขาไม่มีศักยภาพขนาดนั้น “ตอนนี้อาจารย์ของผมจะจริงจังแล้ว คุณระวังตัวด้วย อย่าโทษว่าผมไม่เตือนคุณก่อนแล้วกัน” เซี่ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างหลังหวางเม่าพูดกับหานซานเฉียนด้วยรอยยิ้ม หานซานเฉียนพยักหน้ารับ การแสดงออกที่เอาจริงเอาจังของเขาแสดงให้เห็นว่าสติของได้เข้าไปอยู่ในเกมหมากล้อมแล้ว เส้นตัด 38 เส้น ตำแหน่งวางหมาก 361 จุด ตั้งแต่วินาทีที่เขาจับตัวหมากไว้นั้นก็ไม่ใช่กระดานหมากล้อมธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นสนามรบ เซี่ยเฟยไม่ได้ดูทั้งสองแข่งกัน เพราะเขารู้สึกว่าผลลัพธ์นั้นชัดเจนแล้ว กระบวนการไม่ได้สำคัญเลย แต่กับเทียนฉางเฉิงและสวี่ฮวนนั้นกลับดูอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ ตั้งแต่เทียนฉางเฉิงได้รู้ว่าหานซานเฉียนมีความมั่นใจเต็มสิบว่าจะเอาชนะหวางเม่าได้ เขาจึงต้
เซี่ยเฟยแทบจะเป็นบ้า เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ ไม่นานคนของตระกูลเซี่ยก็มาถึงห้อง เมื่อพวกเขาเห็นเซี่ยเฟยคุกเข่าอยู่บนพื้น ก็รู้ว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น เพราะทำให้นายใหญ่แห่งตระกูลเทียนไม่พอใจอีกแล้วสินะ! พ่อของเซี่ยเฟยเดินเข้าไปหาเซี่ยเฟยแล้วตบหน้าเขาสองครั้ง พร้อมกับดุด่าว่า “เจ้าลูกไม่รักดี! ไปก่อเรื่องเลวทรามอะไรมาอีก!” คนของตระกูลเซี่ยมีฐานะค่อนข้างดีในเมืองหยุนเฉิง และแข็งแกร่งกว่าตระกูลซูเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การที่ได้รับเชิญมางานวันเกิดนั้นก็เพราะว่าหวางเม่าเห็นความสำคัญของเซี่ยเฟย โดยปกติแล้วเซี่ยเฟยมีตำแหน่งที่สูงมากในตระกูล ไม่มีใครกล้าเสียงดังกับเขา เพราะความก้าวหน้าของตระกูลเซี่ยทั้งหมดฝากความหวังไว้ที่เขา แต่ในวันนี้ เขาดันไปล่วงเกินเทียนฉางเฉิง พ่อของเซี่ยเฟยไม่อาจปล่อยไปได้ “เซี่ยเฟย นับจากวันนี้เธอไม่ใช่ลูกศิษย์ของฉันอีกต่อไป” หวางเม่ากล่าว พ่อของเซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึง! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงถูกหวางเม่าไล่ออกจากการเป็นศิษย์แบบนี้ หากสูญเสียความสัมพันธ์นี้ไป ตระกูลเซี่ยจะมีตำแหน่งอะไรในเมืองหยุนเฉิงได้อี
ภายในห้อง เทียนฉางเฉิงมองพิจารณาหานซานเฉียน ยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ เขาเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับหลานสาวของเขาจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่คนแบบนี้แต่งงานเข้าตระกูลซูไปแล้ว สายตาของเทียนฉางเฉิงทำให้หานซานเฉียนรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เขารีบพูดว่า “จ้องผมทำไมครับ อายุก็มากแล้ว คงไม่ได้มีความรู้สึกชื่นชอบพิเศษอะไรหรอกใช่ไหม” “เจ้าบ้า พูดจาไร้สาระ ฉันจะไปคิดอะไรกับนายได้ยังไงกัน” เทียนฉางเฉิงพูดพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่หานซานเฉียน “เฮ้ ๆ ๆ คุณช่วยเคารพอาจารย์หน่อยได้ไหม นี่คือท่าทีที่คุณใช้พูดกับอาจารย์งั้นเหรอ?” หานซานเฉียนเอามือกอดอกแล้วมองเทียนฉางเฉิงด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง เขายังไม่ลืมเรื่องการคารวะขอเป็นศิษย์หรอกนะ เทียนฉางเฉิงชะงักงันพร้อมกับหน้าแดงระเรื่อ “ท่านคือผู้นำตระกูลเทียน เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหยุนเฉิง กลืนน้ำลายตัวเองไม่ดีหรอกนะครับ” หานซานเฉียนพูดเตือนเขาด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของเทียนฉางเฉิงเรียกได้ว่ามีความรู้สึกหลากหลายมากจนยากจะเข้าใจ “นายจะให้ฉันยกน้ำชาคารวะด้วยเลยไหมล่ะ?” เทียนฉางเฉิงพูดอย่างไม่พอใจ “ไม่ต้องหรอกครับ แค่คุณจำไว้ว่าผมเป็นอาจารย์ของคุณ
หานซานเฉียนชะงักก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมผมต้องหย่าด้วยล่ะ?” คำพูดที่เผลอถามออกไปทำให้เทียนหลิงเอ๋อร์รู้สึกเสียมารยาทอย่างมาก เป็นผู้หญิงก็ควรสำรวมบ้าง เธอจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไรค่ะ แค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง” “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมก็ขอตัวก่อนนะครับ” หานซานเฉียนพูดจบก็เดินออกจากประตูไป “คุณระวังตัวด้วยนะคะ ซูไห่เฉาน่าจะมาหาเรื่องคุณอีก” เทียนหลิงเอ๋อร์เอ่ยปากเตือน หานซานเฉียนโบกมือโดยไม่หันกลับไปมอง แล้วพูดว่า “ผมไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา และเขาก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของผมด้วยซ้ำ” หลังจากหานซานเฉียนจากไปแล้ว เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจทันที เธอห่อไหล่คอตกราวกับว่าจิตวิญญาณกำลังหลุดลอยออกไป “เป็นอะไรไป? รู้สึกว่าเขาดีเลิศเกินไปกลัวตัวเองไม่คู่ควรเหรอ?” เทียนฉางเฉิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่คะ เขาเก่งขนาดนี้ แล้วจะชอบหนูเหรอคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดพร้อมกับบุ้ยปาก เทียนฉางเฉิงลูบศีรษะเทียนหลิงเอ๋อร์เบา ๆ แล้วพูดว่า “หลานเป็นคนของตระกูลเทียน ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจสักแค่ไหน ในเมืองหยุนเฉิงนี้จะมีคนที่หลานไม่คู่ควรได้ยังไงกัน” เทียนหลิงเอ๋อร์อารมณ์ดีขึ้นหลังจากได้รับการปลอบโยน ทั่
คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ม่อหยางและหลินหย่งเท่านั้น แต่เตาสือเอ้อร์ผู้โหดเหี้ยมก็อยู่ด้วย ปัจจุบันเมืองหยุนเฉิงมีเวทีมวยสามแห่ง เตาสือเอ้อร์ต่อยมาหมดทุกที่แล้ว เรียกว่าใช้กำปั้นหาเลี้ยงชีพมาตลอด เมื่อก่อนลูกน้องของเย่เฟยเคยพยายามต้านทานเขาอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ทนรับความแข็งแกร่งของหมัดของเตาสือเอ้อร์ไม่ไหว จนสุดท้ายก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี “วันนี้นายว่างมากเหรอ มาหาฉันทำไม?” ม่อหยางเอ่ยถามหานซานเฉียน “ถ้าไม่มีธุระแล้วจะมาหานายไม่ได้เหรอ? เห็นพวกนายมีท่าทางแบบนี้ กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่?” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม พวกเขาสามคนกำลังปรึกษากันว่าจะจัดการกับฟางเผิงอย่างไรดี เพราะช่วงนี้ฟางเผิงมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาต้องการแผ่ขยายอิทธิพลของตัวเอง เมื่อก่อนตอนที่ฟางเผิงรุกล้ำสถานที่ เขาไม่ได้ใช้อำนาจคุกคามม่อหยาง ดังนั้นเขาจึงมองข้ามบุคคลนี้ไปได้ แต่เวลานี้เขามีการเคลื่อนไหวแล้ว ม่อหยางจึงไม่อาจเพิกเฉยต่อไปได้อีก แต่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของฟางเผิง คือตระกูลเทียนแห่งเมืองหยุนเฉิง เรื่องนี้ทำให้ม่อหยางปวดสมองมาก ผู้อยู่เบื้องหลัง
หานซานเฉียนเดินเข้าไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกคุณถ่ายเสร็จหรือยัง?" หญิงสาวที่เปิดต้นขามองพิจารณาหานซานเฉียน แล้วพูดอย่างดูถูกว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับนายล่ะ? ถ้าอยากถ่ายรูปก็ต่อคิวสิ” ชายหนุ่มที่ยุ่งอยู่กับการถือโทรศัพท์ถ่ายภาพเหลือบมองหานซานเฉียนอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดว่า “อย่าใจร้อนสิ พวกเรายังถ่ายกันไม่เสร็จเลย” “ถ่ายอีกหลาย ๆ รูปเลย ฉันจะเอาไปโพสต์ลงวีแชทให้พวกเพื่อน ๆ ของฉันดูว่าฉันเคยนั่งรถลัมโบร์กินี” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วเปลี่ยนท่าทางอีกหลาย ๆ อิริยาบถ หานซานเฉียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นั่งอยู่หน้ารถก็ถือว่าได้นั่งลัมโบร์กินีแล้วเหรอ? “หัวเราะอะไร คนบ้านนอกอย่างนายออกไปห่าง ๆ หน่อย อย่ามารบกวนการถ่ายรูปของฉัน” หญิงสาวพูดด้วยความรำคาญหานซานเฉียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วยืนเฉย ๆ โดยไม่พูดอะไร หลังจากที่หญิงสาวถ่ายรูปจนพอใจ.ก็ถึงคิวชายหนุ่มไปถ่ายบ้าง ทั้งสองสนุกสนานเป็นอย่างมาก “เฮ้ คุณระวังหน่อยสิ อย่าเข้าใกล้กระจกมองข้าง” พอเห็นชายคนนั้นวางข้อศอกลงบนกระจกมองข้างแล้วทิ้งตัวลงไป หานซานเฉียนก็อดเอ่ยปากเตือนไม่ได้ “บ่นอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย? ฉั
วันนี้หานซานเฉียนอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะเขามีปัญหากลัดกลุ้มกับการกลับบ้าน ดังนั้นจึงไม่มีอารมณ์มาพูดจาดี ๆ กับหญิงชราถ้าเป็นเมื่อก่อน หานซานเฉียนอาจจะไม่ต่อปากต่อคำกับเธอ เพราะยังไงเรื่องต่าง ๆ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ทนฟังเธอบ่นสักสองสามคำก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาฟังหญิงชราพูดอย่างไม่รู้จบ“คุณย่าครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของผม เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมรับผิดครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวหญิงชราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่คิดเลยว่าคนไร้ค่าคนนี้จะกล้าทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าเธอเจี่ยงหลานที่อยู่ด้านข้างมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใจกลางภูเขา แต่ครอบครัวของพวกเขายังต้องพึ่งพาตระกูลซูเพื่อรักษาสภาพการดำรงชีวิตอยู่ ถ้าเกิดหญิงชรารู้สึกไม่พอใจ แล้วทำให้ซูหยิงเซี่ยลำบากใจในการทำงานที่บริษัทขึ้นมาจะทำอย่างไร?“หานซานเฉียน แกยังไม่ขอโทษคุณย่าอีก แกกล้าใช้ท่าทีแบบนี้พูดจากับคุณย่าได้ยังไง” เจี่ยงหลานต่อว่าหานซานเฉียนหานซานเฉียนเพิกเฉยเจี่ยงหลาน แต่พูดกับหญิงชราว่า “ถ้าเป็นผมที่ต้องคุกเข่าให้ซูไห่เฉา คุณย่าคิดว่ามันสมเ
ซูไห่เฉาหาเรื่องใส่หัวตัวเอง จึงนำไปสู่ผลลัพธ์แบบนี้ และที่ตระกูลซูต้องขายหน้าก็เป็นเพราะว่าซูไห่เฉาเป็นคนทำมันด้วยตัวเอง หานซานเฉียนจะไม่ยอมเป็นแพะรับบาปเด็ดขาด “ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณย่า ผมไม่ต้องการทำเรื่องแบบนี้” หานซานเฉียนพูดอย่างเย็นชาหญิงชรากัดฟันแน่นพร้อมกับมองไปที่หานซานเฉียนอย่างโหดเหี้ยม และพูดว่า “แกอย่าคิดว่าการที่ซูหยิงเซี่ยได้เป็นหัวหน้าโครงการแล้ว แกจะสามารถอาศัยเธอและไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาได้ ฉันสามารถปลดตำแหน่งของเธอได้แค่คำพูดเดียวเท่านั้น”“รอดูกันต่อไปก็แล้วกันครับ” เมื่อหานซานเฉียนพูดจบก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเองทันทีคำขู่ของหญิงชรานั้นไร้สาระตำแหน่งหัวหน้าโครงการของซูหยิงเซี่ยนั้นเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของตระกูลซู แล้วเธอจะกล้าทำแบบนั้นด้วยเหรอ? เธอกล้าเดิมพันอนาคตของตระกูลซูเพียงเพราะความโกรธชั่วขณะของเธอด้วยหรือไง?เธอไม่มีทางทำแน่ และเธอก็ไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นกันฟันกรามของหญิงชราแทบจะหักแล้ว ในช่วงสามปีมานี้ หานซานเฉียนไม่เคยตอบโต้อะไร แต่นับตั้งแต่หลังจากที่ซูหยิงเซี่ยมีตำแหน่งในบริษัท ท่าทีของเขาก็เย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆหญิงชรารู้ว่าหานซาน