ผู้ชายคนนี้ แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาจริงจังขึ้นมา แต่หวางเม่าแค่ยิ้มตอบออกมาบาง ๆ สมัยนี้คนหนุ่มสาวมากมายล้วนท่าดีทีเหลว อย่างเช่นในโรงเรียนสอนหมากล้อมของเขา ทายาทเศรษฐีพวกนี้เรียนรู้อะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ยกเว้นการควบคุมพลังรัศมีของตัวเอง ภาพลักษณ์เช่นนี้ล้วนจอมปลอม หากไม่มีความสามารถที่แท้จริง ไม่ช้าก็เร็วความจริงก็ต้องถูกเปิดเผย “อาจารย์ ฉันหิวแล้วค่ะ” สวี่ฮวนพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เห็นได้ชัดว่าเธออยากให้หวางเม่าเอาชนะหานซานเฉียนโดยเร็ว “ได้ ๆ ๆ อาจารย์จะรีบจัดการโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เธอได้ลงไปกินข้าว” หวางเม่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม การแข่งหมากล้อมเปรียบเสมือนการเข่นฆ่าในสนามรบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหยียนจุนได้เตือนสติหานซานเฉียนตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาจับหมากล้อม ดังนั้นแม้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือหวางเม่า ผู้อาวุโสที่น่านับถือในเมืองหยุนเฉิง หานซานเฉียนก็ไม่มีความคิดที่จะออมมือเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเริ่มเปิดเกม หวางเม่าได้ลงหมากอย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่ได้เห็นหานซานเฉียนอยู่ในสายตาเลย ไม่ได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงกลางกระดาน หวางเม่าถึงตระหนัก
หวางเม่าที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หลังรับประทานอาหาร เรามาเล่นกันอย่างจริงจังเถอะ” หวางเม่าไม่เชื่อว่าตัวเองจะแพ้ ฝีมือหมากล้อมของเขาอยู่ในระดับสูงกว่าคนมากมาย แล้วจะแพ้ให้กับคนหนุ่มคนเดียวได้อย่างไร? หานซานเฉียนไม่อาจปฏิเสธคำขอนี้ มิฉะนั้นมจะเป็นการไม่ให้เกียรติหวางเม่า ส่วนใครจะแพ้หรือใครจะชนะ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “คุณปู่หวาง เราไปกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญกันก่อน แล้วค่อยมาสู้กันใหม่นะครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม หวางเม่าออกจากห้องไปก่อนพร้อมกับลูกศิษย์สองคน เทียนฉางเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องอายุของตัวเองเลยว่าจะมากกว่าหานซานเฉียนหลายรอบ เขาวางมือลงบนไหล่ของหานซานเฉียนแล้วบอกว่า “พ่อหนุ่ม นายเก่งมาก ถ้าจริงจังขึ้นมา แม้แต่หวางเม่าก็ไม่ใช่คู่ต่อกร แต่ว่าเขาอาจไม่ได้เอาจริงเอาจัง เกมหลังจากนี้ นายมั่นใจแค่ไหนกัน?” “นายใหญ่ ผมจำได้ว่าเหมือนมีคนอยากจะขอฝากตัวเป็นศิษย์นะครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเทียนฉางเฉิงชะงักงัน เจ้าหมอนี่ยังจำเรื่องนี้ได้อยู่อีก เขาอายุขนาดนี้จะให้มาขอฝากตัวเป็นศิษย์ ถ้าพูดออกไปจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อีกอย่าง
เขาไม่เพียงมาที่นี่เท่านั้น แต่ยังเข้ามาในงานพร้อมกับนายใหญ่ด้วย นี่เป็นการต้อนรับที่สูงส่งอะไรเช่นนี้! “เป็นไปได้ยังไง จะเป็นหานซานเฉียนไปได้ยังไง” ซูไห่เฉาหน้าเขียวอย่างไม่อยากเชื่อ เขาคิดไว้เสียดิบดีว่าจะให้หานซานเฉียนคุกเข่าต่อหน้าเขาอย่างไรดี แต่ความจริงกระตุ้นให้เขารู้สึกตัว หญิงชราสูดหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยสีหน้าและแววตาที่เคร่งขรึมเป็นพิเศษ เธอไม่อยากรู้ว่าทำไมหานซานเฉียนถึงไปเดินอยู่เคียงข้างเทียนฉางเฉิงได้ เพราะสาเหตุนั้นไม่สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เกียรติยศอันสูงส่งได้บังเกิดขึ้นกับหานซานเฉียนแล้วจริง ๆ “นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้าคนไร้ประโยชน์หานซานเฉียน! กล้าดียังไง!” ซูอี้หานพูดอย่างไม่พอใจ แม้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องคุกเข่าแล้วเห่าเหมือนสุนัข แต่เธอก็ไม่สามารถยอมรับได้ว่าคนไร้ประโยชน์ในสายตาของเธอตอนนี้ยืนอยู่ในจุดสูงส่งเคียงข้างเทียนฉางเฉิง ซูหยิงเซี่ยยังรู้สึกงุนงงอยู่ แม้เธอจะรู้ว่าหานซานเฉียนนั้นไม่ธรรมดา แต่เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่า หานซานเฉียนจะมายืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งและโดดเด่นทัดเทียมกับเทียนฉางเฉิงเช่นนี้ เมื่อหานซานเฉียนเดินไปยังที่นั่งประธาน และนั่งลงข้าง
ซูหยิงเซี่ยรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างถึงขีดสุดกับคำพูดของหญิงชรา ถ้าทำให้ตระกูลซูกลายเป็นตระกูลแถวหน้าได้ ก็จะยอมรับความดีงามของหานซานเฉียนงั้นหรือ? แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เคยคิดว่าหานซานเฉียนไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากเธอด้วยซ้ำ คนที่นั่งข้างเทียนฉางเฉิงได้ ยังจะต้องสนใจความคิดเห็นของคนอื่นอีกทำไม? หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปครึ่งทาง เทียนหลิงเอ๋อร์ก็เดินสะบัดเปียหางม้ามาที่โต๊ะของตระกูลซู หญิงชราลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเทียนหลิงเอ๋อร์ แต่ไม่กล้าอาศัยความเป็นอาวุโสข่มคนอื่น “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณหนูเทียน ฉันมาจากตระกูลซู...” หญิงชรายังพูดไม่ทันจบ เทียนหลิงเอ๋อร์ก็รีบตัดบทอย่างเสียมารยาท “ใครคือซูไห่เฉา ได้ยินว่ามีการแสดงให้ดูเหรอคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนไม่มีมารยาท แต่ตอนนี้เธอไม่ชอบคนตระกูลซูเลย ดังนั้นจึงไม่เห็นหญิงชราอยู่ในสายตา คนรักในฝันของเธอ ถูกครอบครัวนี้เรียกว่าคนไร้ประโยชน์ แล้วเธอจะรู้สึกดีได้อย่างไร? เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลิงเอ๋อร์ สายตาของทุกคนในตระกูลซูต่างพากันจับจ้องไปที่ซูไห่เฉาอย่างช่วยไม่ได้ การแสดงที่พูดถึงนั้น น่าจะเป็นการที่ซูไห่เฉาต้องคุกเข่าเ
“คุณหนูเทียน การแสดงนี้ดีมากจริง ๆ เขาคือใครเหรอ เห่าเหมือนหมามากเลย” “ดูเหมือนเขาจะชื่อซูไห่เฉาอะไรนี่แหละ แพ้พนันคนอื่น ดังนั้นเขาจึงต้องเห่าเหมือนสุนัข” เทียนหลิงเอ๋อร์อธิบาย หลายคนในที่นี้ไม่เคยได้ยินชื่อซูไห่เฉามาก่อนเลย หลังจากถามไถ่กันสักพัก ถึงได้รู้ว่าซูไห่เฉาเป็นคนในตระกูลซูนั่นเอง สิ่งนี้ทำให้ซูไห่เฉายิ่งรู้สึกขายหน้า อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นทายาทตระกูลดังแถวสองในเมืองหยุนเฉิง แต่ผู้คนมากมายไม่รู้จักว่าเขาคือใคร ตระกูลซูไม่มีอิทธิพลในเมืองหยุนเฉิงขนาดนี้เลยหรือ? ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ถือดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงชรา เธอได้สร้างกฎเกณฑ์มากมายเพื่อให้ตระกูลซูคิดว่าตนเองเป็นตระกูลอันสูงศักดิ์ แต่ในเมืองหยุนเฉิงนั้น ก่อนที่พวกเขาจะได้ร่วมมือกับบริษัทลั่วเฉว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จัก การที่เรียกว่าตระกูลแถวสองก็สมควรแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อของซูไห่เฉาเลย นอกจากในหมู่เพื่อนของเขาเอง แล้วก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเลยสักนิด “คุณหนูเทียน คุณกับซูไห่เฉาไม่ค่อยลงรอยกันเหรอครับ” “พวกเราจะจำไว้ คราวหน้าถ้าเจอเจ้าหมอนี่ จะได้ไม่ไว้หน้าเขาอีก” “คุณหนูเทียนไม่ต้องก
ยังคงเป็นห้องนั้น คราวนี้หวางเม่าไม่ได้ชะล่าใจ กระดานนี้เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี เขาจำเป็นต้องเอาชนะหานซานเฉียน เพื่อสร้างที่ยืนใหม่ให้กับตัวเองในวงการหมากล้อมเมืองหยุนเฉิง แม้ว่าจะมีคนไม่มากที่รู้เรื่องความพ่ายแพ้ในเกมหมากล้อม แต่สำหรับหวางเม่าแล้วนี่เป็นความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมาก เพราะหานซานเฉียนนั้นเด็กเกินไป เด็กมากจนหวางเม่าคิดว่าเขาไม่มีศักยภาพขนาดนั้น “ตอนนี้อาจารย์ของผมจะจริงจังแล้ว คุณระวังตัวด้วย อย่าโทษว่าผมไม่เตือนคุณก่อนแล้วกัน” เซี่ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างหลังหวางเม่าพูดกับหานซานเฉียนด้วยรอยยิ้ม หานซานเฉียนพยักหน้ารับ การแสดงออกที่เอาจริงเอาจังของเขาแสดงให้เห็นว่าสติของได้เข้าไปอยู่ในเกมหมากล้อมแล้ว เส้นตัด 38 เส้น ตำแหน่งวางหมาก 361 จุด ตั้งแต่วินาทีที่เขาจับตัวหมากไว้นั้นก็ไม่ใช่กระดานหมากล้อมธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นสนามรบ เซี่ยเฟยไม่ได้ดูทั้งสองแข่งกัน เพราะเขารู้สึกว่าผลลัพธ์นั้นชัดเจนแล้ว กระบวนการไม่ได้สำคัญเลย แต่กับเทียนฉางเฉิงและสวี่ฮวนนั้นกลับดูอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ ตั้งแต่เทียนฉางเฉิงได้รู้ว่าหานซานเฉียนมีความมั่นใจเต็มสิบว่าจะเอาชนะหวางเม่าได้ เขาจึงต้
เซี่ยเฟยแทบจะเป็นบ้า เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ ไม่นานคนของตระกูลเซี่ยก็มาถึงห้อง เมื่อพวกเขาเห็นเซี่ยเฟยคุกเข่าอยู่บนพื้น ก็รู้ว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น เพราะทำให้นายใหญ่แห่งตระกูลเทียนไม่พอใจอีกแล้วสินะ! พ่อของเซี่ยเฟยเดินเข้าไปหาเซี่ยเฟยแล้วตบหน้าเขาสองครั้ง พร้อมกับดุด่าว่า “เจ้าลูกไม่รักดี! ไปก่อเรื่องเลวทรามอะไรมาอีก!” คนของตระกูลเซี่ยมีฐานะค่อนข้างดีในเมืองหยุนเฉิง และแข็งแกร่งกว่าตระกูลซูเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การที่ได้รับเชิญมางานวันเกิดนั้นก็เพราะว่าหวางเม่าเห็นความสำคัญของเซี่ยเฟย โดยปกติแล้วเซี่ยเฟยมีตำแหน่งที่สูงมากในตระกูล ไม่มีใครกล้าเสียงดังกับเขา เพราะความก้าวหน้าของตระกูลเซี่ยทั้งหมดฝากความหวังไว้ที่เขา แต่ในวันนี้ เขาดันไปล่วงเกินเทียนฉางเฉิง พ่อของเซี่ยเฟยไม่อาจปล่อยไปได้ “เซี่ยเฟย นับจากวันนี้เธอไม่ใช่ลูกศิษย์ของฉันอีกต่อไป” หวางเม่ากล่าว พ่อของเซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึง! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงถูกหวางเม่าไล่ออกจากการเป็นศิษย์แบบนี้ หากสูญเสียความสัมพันธ์นี้ไป ตระกูลเซี่ยจะมีตำแหน่งอะไรในเมืองหยุนเฉิงได้อี
ภายในห้อง เทียนฉางเฉิงมองพิจารณาหานซานเฉียน ยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ เขาเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับหลานสาวของเขาจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่คนแบบนี้แต่งงานเข้าตระกูลซูไปแล้ว สายตาของเทียนฉางเฉิงทำให้หานซานเฉียนรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เขารีบพูดว่า “จ้องผมทำไมครับ อายุก็มากแล้ว คงไม่ได้มีความรู้สึกชื่นชอบพิเศษอะไรหรอกใช่ไหม” “เจ้าบ้า พูดจาไร้สาระ ฉันจะไปคิดอะไรกับนายได้ยังไงกัน” เทียนฉางเฉิงพูดพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่หานซานเฉียน “เฮ้ ๆ ๆ คุณช่วยเคารพอาจารย์หน่อยได้ไหม นี่คือท่าทีที่คุณใช้พูดกับอาจารย์งั้นเหรอ?” หานซานเฉียนเอามือกอดอกแล้วมองเทียนฉางเฉิงด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง เขายังไม่ลืมเรื่องการคารวะขอเป็นศิษย์หรอกนะ เทียนฉางเฉิงชะงักงันพร้อมกับหน้าแดงระเรื่อ “ท่านคือผู้นำตระกูลเทียน เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหยุนเฉิง กลืนน้ำลายตัวเองไม่ดีหรอกนะครับ” หานซานเฉียนพูดเตือนเขาด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของเทียนฉางเฉิงเรียกได้ว่ามีความรู้สึกหลากหลายมากจนยากจะเข้าใจ “นายจะให้ฉันยกน้ำชาคารวะด้วยเลยไหมล่ะ?” เทียนฉางเฉิงพูดอย่างไม่พอใจ “ไม่ต้องหรอกครับ แค่คุณจำไว้ว่าผมเป็นอาจารย์ของคุณ