มันจะเป็นไปได้อย่างไร? คนไร้ประโยชน์อย่างเขาน่ะหรือจะได้รับคำเชิญจากเทียนฉางเฉิง นอกจากดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเท่านั้นแหละ พวกเขาออกจากคฤหาสน์ของตระกูลซูแล้วกลับไปที่โครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง ที่ประตูใหญ่ รถของหานซานเฉียนกลับถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกั้นไว้ “เกิดอะไรขึ้น? คนพวกนี้ไม่รู้เหรอว่าพวกเราอาศัยอยู่คฤหาสน์บนเนินเขา?” เจี่ยงหลานบ่นด่าอยู่ในรถ รถได้รับการลงทะเบียนแล้ว ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนใหม่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ ฝ่ายนิติบุคคลไม่มีทางยอมให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ หานซานเฉียนลงจากรถด้วยความงุนงง เห็นเทียนหลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ในป้อมยาม เธอไม่ได้มาดีแน่ สงสัยสิ่งที่เจี่ยงหลานพูดเมื่อวานน่าจะลอยไปเข้าหูองค์หญิงท่านนี้เข้าให้แล้ว หานซานเฉียนเดินขึ้นเขาไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนทำตามความต้องการของเทียนหลิงเอ๋อร์ พวกเขากระชากประตูรถให้เปิดออก แล้วดึงซูกั๋วเย่ากับเจี่ยงหลานลงจากรถ “พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นเจ้าของคฤหาสน์บนเนินเขา?” เจี่ยงหลานพูดพร้อมกับดิ้นรนขัดขืน ซูหยิงเซี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงลงจาก
“ต้องแรงจนฉันพอใจ เธอจะได้ไม่ต้องทรมานมาก คุณตั้งใจดี ๆ ล่ะ” เทียนหลิงเอ๋อร์เตือนซูกั๋วเย่า เจี่ยงหลานหลับตาลง นี่เป็นครั้งแรกที่เต็มใจยอมให้ซูกั๋วเย่าทุบตีจึงพูดว่า “ซูกั๋วเย่า ถ้าคุณกล้าปล่อยให้ฉันถูกตีเป็นครั้งที่สอง ฉันจะไม่ยกโทษให้คุณ” ซูกั๋วเย่ากัดฟันกรอด หลายปีที่ผานมา ถ้าจะบอกว่าเขาไม่รู้สึกคับข้องในหัวใจเลยคงเป็นไปไม่ได้ เขาถูกผู้หญิงคนนี้กดขี่ แม้ว่าจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปแล้ว แต่ไฟโทสะนั้นสั่งสมวันแล้ววันเล่าจนร้ายแรง “ผัวะ” ฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของเจี่ยงหลานเสียงดังกังวาน จนเจี่ยงหลานถึงกลับล้มลงกับพื้นทั้งตัว การตบครั้งนี้เต็มไปด้วยความคับแค้นที่สั่งสมมานานหลายปีของซูกั๋วเย่า สะใจที่สุด! สะใจจนเกินจะบรรยาย ซูกั๋วเย่ารู้สึกสบายใจขึ้นมาก เจี่ยงหลานถูกตบจนรู้สึกวิงเวียน ใบหน้าแสบร้อนผะผ่าว แก้มบวมเป่งขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไม่เลว ฉันพอใจมาก เรื่องนี้ก็ให้จบแค่นี้แล้วกัน” เทียนหลิงเอ๋อร์ปรบมือแล้วเดินจากไป หลังจากที่เจี่ยงหลานรู้สึกตัว เธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วเตะซูกั๋วเย่าหลายครั้งพร้อมกับด่าว่า “ซูกั๋วเย่า คุณจ้องหาโอกาสแก้แค้นฉันอยู่ใช่ไหม?” “ถ้าผมไม่ตบคุณ เทียนหลิง
ห้าวันต่อมา เป็นวันสำคัญประจำปีของเมืองหยุนเฉิง เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ของสังคมชั้นสูง เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเทียนฉางเฉิง นายใหญ่แห่งตระกูลเทียน โรงแรมเพนนินซูล่าซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่หรูหราที่สุดในเมืองหยุนเฉิงหยุดรับแขกทั้งหมดตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เพราะพวกเขาต้องเตรียมจัดงานวันเกิดให้เทียนฉางเฉิง ในวันเกิดวันนั้น นอกจากแขกผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ประจำปรากฏตัวขึ้น แม้แต่บริกรในโรงแรมยังได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีให้ทำงานในวันนั้น จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อเมืองหยุนเฉิงเพียงใด รถยนต์หรูหราแล่นเข้าไปในลานจอดรถของโรงแรมคันแล้วคันเล่า คนที่ลงจากรถหน้าทางเข้าโรงแรม ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลระดับแนวหน้าของรัฐบาลและธุรกิจในเมืองหยุนเฉิง สมาชิกในตระกูลซูสิบคนถือว่าเป็นกำลังหลักในงานเลี้ยงวันเกิด ในจำนวนนั้นรวมไปถึงซูไห่เฉาและซูอี้หานด้วย ซูหยิงเซี่ยในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการทางเฉิงซีก็ย่อมไม่พลาดเช่นกัน นอกจากหญิงชราแล้ว บุคคลที่เหลืออีกหกคนก็มีซูกั๋วหลินและคนอื่น ๆ รวมอยู่ในนั้นด้วย ล้วนเป็นสมาชิก
ผู้อาวุโสท่านนี้มีชื่อว่าหวางเม่า เป็นประธานสมาคมหมากล้อมแห่งเมืองหยุนเฉิง ชายหญิงอย่างละคนเดินตามหลังต่างก็เป็นลูกศิษย์ของเขา ผู้ชายชื่อเซี่ยเฟย ผู้หญิงชื่อสวี่ฮวน เมื่อหานซานเฉียนเห็นเขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หวางเม่ามีชื่อเสียงที่ดีมากในวงการหมากล้อมแห่งเมืองหยุนเฉิง เป็นผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง แถมยังเป็นที่นับหน้าถือตาด้วย โรงเรียนหมากล้อมที่เขาก่อตั้งขึ้นนั้นมีชื่อเสียงมากในเมืองหยุนเฉิง เศรษฐีหลายคนส่งลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ นอกเหนือจากการฝึกฝนหมากล้อมแล้ว ยังเป็นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสท่านนี้อีกด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดคนปัจจุบันเป็นหนึ่งในลูกศิษย์รุ่นแรกของเขา เมื่อพบกันต้องโค้งคำนับและเรียกอาจารย์ ด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ ทางโรงเรียนหมากล้อมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการรับสมัครนักเรียนใหม่เลย หานซานเฉียนคิดไม่ถึงว่าหวางเม่าและเทียนฉางเฉิงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นนี้ “ตาแก่ หายไปไหนมา ฉันร้อนใจแทบแย่” เทียนฉางเฉิงอดไม่ได้ที่จะเดินไปหาหวางเม่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ หวางเม่ายิ้มแล้วพูดว่า “นายร้อนใจอะไร แก่จวนจะลงโลงอยู่แล้ว ใจเย็น ๆ” “ถุย พูดบ
ผู้ชายคนนี้ แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาจริงจังขึ้นมา แต่หวางเม่าแค่ยิ้มตอบออกมาบาง ๆ สมัยนี้คนหนุ่มสาวมากมายล้วนท่าดีทีเหลว อย่างเช่นในโรงเรียนสอนหมากล้อมของเขา ทายาทเศรษฐีพวกนี้เรียนรู้อะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ยกเว้นการควบคุมพลังรัศมีของตัวเอง ภาพลักษณ์เช่นนี้ล้วนจอมปลอม หากไม่มีความสามารถที่แท้จริง ไม่ช้าก็เร็วความจริงก็ต้องถูกเปิดเผย “อาจารย์ ฉันหิวแล้วค่ะ” สวี่ฮวนพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เห็นได้ชัดว่าเธออยากให้หวางเม่าเอาชนะหานซานเฉียนโดยเร็ว “ได้ ๆ ๆ อาจารย์จะรีบจัดการโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เธอได้ลงไปกินข้าว” หวางเม่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม การแข่งหมากล้อมเปรียบเสมือนการเข่นฆ่าในสนามรบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหยียนจุนได้เตือนสติหานซานเฉียนตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาจับหมากล้อม ดังนั้นแม้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือหวางเม่า ผู้อาวุโสที่น่านับถือในเมืองหยุนเฉิง หานซานเฉียนก็ไม่มีความคิดที่จะออมมือเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเริ่มเปิดเกม หวางเม่าได้ลงหมากอย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่ได้เห็นหานซานเฉียนอยู่ในสายตาเลย ไม่ได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงกลางกระดาน หวางเม่าถึงตระหนัก
หวางเม่าที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หลังรับประทานอาหาร เรามาเล่นกันอย่างจริงจังเถอะ” หวางเม่าไม่เชื่อว่าตัวเองจะแพ้ ฝีมือหมากล้อมของเขาอยู่ในระดับสูงกว่าคนมากมาย แล้วจะแพ้ให้กับคนหนุ่มคนเดียวได้อย่างไร? หานซานเฉียนไม่อาจปฏิเสธคำขอนี้ มิฉะนั้นมจะเป็นการไม่ให้เกียรติหวางเม่า ส่วนใครจะแพ้หรือใครจะชนะ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “คุณปู่หวาง เราไปกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญกันก่อน แล้วค่อยมาสู้กันใหม่นะครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม หวางเม่าออกจากห้องไปก่อนพร้อมกับลูกศิษย์สองคน เทียนฉางเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องอายุของตัวเองเลยว่าจะมากกว่าหานซานเฉียนหลายรอบ เขาวางมือลงบนไหล่ของหานซานเฉียนแล้วบอกว่า “พ่อหนุ่ม นายเก่งมาก ถ้าจริงจังขึ้นมา แม้แต่หวางเม่าก็ไม่ใช่คู่ต่อกร แต่ว่าเขาอาจไม่ได้เอาจริงเอาจัง เกมหลังจากนี้ นายมั่นใจแค่ไหนกัน?” “นายใหญ่ ผมจำได้ว่าเหมือนมีคนอยากจะขอฝากตัวเป็นศิษย์นะครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเทียนฉางเฉิงชะงักงัน เจ้าหมอนี่ยังจำเรื่องนี้ได้อยู่อีก เขาอายุขนาดนี้จะให้มาขอฝากตัวเป็นศิษย์ ถ้าพูดออกไปจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อีกอย่าง
เขาไม่เพียงมาที่นี่เท่านั้น แต่ยังเข้ามาในงานพร้อมกับนายใหญ่ด้วย นี่เป็นการต้อนรับที่สูงส่งอะไรเช่นนี้! “เป็นไปได้ยังไง จะเป็นหานซานเฉียนไปได้ยังไง” ซูไห่เฉาหน้าเขียวอย่างไม่อยากเชื่อ เขาคิดไว้เสียดิบดีว่าจะให้หานซานเฉียนคุกเข่าต่อหน้าเขาอย่างไรดี แต่ความจริงกระตุ้นให้เขารู้สึกตัว หญิงชราสูดหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยสีหน้าและแววตาที่เคร่งขรึมเป็นพิเศษ เธอไม่อยากรู้ว่าทำไมหานซานเฉียนถึงไปเดินอยู่เคียงข้างเทียนฉางเฉิงได้ เพราะสาเหตุนั้นไม่สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เกียรติยศอันสูงส่งได้บังเกิดขึ้นกับหานซานเฉียนแล้วจริง ๆ “นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้าคนไร้ประโยชน์หานซานเฉียน! กล้าดียังไง!” ซูอี้หานพูดอย่างไม่พอใจ แม้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องคุกเข่าแล้วเห่าเหมือนสุนัข แต่เธอก็ไม่สามารถยอมรับได้ว่าคนไร้ประโยชน์ในสายตาของเธอตอนนี้ยืนอยู่ในจุดสูงส่งเคียงข้างเทียนฉางเฉิง ซูหยิงเซี่ยยังรู้สึกงุนงงอยู่ แม้เธอจะรู้ว่าหานซานเฉียนนั้นไม่ธรรมดา แต่เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่า หานซานเฉียนจะมายืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งและโดดเด่นทัดเทียมกับเทียนฉางเฉิงเช่นนี้ เมื่อหานซานเฉียนเดินไปยังที่นั่งประธาน และนั่งลงข้าง
ซูหยิงเซี่ยรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างถึงขีดสุดกับคำพูดของหญิงชรา ถ้าทำให้ตระกูลซูกลายเป็นตระกูลแถวหน้าได้ ก็จะยอมรับความดีงามของหานซานเฉียนงั้นหรือ? แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เคยคิดว่าหานซานเฉียนไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากเธอด้วยซ้ำ คนที่นั่งข้างเทียนฉางเฉิงได้ ยังจะต้องสนใจความคิดเห็นของคนอื่นอีกทำไม? หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปครึ่งทาง เทียนหลิงเอ๋อร์ก็เดินสะบัดเปียหางม้ามาที่โต๊ะของตระกูลซู หญิงชราลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเทียนหลิงเอ๋อร์ แต่ไม่กล้าอาศัยความเป็นอาวุโสข่มคนอื่น “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณหนูเทียน ฉันมาจากตระกูลซู...” หญิงชรายังพูดไม่ทันจบ เทียนหลิงเอ๋อร์ก็รีบตัดบทอย่างเสียมารยาท “ใครคือซูไห่เฉา ได้ยินว่ามีการแสดงให้ดูเหรอคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนไม่มีมารยาท แต่ตอนนี้เธอไม่ชอบคนตระกูลซูเลย ดังนั้นจึงไม่เห็นหญิงชราอยู่ในสายตา คนรักในฝันของเธอ ถูกครอบครัวนี้เรียกว่าคนไร้ประโยชน์ แล้วเธอจะรู้สึกดีได้อย่างไร? เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลิงเอ๋อร์ สายตาของทุกคนในตระกูลซูต่างพากันจับจ้องไปที่ซูไห่เฉาอย่างช่วยไม่ได้ การแสดงที่พูดถึงนั้น น่าจะเป็นการที่ซูไห่เฉาต้องคุกเข่าเ