เมื่อกลับมาถึงบ้าน ซูกั๋วเย่าได้บอกเรื่องที่จะให้ถังหลงกลับเข้าไปทำงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวกับหานซานเฉียน การจัดการนี้สอดคล้องกับความต้องการของหานซานเฉียนพอดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คัดค้านอะไรซูกั๋วเย่าที่ตอนแรกเป็นกังวลเล็กน้อย ในที่สุดก็สามารถผ่อนคลายความกังวลได้แล้ว“ซานเฉียน ขอบคุณมากที่ให้หน้าฉันขนาดนี้” ซูกั๋วเย่าพูดพลางถอนหายใจ ตอนที่หานซานเฉียนแต่งเข้ามาในตระกูลซูแรก ๆ เขาไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับหานซานเฉียนเลย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำเกินไปเท่ากับเจี่ยงหลาน แต่เขาก็ไม่เคยไว้หน้าหานซานเฉียนเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้ เขาต้องพึ่งพาหานซานเฉียนถึงจะมีหน้ามีตา ซูกั๋วเย่าจึงรู้สึกผิดกับเขาเล็กน้อยเพราะทุกอย่างในตระกูลซูเป็นสิ่งที่หานซานเฉียนมอบให้ทั้งหมด และซูกั๋วเย่าก็ไม่ได้เป็นคนคนเนรคุณเหมือนกับเจี่ยงหลาน เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว แม้ว่าหานซานเฉียนได้แต่งงานกับลูกสาวของเขานั่นก็ไม่ใช่เหตุผลว่าเขาจะสามารถทำตัวเหนือกว่ากับหานซานเฉียนได้ เพราะทุกอย่างนี้หานซานเฉียนมีสิทธิ์เลือกได้ว่าเขาจะมอบมันให้กับใคร“คุณเป็นพ่อตาของผม นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำ อดีตมันผ่านไปแล้ว ก็ปล่อ
“ปู่รู้ว่าเรื่องนี้มันทำให้แกลำบากใจ ถือซะว่าไว้หน้าปู่ครั้งนึงก็แล้วกัน” หานเทียนหยางมีความสุขเมื่อหานซานเฉียนยอมตกลง แต่เขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นหนี้หานซานเฉียน เพราะถ้าไม่ใช่เพราะเขา หานซานเฉียนก็คงจะทำสิ่งนี้ในชีวิตของเขาหานซานเฉียนส่ายหัวและไม่พูดอะไร“ปู่ไม่อยากโทษเธอ เพราะเธอเองก็น่าสงสาร เธอแต่งงานกับปู่ในฐานะหมากของตระกูลหนานกง เธอหวังว่าหานจุนจะทำให้ตระกูลหานแข็งแกร่งขึ้น และหวังว่าหานจุนจะแข่งขันกับตระกูลหนานกงได้ ดังนั้นเธอจึงมอบความรักทั้งหมดให้กับหานจุน สิ่งเดียวที่เธอทำผิด ก็คือเธอเลือกผิดคน” หานเทียนหยางกล่าวเลือกผิดคนงั้นเหรอ?ในความคิดของหานซานเฉียน ประโยคนี้มันฟังดูไร้สาระมาก แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้งคำพูดของหานเทียนหยาง และก็ยังเป็นประโยคเดิม ไม่ว่าปู่ต้องการให้เขาทำอะไร เขาก็จะไม่ขัด“พรุ่งนี้ก็แล้วกันครับ” หานซานเฉียนกล่าว"อืม รีบพักผ่อนนะ" พูดจบ หานเทียนหยางก็ยืนขึ้น และกลับไปที่ห้องของตัวเองหานซานเฉียนดูที่โทรศัพท์ตัวเอง ซูหยิงเซี่ยยังไม่แจ้งมาว่าให้เข้าห้องได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่รออยู่ที่โซฟาต่อไปทันใดนั้น เจียงหยิงหยิงก็กลับมาบ้านหลังจากฝึกฝนเสร็จ
“ต่อให้คุณจะวิ่งหนี สุดท้ายก็หนีไม่พ้นหรอกนะ คุณลองก้าวไปอีกก้าวดูสิ” ซูหยิงเซี่ยพูดกับหานซานเฉียนด้วยท่าทางข่มขู่หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ หานซานเฉียนก็ไม่กล้าวิ่งหนี เขาทำได้เพียงยืนอยู่กับที่เท่านั้นซูหยิงเซี่ยเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะหยิกเนื้อของหานซานเฉียนอย่างแรง จนเขาหายใจแทบไม่ออกด้วยความเจ็บปวด“คุณโทษฉันงั้นเหรอ?” ซูหยิงเซี่ยพูดพลางกัดฟัน เมื่อคิดว่าคนอื่นได้ยินเสียงของเธอ เธอก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน แล้วต่อไปเธอจะมองหน้าคนในบ้านยังไง"ผมผิดเองครับ ผมผิดเอง เป็นความผิดของผมเองทั้งหมด" หานซานเฉียนทำได้เพียงแบกรับความผิด เพราะจากประสบการณ์ของเขา การเอาหลักเหตุผลมาพูดกับผู้หญิงนั้น มันคือการทำลายตัวเอง ตอนที่ซูหยิงเซี่ยหยิกหานซานเฉียน เธอเองก็รู้สึกเป็นทุกข์เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงทนไม่ได้ที่จะระบายความขุ่นเคืองทั้งหมดกับหานซานเฉียน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถย้อนเวลากลับมาได้ นอกจากการยอมรับแล้วจะมีทางเลือกไหนอีก?“ต่อไปนี้ฉันนอนบนเตียง คุณนอนพื้น” ซูหยิงเซี่ยกล่าวหานซานเฉียนทึ้งหัว การลงโทษนี้รุนแรงเกินไปแล้วแต่ตอนนี้ซูหยิงเซี่ยกำลัง
วันรุ่งขึ้น ถังหลงที่กำลังจะไปรายงานตัวที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวก็รู้สึกกังวลมาก เนื่องจากเขาถูกไล่ออกจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว จึงไม่มีบริษัทใดในหยุนเฉิงกล้าที่จะรับเขาเข้าทำงาน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถังหลงไม่มีงานประจำเลยสักงาน เขาทำได้เพียงพึ่งพาเงินออมที่เขาสะสมไว้ในอดีตเท่านั้น แต่ตอนนี้ เมื่อเขาได้กลับมาทำงานอีกครั้ง ถังหลงไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้กลับมาทำงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวอีกครั้ง “ล้มที่ไหนก็ลุกขึ้นที่นั่น ในเมื่อซูกั๋วเย่าให้โอกาสนี้แก่แก แกก็ต้องคว้ามันไว้ให้ดี” ถังเฉิงเย่พูดกับถังหลงในอดีตถังเฉิงเย่ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับซูกั๋วเย่า เพราะเขารู้ดีว่าชีวิตของเขาเหนือกว่าซูกั๋วเย่า แม้ว่าซูกั๋วเย่าจะเป็นลูกชายของตระกูลซู แต่เขาไม่ได้รับความสำคัญใด ๆ ในตระกูลซูเลยแม้แต่น้อย เขามีชีวิตแย่กว่าเพื่อนร่วมชั้นทั่วไปเสียอีก ด้วยเหตุนี้ ถังเฉิงเย่จึงชอบที่จะใช้ซูกั๋วเย่าเป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวเองดูมีตัวตนแต่ตอนนี้ ถังเฉิงเย่ตระหนักถึงความเป็นจริงแล้ว เขารู้ดีว่าสถานะของหานซานเฉียนและตระกูลซูในหยุนเฉิงนั้นไม่มีใครเทียบได้ และเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเอาตั
ถังหลงส่ายหัว ย้ายบ้านงั้นเหรอ ตอนนี้ทำไมเขาต้องย้ายบ้านด้วย เมื่อได้แทนที่ตำแหน่งของจงเหลียง สถานะของเขาในหยุนเฉิงก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าทันที นี่คือจุดสูงสุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองไหน ถังหลงก็ไม่สามารถทำถึงจุดนี้ได้เมื่อเห็นถังหลงส่ายหัว ถังเฉิงเย่ก็พูดด้วยความโกรธ "แกเต็มใจให้พวกเขาเยาะเย้ยหรือไง?ตอนนี้หยุนเฉิงเป็นดินแดนของพวกเขาแล้ว แกมีความสามารถอะไรไปต่อสู้กับพวกเขา"“พ่อ พ่อเข้าใจผิดแล้ว ซูกั๋วเย่าไม่ได้แกล้งพวกเรา” ถังหลงกล่าวซูกั๋วเย่าไม่ได้แกล้งงั้นเหรอ? แต่ท่าทางของถังหลงมันดูเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัด หากเขาไม่ได้โดนบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวโจมตี แล้วทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้?“เกิดอะไรขึ้น?” ถังเฉิงเย่ถามถังหลงกลืนน้ำลาย ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง เพราะความเปลี่ยนแปลงนี้มันใหญ่มาก จนเขารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน“พ่อครับ จงเหลียงกำลังจะกลับเหยียนจิง และผมจะได้เข้ามาแทนที่จงเหลียงในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว นี่คือสิ่งที่หานซานเฉียนเป็นคนจัดการเองครับ” ถังหลงกล่าวสีหน้าสับสนของถังเฉิงเย่นั้นเหมือนกับถังหลงทุกประการหลังจ
ทุกวันนี้ในเมืองปินเซี่ยน อาจกล่าวได้ว่าเหมาเทียนอี้คือบุคคลอันดับหนึ่ง ดังนั้นผู้ช่วยของเขาจึงหยิ่งผยองมาก เพราะในเมืองปินเซี่ยนไม่มีใครสามารถจะทำให้ลูกพี่ของเขาขุ่นเคืองได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจคนที่มายืนขวางรถเป็นธรรมดาเขาก้าวไปข้างหน้าและผลักคน ๆ นั้น แต่แทนที่คนโดนผลักจะถอยกลับไป เขากลับเป็นฝ่ายถอยกลับมาเสียเอง สิ่งนี้ทำให้ผู้ช่วยรู้สึกเสียหน้า“แกตาบอดหรือไง รู้ไหมว่านี่คือรถของใคร รีบไสหัวออกไปซะ ไม่งั้นฉันจะหักขาแกแน่” ผู้ช่วยพูดด้วยสีหน้าดูถูกหานซานเฉียนยิ้มเบา ๆ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอกับเหมาเทียนอี้ แต่ดูจากลูกน้องของเขาแล้ว หานซานเฉียนก็สัมผัสได้ว่านิสัยของเหมาเทียนอี้และถังจงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถังจงเป็นคนถ่อมตัวมากในเมืองปินเซี่ยน และไม่เคยก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวใด ๆ เขามีชื่อเสียงที่ดี แม้แต่คนธรรมดาบางคนก็ชอบเขามาก เพราะการพัฒนาของเมืองปินเซี่ยนนั้นมีความเชื่อมโยงกับถังจง เขาสร้างโอกาสในการทำงาน และมอบชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้คนในเมืองปินเซี่ยนมากมายและชื่อเสียงที่ดีเหล่านี้อาจถูกทำลายโดยเหมาเทียนอี้ในไม่ช้า“ดูเหมือนว่าผู้คนที่ถังจงปลูกฝังมาจะไม่ควรค่าแก่
เป็นไปไม่ได้ที่ถังจงจะให้โอกาสเหมาเทียนอี้อีกครั้ง เพราะเรื่องนี้หานซานเฉียนลงมือเองแล้ว ถึงแม้ว่าถังจงจะมีสายสัมพันธ์กับคนแบบนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่คุ้มที่เขาจะเข้าไปปกป้องหลังจากวางสายได้ไม่นาน คนของถังจงก็มาถึง เหมาเทียนอี้ถูกพาตัวไปด้วยความสิ้นหวัง ผู้ช่วยของเขาตัวสั่นคุกเข่าลงบนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเหมาเทียนอี้เขาไม่คิดเลยว่าความรุ่งโรจน์ของเหมาเทียนอี้เพิ่งจะเริ่มต้นเองแท้ ๆ แต่กลับจบลงราวดาวตกที่แวบผ่านไปเช่นนี้“พี่ซานเฉียน สิ่งที่เขาทำไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมถูกบังคับให้ทำครับ เขาขอให้ผมทำ” ผู้ช่วยโขกหัวลงกับพื้นให้หานซานเฉียน ขณะที่เขาพูดหานซานเฉียนถูขมับ เขามาเมืองปินเซี่ยนเพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลเจี่ยงไปสร้างปัญหาให้ซูหยิงเซี่ยที่หยุนเฉิง เขาคิดว่าคนที่ถังจงเลือกจะทำให้เขาไร้กังวล แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ในเมื่อมันจบแบบนี้ ในเมืองปินเซี่ยนก็ขาดคนควบคุมแล้วสินะ และหานซานเฉียนก็ต้องมาปวดหัวกับการหาคนมาดูแลเรื่องนี้อีกหากอยู่ในหยุนเฉิง ปัญหานี้คงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับหานซานเฉียน เขามีตัวเลือกจำนวนมากมาย แต่ในเมืองปินเซี่ยน เขาคิดหาคนที่ควรค่าแก
หลิ่วจื้อเจี๋ยยอมรับความตกอับของตัวเองได้ และเขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ไม่อย่างนั้น หากธุรกิจล้มเหลว เขาคงพังพินาศไปนานแล้ว เขาจะมาที่เป็นพนักงานเสิร์ฟที่เฟิงหม่านโหลวได้อย่างไร?ความต่างของสถานะแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยอมรับได้ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าหลิ่วจื้อเจี๋ยมีจิตใจที่แข็งแกร่งพอสมควรแต่เพียงเพราะเขายอมรับความตกอับของตัวเองได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับคำดูถูกแบบนี้ได้ตอนนี้เงินหนึ่งหมื่นหยวนถือเป็นเงินจำนวนมากสำหรับเขา แต่เขาจะไม่ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อเด็ดขาด“ฉันไม่ต้องการ” หลิ่วจื้อเจี๋ยพูดนิ่ง ๆเมื่อชายคนนั้นได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที และพูดว่า "หลิ่วจื้อเจี๋ย นายไม่ไว้หน้าฉันเลยงั้นเหรอ? ฉันเหยียดขาออกไปแล้ว นายคงไม่คิดที่จะให้ฉันถอยขากลับคืนมาหรอกใช่ไหม เชื่อไหมว่าฉันสามารถทำให้นายหางานทำไม่ได้ในเมืองปินเซี่ยนนี่”"นายคิดว่าตัวเองคือถังจงหรือเหมาเทียนอี้หรือไง?" หลิ่วจื้อเจี๋ยตอบโต้ด้วยท่าทางหยิ่งผยอง แม้ว่าเมืองปินเซี่ยนจะไม่ใช่สถานที่ใหญ่โต แต่คนเดียวที่สามารถควบคุมทุกสิ่งได้อย่างแท้จริง นอกจากถังจงก็คือเหมาเทียนอี