ซูหยิงเซี่ยรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างถึงขีดสุดกับคำพูดของหญิงชรา ถ้าทำให้ตระกูลซูกลายเป็นตระกูลแถวหน้าได้ ก็จะยอมรับความดีงามของหานซานเฉียนงั้นหรือ? แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เคยคิดว่าหานซานเฉียนไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากเธอด้วยซ้ำ คนที่นั่งข้างเทียนฉางเฉิงได้ ยังจะต้องสนใจความคิดเห็นของคนอื่นอีกทำไม? หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปครึ่งทาง เทียนหลิงเอ๋อร์ก็เดินสะบัดเปียหางม้ามาที่โต๊ะของตระกูลซู หญิงชราลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเทียนหลิงเอ๋อร์ แต่ไม่กล้าอาศัยความเป็นอาวุโสข่มคนอื่น “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณหนูเทียน ฉันมาจากตระกูลซู...” หญิงชรายังพูดไม่ทันจบ เทียนหลิงเอ๋อร์ก็รีบตัดบทอย่างเสียมารยาท “ใครคือซูไห่เฉา ได้ยินว่ามีการแสดงให้ดูเหรอคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนไม่มีมารยาท แต่ตอนนี้เธอไม่ชอบคนตระกูลซูเลย ดังนั้นจึงไม่เห็นหญิงชราอยู่ในสายตา คนรักในฝันของเธอ ถูกครอบครัวนี้เรียกว่าคนไร้ประโยชน์ แล้วเธอจะรู้สึกดีได้อย่างไร? เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลิงเอ๋อร์ สายตาของทุกคนในตระกูลซูต่างพากันจับจ้องไปที่ซูไห่เฉาอย่างช่วยไม่ได้ การแสดงที่พูดถึงนั้น น่าจะเป็นการที่ซูไห่เฉาต้องคุกเข่าเ
“คุณหนูเทียน การแสดงนี้ดีมากจริง ๆ เขาคือใครเหรอ เห่าเหมือนหมามากเลย” “ดูเหมือนเขาจะชื่อซูไห่เฉาอะไรนี่แหละ แพ้พนันคนอื่น ดังนั้นเขาจึงต้องเห่าเหมือนสุนัข” เทียนหลิงเอ๋อร์อธิบาย หลายคนในที่นี้ไม่เคยได้ยินชื่อซูไห่เฉามาก่อนเลย หลังจากถามไถ่กันสักพัก ถึงได้รู้ว่าซูไห่เฉาเป็นคนในตระกูลซูนั่นเอง สิ่งนี้ทำให้ซูไห่เฉายิ่งรู้สึกขายหน้า อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นทายาทตระกูลดังแถวสองในเมืองหยุนเฉิง แต่ผู้คนมากมายไม่รู้จักว่าเขาคือใคร ตระกูลซูไม่มีอิทธิพลในเมืองหยุนเฉิงขนาดนี้เลยหรือ? ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ถือดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงชรา เธอได้สร้างกฎเกณฑ์มากมายเพื่อให้ตระกูลซูคิดว่าตนเองเป็นตระกูลอันสูงศักดิ์ แต่ในเมืองหยุนเฉิงนั้น ก่อนที่พวกเขาจะได้ร่วมมือกับบริษัทลั่วเฉว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จัก การที่เรียกว่าตระกูลแถวสองก็สมควรแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อของซูไห่เฉาเลย นอกจากในหมู่เพื่อนของเขาเอง แล้วก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเลยสักนิด “คุณหนูเทียน คุณกับซูไห่เฉาไม่ค่อยลงรอยกันเหรอครับ” “พวกเราจะจำไว้ คราวหน้าถ้าเจอเจ้าหมอนี่ จะได้ไม่ไว้หน้าเขาอีก” “คุณหนูเทียนไม่ต้องก
ยังคงเป็นห้องนั้น คราวนี้หวางเม่าไม่ได้ชะล่าใจ กระดานนี้เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี เขาจำเป็นต้องเอาชนะหานซานเฉียน เพื่อสร้างที่ยืนใหม่ให้กับตัวเองในวงการหมากล้อมเมืองหยุนเฉิง แม้ว่าจะมีคนไม่มากที่รู้เรื่องความพ่ายแพ้ในเกมหมากล้อม แต่สำหรับหวางเม่าแล้วนี่เป็นความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมาก เพราะหานซานเฉียนนั้นเด็กเกินไป เด็กมากจนหวางเม่าคิดว่าเขาไม่มีศักยภาพขนาดนั้น “ตอนนี้อาจารย์ของผมจะจริงจังแล้ว คุณระวังตัวด้วย อย่าโทษว่าผมไม่เตือนคุณก่อนแล้วกัน” เซี่ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างหลังหวางเม่าพูดกับหานซานเฉียนด้วยรอยยิ้ม หานซานเฉียนพยักหน้ารับ การแสดงออกที่เอาจริงเอาจังของเขาแสดงให้เห็นว่าสติของได้เข้าไปอยู่ในเกมหมากล้อมแล้ว เส้นตัด 38 เส้น ตำแหน่งวางหมาก 361 จุด ตั้งแต่วินาทีที่เขาจับตัวหมากไว้นั้นก็ไม่ใช่กระดานหมากล้อมธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นสนามรบ เซี่ยเฟยไม่ได้ดูทั้งสองแข่งกัน เพราะเขารู้สึกว่าผลลัพธ์นั้นชัดเจนแล้ว กระบวนการไม่ได้สำคัญเลย แต่กับเทียนฉางเฉิงและสวี่ฮวนนั้นกลับดูอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ ตั้งแต่เทียนฉางเฉิงได้รู้ว่าหานซานเฉียนมีความมั่นใจเต็มสิบว่าจะเอาชนะหวางเม่าได้ เขาจึงต้
เซี่ยเฟยแทบจะเป็นบ้า เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ ไม่นานคนของตระกูลเซี่ยก็มาถึงห้อง เมื่อพวกเขาเห็นเซี่ยเฟยคุกเข่าอยู่บนพื้น ก็รู้ว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น เพราะทำให้นายใหญ่แห่งตระกูลเทียนไม่พอใจอีกแล้วสินะ! พ่อของเซี่ยเฟยเดินเข้าไปหาเซี่ยเฟยแล้วตบหน้าเขาสองครั้ง พร้อมกับดุด่าว่า “เจ้าลูกไม่รักดี! ไปก่อเรื่องเลวทรามอะไรมาอีก!” คนของตระกูลเซี่ยมีฐานะค่อนข้างดีในเมืองหยุนเฉิง และแข็งแกร่งกว่าตระกูลซูเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การที่ได้รับเชิญมางานวันเกิดนั้นก็เพราะว่าหวางเม่าเห็นความสำคัญของเซี่ยเฟย โดยปกติแล้วเซี่ยเฟยมีตำแหน่งที่สูงมากในตระกูล ไม่มีใครกล้าเสียงดังกับเขา เพราะความก้าวหน้าของตระกูลเซี่ยทั้งหมดฝากความหวังไว้ที่เขา แต่ในวันนี้ เขาดันไปล่วงเกินเทียนฉางเฉิง พ่อของเซี่ยเฟยไม่อาจปล่อยไปได้ “เซี่ยเฟย นับจากวันนี้เธอไม่ใช่ลูกศิษย์ของฉันอีกต่อไป” หวางเม่ากล่าว พ่อของเซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึง! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงถูกหวางเม่าไล่ออกจากการเป็นศิษย์แบบนี้ หากสูญเสียความสัมพันธ์นี้ไป ตระกูลเซี่ยจะมีตำแหน่งอะไรในเมืองหยุนเฉิงได้อี
ภายในห้อง เทียนฉางเฉิงมองพิจารณาหานซานเฉียน ยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ เขาเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับหลานสาวของเขาจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่คนแบบนี้แต่งงานเข้าตระกูลซูไปแล้ว สายตาของเทียนฉางเฉิงทำให้หานซานเฉียนรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เขารีบพูดว่า “จ้องผมทำไมครับ อายุก็มากแล้ว คงไม่ได้มีความรู้สึกชื่นชอบพิเศษอะไรหรอกใช่ไหม” “เจ้าบ้า พูดจาไร้สาระ ฉันจะไปคิดอะไรกับนายได้ยังไงกัน” เทียนฉางเฉิงพูดพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่หานซานเฉียน “เฮ้ ๆ ๆ คุณช่วยเคารพอาจารย์หน่อยได้ไหม นี่คือท่าทีที่คุณใช้พูดกับอาจารย์งั้นเหรอ?” หานซานเฉียนเอามือกอดอกแล้วมองเทียนฉางเฉิงด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง เขายังไม่ลืมเรื่องการคารวะขอเป็นศิษย์หรอกนะ เทียนฉางเฉิงชะงักงันพร้อมกับหน้าแดงระเรื่อ “ท่านคือผู้นำตระกูลเทียน เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหยุนเฉิง กลืนน้ำลายตัวเองไม่ดีหรอกนะครับ” หานซานเฉียนพูดเตือนเขาด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของเทียนฉางเฉิงเรียกได้ว่ามีความรู้สึกหลากหลายมากจนยากจะเข้าใจ “นายจะให้ฉันยกน้ำชาคารวะด้วยเลยไหมล่ะ?” เทียนฉางเฉิงพูดอย่างไม่พอใจ “ไม่ต้องหรอกครับ แค่คุณจำไว้ว่าผมเป็นอาจารย์ของคุณ
หานซานเฉียนชะงักก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมผมต้องหย่าด้วยล่ะ?” คำพูดที่เผลอถามออกไปทำให้เทียนหลิงเอ๋อร์รู้สึกเสียมารยาทอย่างมาก เป็นผู้หญิงก็ควรสำรวมบ้าง เธอจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไรค่ะ แค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง” “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมก็ขอตัวก่อนนะครับ” หานซานเฉียนพูดจบก็เดินออกจากประตูไป “คุณระวังตัวด้วยนะคะ ซูไห่เฉาน่าจะมาหาเรื่องคุณอีก” เทียนหลิงเอ๋อร์เอ่ยปากเตือน หานซานเฉียนโบกมือโดยไม่หันกลับไปมอง แล้วพูดว่า “ผมไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา และเขาก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของผมด้วยซ้ำ” หลังจากหานซานเฉียนจากไปแล้ว เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจทันที เธอห่อไหล่คอตกราวกับว่าจิตวิญญาณกำลังหลุดลอยออกไป “เป็นอะไรไป? รู้สึกว่าเขาดีเลิศเกินไปกลัวตัวเองไม่คู่ควรเหรอ?” เทียนฉางเฉิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่คะ เขาเก่งขนาดนี้ แล้วจะชอบหนูเหรอคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดพร้อมกับบุ้ยปาก เทียนฉางเฉิงลูบศีรษะเทียนหลิงเอ๋อร์เบา ๆ แล้วพูดว่า “หลานเป็นคนของตระกูลเทียน ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจสักแค่ไหน ในเมืองหยุนเฉิงนี้จะมีคนที่หลานไม่คู่ควรได้ยังไงกัน” เทียนหลิงเอ๋อร์อารมณ์ดีขึ้นหลังจากได้รับการปลอบโยน ทั่
คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ม่อหยางและหลินหย่งเท่านั้น แต่เตาสือเอ้อร์ผู้โหดเหี้ยมก็อยู่ด้วย ปัจจุบันเมืองหยุนเฉิงมีเวทีมวยสามแห่ง เตาสือเอ้อร์ต่อยมาหมดทุกที่แล้ว เรียกว่าใช้กำปั้นหาเลี้ยงชีพมาตลอด เมื่อก่อนลูกน้องของเย่เฟยเคยพยายามต้านทานเขาอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ทนรับความแข็งแกร่งของหมัดของเตาสือเอ้อร์ไม่ไหว จนสุดท้ายก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี “วันนี้นายว่างมากเหรอ มาหาฉันทำไม?” ม่อหยางเอ่ยถามหานซานเฉียน “ถ้าไม่มีธุระแล้วจะมาหานายไม่ได้เหรอ? เห็นพวกนายมีท่าทางแบบนี้ กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่?” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม พวกเขาสามคนกำลังปรึกษากันว่าจะจัดการกับฟางเผิงอย่างไรดี เพราะช่วงนี้ฟางเผิงมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาต้องการแผ่ขยายอิทธิพลของตัวเอง เมื่อก่อนตอนที่ฟางเผิงรุกล้ำสถานที่ เขาไม่ได้ใช้อำนาจคุกคามม่อหยาง ดังนั้นเขาจึงมองข้ามบุคคลนี้ไปได้ แต่เวลานี้เขามีการเคลื่อนไหวแล้ว ม่อหยางจึงไม่อาจเพิกเฉยต่อไปได้อีก แต่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของฟางเผิง คือตระกูลเทียนแห่งเมืองหยุนเฉิง เรื่องนี้ทำให้ม่อหยางปวดสมองมาก ผู้อยู่เบื้องหลัง
หานซานเฉียนเดินเข้าไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกคุณถ่ายเสร็จหรือยัง?" หญิงสาวที่เปิดต้นขามองพิจารณาหานซานเฉียน แล้วพูดอย่างดูถูกว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับนายล่ะ? ถ้าอยากถ่ายรูปก็ต่อคิวสิ” ชายหนุ่มที่ยุ่งอยู่กับการถือโทรศัพท์ถ่ายภาพเหลือบมองหานซานเฉียนอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดว่า “อย่าใจร้อนสิ พวกเรายังถ่ายกันไม่เสร็จเลย” “ถ่ายอีกหลาย ๆ รูปเลย ฉันจะเอาไปโพสต์ลงวีแชทให้พวกเพื่อน ๆ ของฉันดูว่าฉันเคยนั่งรถลัมโบร์กินี” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วเปลี่ยนท่าทางอีกหลาย ๆ อิริยาบถ หานซานเฉียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นั่งอยู่หน้ารถก็ถือว่าได้นั่งลัมโบร์กินีแล้วเหรอ? “หัวเราะอะไร คนบ้านนอกอย่างนายออกไปห่าง ๆ หน่อย อย่ามารบกวนการถ่ายรูปของฉัน” หญิงสาวพูดด้วยความรำคาญหานซานเฉียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วยืนเฉย ๆ โดยไม่พูดอะไร หลังจากที่หญิงสาวถ่ายรูปจนพอใจ.ก็ถึงคิวชายหนุ่มไปถ่ายบ้าง ทั้งสองสนุกสนานเป็นอย่างมาก “เฮ้ คุณระวังหน่อยสิ อย่าเข้าใกล้กระจกมองข้าง” พอเห็นชายคนนั้นวางข้อศอกลงบนกระจกมองข้างแล้วทิ้งตัวลงไป หานซานเฉียนก็อดเอ่ยปากเตือนไม่ได้ “บ่นอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย? ฉั