“หานซานเฉียน ที่นี่คือสถานที่ที่ปรึกษาหารือเรื่องธุรกิจ ไม่ใช่สถานที่ที่ให้นายถือโอกาสพูดจาล้อเล่นนะ” หญิงชราพูดต่อว่าอย่างเย็นชา“คุณย่าครับ คุณย่าคิดว่าผมกำลังพูดล้อเล่น แต่ผมกำลังพูดความจริงกับคุณย่าอยู่ต่างหาก” หานซานเฉียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฉันทนดูแกที่โง่เง่าไม่ได้แล้วจริง ๆ แกบอกว่าแกได้รับเชิญจากเทียนฉางเฉิง ทำไมแกถึงได้รับคำเชิญล่ะ?” ซูไห่เฉาพูดพร้อมกับมองไปที่หานซานเฉียนอย่างหงุดหงิด“เป็นไปได้ว่าเขาเห็นคุณค่าในตัวผม” หานซานเฉียนกล่าว“เห็นคุณค่าในตัวแกเหรอ? เห็นคุณค่าในความไม่เอาไหน และความไร้ค่าของแกใช่ไหม? คนไร้ค่าอย่างแกทำให้ฉันปวดหัวจริง ๆ แม้แต่คุยโวโอ้อวดเรียนยังไงก็ไม่จำสักที แกเป็นคนไร้ค่าถึงขีดสุดจริง ๆ” ซูไห่เฉาพูดพร้อมกับใช้มือนวดขมับด้วยอาการปวดหัวเล็กน้อย ตระกูลซูมีคนโง่เง่าแต่งงานเข้ามาในตระกูลได้อย่างไรกัน ยังดีที่คำพูดพวกนี้พูดกันเพียงแค่ภายในตระกูลซูเท่านั้น ถ้ามันแพร่กระจายออกไปข้างนอก ตระกูลซูจะต้องกลายเป็นเรื่องตลกของผู้คนทั้งเมืองหยุนเฉิงอีกครั้ง“หานซานเฉียน แกหุบปากเน่า ๆ ของแกเถอะ ฉันได้ยินที่แกพูดแล้วรู้สึกขยะแขยง แกไปหากระจกมาดูตัวเองบ้างนะ
มือของหญิงชราที่กำลังถือการ์ดเชิญอยู่นั้นสั่นเทา หลังจากที่ชายวัยกลางคนคนนั้นจากไป เธอยังคงไม่สามารถสงบอารมณ์ของตัวลงได้เมื่อคิดถึงอดีต ตระกูลซูได้แสดงความมิตรกับอีกฝ่าย แต่กลับถูกตำหนิอย่างเย็นชา และไม่เคยได้รับโอกาสให้เข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดเลยสักครั้งแต่ตอนนี้ไม่คิดเลยว่าตระกูลเทียนจะเป็นฝ่ายส่งการ์ดเชิญมาให้ สำหรับตระกูลซูแล้วนั้นเป็นการก้าวข้ามครั้งยิ่งใหญ่“ในที่สุดตระกูลซูก็หลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายแล้ว ในที่สุดก็หลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายแล้ว” หญิงชราพูดอย่างตื่นเต้น“คุณย่าครับ พวกเรารีบดูเงื่อนไขกันเถอะครับ” ซูไห่เฉาตื่นเต้นมากเป็นพิเศษเหมือนกัน ในฐานะที่เป็นคุณชายของตระกูลอับดับรองแห่งเมืองหยุนเฉิง เวลาที่เขาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่ข้างนอกและได้พบกับคนจากตระกูลแนวหน้าของเหมืองหยุนเฉิงเหล่านั้น เขาจำเป็นต้องนอบน้อมถ่อมตนเสมอ แม้ว่าเขาจะได้ที่นั่งชั้นพิเศษก่อนใคร แต่ตราบใดที่คุณชายจากตระกูลแนวหน้าเหล่านั้นสั่งให้เขาไสหัวไป เขาก็ต้องยอมกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจนี้ไว้แต่ในเวลานี้ซูไห่เฉามองเห็นความหวังของตัวเองที่จะกลายเป็นคุณชายในตระกูลแนวหน้าของเมืองหยุนเฉิงแล้ว ภายหลังจากนี้จะย
มันจะเป็นไปได้อย่างไร? คนไร้ประโยชน์อย่างเขาน่ะหรือจะได้รับคำเชิญจากเทียนฉางเฉิง นอกจากดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเท่านั้นแหละ พวกเขาออกจากคฤหาสน์ของตระกูลซูแล้วกลับไปที่โครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง ที่ประตูใหญ่ รถของหานซานเฉียนกลับถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกั้นไว้ “เกิดอะไรขึ้น? คนพวกนี้ไม่รู้เหรอว่าพวกเราอาศัยอยู่คฤหาสน์บนเนินเขา?” เจี่ยงหลานบ่นด่าอยู่ในรถ รถได้รับการลงทะเบียนแล้ว ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนใหม่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ ฝ่ายนิติบุคคลไม่มีทางยอมให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ หานซานเฉียนลงจากรถด้วยความงุนงง เห็นเทียนหลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ในป้อมยาม เธอไม่ได้มาดีแน่ สงสัยสิ่งที่เจี่ยงหลานพูดเมื่อวานน่าจะลอยไปเข้าหูองค์หญิงท่านนี้เข้าให้แล้ว หานซานเฉียนเดินขึ้นเขาไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนทำตามความต้องการของเทียนหลิงเอ๋อร์ พวกเขากระชากประตูรถให้เปิดออก แล้วดึงซูกั๋วเย่ากับเจี่ยงหลานลงจากรถ “พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นเจ้าของคฤหาสน์บนเนินเขา?” เจี่ยงหลานพูดพร้อมกับดิ้นรนขัดขืน ซูหยิงเซี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงลงจาก
“ต้องแรงจนฉันพอใจ เธอจะได้ไม่ต้องทรมานมาก คุณตั้งใจดี ๆ ล่ะ” เทียนหลิงเอ๋อร์เตือนซูกั๋วเย่า เจี่ยงหลานหลับตาลง นี่เป็นครั้งแรกที่เต็มใจยอมให้ซูกั๋วเย่าทุบตีจึงพูดว่า “ซูกั๋วเย่า ถ้าคุณกล้าปล่อยให้ฉันถูกตีเป็นครั้งที่สอง ฉันจะไม่ยกโทษให้คุณ” ซูกั๋วเย่ากัดฟันกรอด หลายปีที่ผานมา ถ้าจะบอกว่าเขาไม่รู้สึกคับข้องในหัวใจเลยคงเป็นไปไม่ได้ เขาถูกผู้หญิงคนนี้กดขี่ แม้ว่าจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปแล้ว แต่ไฟโทสะนั้นสั่งสมวันแล้ววันเล่าจนร้ายแรง “ผัวะ” ฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของเจี่ยงหลานเสียงดังกังวาน จนเจี่ยงหลานถึงกลับล้มลงกับพื้นทั้งตัว การตบครั้งนี้เต็มไปด้วยความคับแค้นที่สั่งสมมานานหลายปีของซูกั๋วเย่า สะใจที่สุด! สะใจจนเกินจะบรรยาย ซูกั๋วเย่ารู้สึกสบายใจขึ้นมาก เจี่ยงหลานถูกตบจนรู้สึกวิงเวียน ใบหน้าแสบร้อนผะผ่าว แก้มบวมเป่งขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไม่เลว ฉันพอใจมาก เรื่องนี้ก็ให้จบแค่นี้แล้วกัน” เทียนหลิงเอ๋อร์ปรบมือแล้วเดินจากไป หลังจากที่เจี่ยงหลานรู้สึกตัว เธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วเตะซูกั๋วเย่าหลายครั้งพร้อมกับด่าว่า “ซูกั๋วเย่า คุณจ้องหาโอกาสแก้แค้นฉันอยู่ใช่ไหม?” “ถ้าผมไม่ตบคุณ เทียนหลิง
ห้าวันต่อมา เป็นวันสำคัญประจำปีของเมืองหยุนเฉิง เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ของสังคมชั้นสูง เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเทียนฉางเฉิง นายใหญ่แห่งตระกูลเทียน โรงแรมเพนนินซูล่าซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่หรูหราที่สุดในเมืองหยุนเฉิงหยุดรับแขกทั้งหมดตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เพราะพวกเขาต้องเตรียมจัดงานวันเกิดให้เทียนฉางเฉิง ในวันเกิดวันนั้น นอกจากแขกผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ประจำปรากฏตัวขึ้น แม้แต่บริกรในโรงแรมยังได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีให้ทำงานในวันนั้น จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อเมืองหยุนเฉิงเพียงใด รถยนต์หรูหราแล่นเข้าไปในลานจอดรถของโรงแรมคันแล้วคันเล่า คนที่ลงจากรถหน้าทางเข้าโรงแรม ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลระดับแนวหน้าของรัฐบาลและธุรกิจในเมืองหยุนเฉิง สมาชิกในตระกูลซูสิบคนถือว่าเป็นกำลังหลักในงานเลี้ยงวันเกิด ในจำนวนนั้นรวมไปถึงซูไห่เฉาและซูอี้หานด้วย ซูหยิงเซี่ยในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการทางเฉิงซีก็ย่อมไม่พลาดเช่นกัน นอกจากหญิงชราแล้ว บุคคลที่เหลืออีกหกคนก็มีซูกั๋วหลินและคนอื่น ๆ รวมอยู่ในนั้นด้วย ล้วนเป็นสมาชิก
ผู้อาวุโสท่านนี้มีชื่อว่าหวางเม่า เป็นประธานสมาคมหมากล้อมแห่งเมืองหยุนเฉิง ชายหญิงอย่างละคนเดินตามหลังต่างก็เป็นลูกศิษย์ของเขา ผู้ชายชื่อเซี่ยเฟย ผู้หญิงชื่อสวี่ฮวน เมื่อหานซานเฉียนเห็นเขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หวางเม่ามีชื่อเสียงที่ดีมากในวงการหมากล้อมแห่งเมืองหยุนเฉิง เป็นผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง แถมยังเป็นที่นับหน้าถือตาด้วย โรงเรียนหมากล้อมที่เขาก่อตั้งขึ้นนั้นมีชื่อเสียงมากในเมืองหยุนเฉิง เศรษฐีหลายคนส่งลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ นอกเหนือจากการฝึกฝนหมากล้อมแล้ว ยังเป็นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสท่านนี้อีกด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดคนปัจจุบันเป็นหนึ่งในลูกศิษย์รุ่นแรกของเขา เมื่อพบกันต้องโค้งคำนับและเรียกอาจารย์ ด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ ทางโรงเรียนหมากล้อมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการรับสมัครนักเรียนใหม่เลย หานซานเฉียนคิดไม่ถึงว่าหวางเม่าและเทียนฉางเฉิงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นนี้ “ตาแก่ หายไปไหนมา ฉันร้อนใจแทบแย่” เทียนฉางเฉิงอดไม่ได้ที่จะเดินไปหาหวางเม่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ หวางเม่ายิ้มแล้วพูดว่า “นายร้อนใจอะไร แก่จวนจะลงโลงอยู่แล้ว ใจเย็น ๆ” “ถุย พูดบ
ผู้ชายคนนี้ แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาจริงจังขึ้นมา แต่หวางเม่าแค่ยิ้มตอบออกมาบาง ๆ สมัยนี้คนหนุ่มสาวมากมายล้วนท่าดีทีเหลว อย่างเช่นในโรงเรียนสอนหมากล้อมของเขา ทายาทเศรษฐีพวกนี้เรียนรู้อะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ยกเว้นการควบคุมพลังรัศมีของตัวเอง ภาพลักษณ์เช่นนี้ล้วนจอมปลอม หากไม่มีความสามารถที่แท้จริง ไม่ช้าก็เร็วความจริงก็ต้องถูกเปิดเผย “อาจารย์ ฉันหิวแล้วค่ะ” สวี่ฮวนพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เห็นได้ชัดว่าเธออยากให้หวางเม่าเอาชนะหานซานเฉียนโดยเร็ว “ได้ ๆ ๆ อาจารย์จะรีบจัดการโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เธอได้ลงไปกินข้าว” หวางเม่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม การแข่งหมากล้อมเปรียบเสมือนการเข่นฆ่าในสนามรบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหยียนจุนได้เตือนสติหานซานเฉียนตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาจับหมากล้อม ดังนั้นแม้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือหวางเม่า ผู้อาวุโสที่น่านับถือในเมืองหยุนเฉิง หานซานเฉียนก็ไม่มีความคิดที่จะออมมือเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเริ่มเปิดเกม หวางเม่าได้ลงหมากอย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่ได้เห็นหานซานเฉียนอยู่ในสายตาเลย ไม่ได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงกลางกระดาน หวางเม่าถึงตระหนัก
หวางเม่าที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หลังรับประทานอาหาร เรามาเล่นกันอย่างจริงจังเถอะ” หวางเม่าไม่เชื่อว่าตัวเองจะแพ้ ฝีมือหมากล้อมของเขาอยู่ในระดับสูงกว่าคนมากมาย แล้วจะแพ้ให้กับคนหนุ่มคนเดียวได้อย่างไร? หานซานเฉียนไม่อาจปฏิเสธคำขอนี้ มิฉะนั้นมจะเป็นการไม่ให้เกียรติหวางเม่า ส่วนใครจะแพ้หรือใครจะชนะ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “คุณปู่หวาง เราไปกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญกันก่อน แล้วค่อยมาสู้กันใหม่นะครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม หวางเม่าออกจากห้องไปก่อนพร้อมกับลูกศิษย์สองคน เทียนฉางเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องอายุของตัวเองเลยว่าจะมากกว่าหานซานเฉียนหลายรอบ เขาวางมือลงบนไหล่ของหานซานเฉียนแล้วบอกว่า “พ่อหนุ่ม นายเก่งมาก ถ้าจริงจังขึ้นมา แม้แต่หวางเม่าก็ไม่ใช่คู่ต่อกร แต่ว่าเขาอาจไม่ได้เอาจริงเอาจัง เกมหลังจากนี้ นายมั่นใจแค่ไหนกัน?” “นายใหญ่ ผมจำได้ว่าเหมือนมีคนอยากจะขอฝากตัวเป็นศิษย์นะครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเทียนฉางเฉิงชะงักงัน เจ้าหมอนี่ยังจำเรื่องนี้ได้อยู่อีก เขาอายุขนาดนี้จะให้มาขอฝากตัวเป็นศิษย์ ถ้าพูดออกไปจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อีกอย่าง