วันรุ่งขึ้น ถังหลงที่กำลังจะไปรายงานตัวที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวก็รู้สึกกังวลมาก เนื่องจากเขาถูกไล่ออกจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว จึงไม่มีบริษัทใดในหยุนเฉิงกล้าที่จะรับเขาเข้าทำงาน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถังหลงไม่มีงานประจำเลยสักงาน เขาทำได้เพียงพึ่งพาเงินออมที่เขาสะสมไว้ในอดีตเท่านั้น แต่ตอนนี้ เมื่อเขาได้กลับมาทำงานอีกครั้ง ถังหลงไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้กลับมาทำงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวอีกครั้ง “ล้มที่ไหนก็ลุกขึ้นที่นั่น ในเมื่อซูกั๋วเย่าให้โอกาสนี้แก่แก แกก็ต้องคว้ามันไว้ให้ดี” ถังเฉิงเย่พูดกับถังหลงในอดีตถังเฉิงเย่ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับซูกั๋วเย่า เพราะเขารู้ดีว่าชีวิตของเขาเหนือกว่าซูกั๋วเย่า แม้ว่าซูกั๋วเย่าจะเป็นลูกชายของตระกูลซู แต่เขาไม่ได้รับความสำคัญใด ๆ ในตระกูลซูเลยแม้แต่น้อย เขามีชีวิตแย่กว่าเพื่อนร่วมชั้นทั่วไปเสียอีก ด้วยเหตุนี้ ถังเฉิงเย่จึงชอบที่จะใช้ซูกั๋วเย่าเป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวเองดูมีตัวตนแต่ตอนนี้ ถังเฉิงเย่ตระหนักถึงความเป็นจริงแล้ว เขารู้ดีว่าสถานะของหานซานเฉียนและตระกูลซูในหยุนเฉิงนั้นไม่มีใครเทียบได้ และเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเอาตั
ถังหลงส่ายหัว ย้ายบ้านงั้นเหรอ ตอนนี้ทำไมเขาต้องย้ายบ้านด้วย เมื่อได้แทนที่ตำแหน่งของจงเหลียง สถานะของเขาในหยุนเฉิงก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าทันที นี่คือจุดสูงสุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองไหน ถังหลงก็ไม่สามารถทำถึงจุดนี้ได้เมื่อเห็นถังหลงส่ายหัว ถังเฉิงเย่ก็พูดด้วยความโกรธ "แกเต็มใจให้พวกเขาเยาะเย้ยหรือไง?ตอนนี้หยุนเฉิงเป็นดินแดนของพวกเขาแล้ว แกมีความสามารถอะไรไปต่อสู้กับพวกเขา"“พ่อ พ่อเข้าใจผิดแล้ว ซูกั๋วเย่าไม่ได้แกล้งพวกเรา” ถังหลงกล่าวซูกั๋วเย่าไม่ได้แกล้งงั้นเหรอ? แต่ท่าทางของถังหลงมันดูเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัด หากเขาไม่ได้โดนบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวโจมตี แล้วทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้?“เกิดอะไรขึ้น?” ถังเฉิงเย่ถามถังหลงกลืนน้ำลาย ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง เพราะความเปลี่ยนแปลงนี้มันใหญ่มาก จนเขารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน“พ่อครับ จงเหลียงกำลังจะกลับเหยียนจิง และผมจะได้เข้ามาแทนที่จงเหลียงในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว นี่คือสิ่งที่หานซานเฉียนเป็นคนจัดการเองครับ” ถังหลงกล่าวสีหน้าสับสนของถังเฉิงเย่นั้นเหมือนกับถังหลงทุกประการหลังจ
ทุกวันนี้ในเมืองปินเซี่ยน อาจกล่าวได้ว่าเหมาเทียนอี้คือบุคคลอันดับหนึ่ง ดังนั้นผู้ช่วยของเขาจึงหยิ่งผยองมาก เพราะในเมืองปินเซี่ยนไม่มีใครสามารถจะทำให้ลูกพี่ของเขาขุ่นเคืองได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจคนที่มายืนขวางรถเป็นธรรมดาเขาก้าวไปข้างหน้าและผลักคน ๆ นั้น แต่แทนที่คนโดนผลักจะถอยกลับไป เขากลับเป็นฝ่ายถอยกลับมาเสียเอง สิ่งนี้ทำให้ผู้ช่วยรู้สึกเสียหน้า“แกตาบอดหรือไง รู้ไหมว่านี่คือรถของใคร รีบไสหัวออกไปซะ ไม่งั้นฉันจะหักขาแกแน่” ผู้ช่วยพูดด้วยสีหน้าดูถูกหานซานเฉียนยิ้มเบา ๆ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอกับเหมาเทียนอี้ แต่ดูจากลูกน้องของเขาแล้ว หานซานเฉียนก็สัมผัสได้ว่านิสัยของเหมาเทียนอี้และถังจงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถังจงเป็นคนถ่อมตัวมากในเมืองปินเซี่ยน และไม่เคยก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวใด ๆ เขามีชื่อเสียงที่ดี แม้แต่คนธรรมดาบางคนก็ชอบเขามาก เพราะการพัฒนาของเมืองปินเซี่ยนนั้นมีความเชื่อมโยงกับถังจง เขาสร้างโอกาสในการทำงาน และมอบชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้คนในเมืองปินเซี่ยนมากมายและชื่อเสียงที่ดีเหล่านี้อาจถูกทำลายโดยเหมาเทียนอี้ในไม่ช้า“ดูเหมือนว่าผู้คนที่ถังจงปลูกฝังมาจะไม่ควรค่าแก่
เป็นไปไม่ได้ที่ถังจงจะให้โอกาสเหมาเทียนอี้อีกครั้ง เพราะเรื่องนี้หานซานเฉียนลงมือเองแล้ว ถึงแม้ว่าถังจงจะมีสายสัมพันธ์กับคนแบบนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่คุ้มที่เขาจะเข้าไปปกป้องหลังจากวางสายได้ไม่นาน คนของถังจงก็มาถึง เหมาเทียนอี้ถูกพาตัวไปด้วยความสิ้นหวัง ผู้ช่วยของเขาตัวสั่นคุกเข่าลงบนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเหมาเทียนอี้เขาไม่คิดเลยว่าความรุ่งโรจน์ของเหมาเทียนอี้เพิ่งจะเริ่มต้นเองแท้ ๆ แต่กลับจบลงราวดาวตกที่แวบผ่านไปเช่นนี้“พี่ซานเฉียน สิ่งที่เขาทำไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมถูกบังคับให้ทำครับ เขาขอให้ผมทำ” ผู้ช่วยโขกหัวลงกับพื้นให้หานซานเฉียน ขณะที่เขาพูดหานซานเฉียนถูขมับ เขามาเมืองปินเซี่ยนเพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลเจี่ยงไปสร้างปัญหาให้ซูหยิงเซี่ยที่หยุนเฉิง เขาคิดว่าคนที่ถังจงเลือกจะทำให้เขาไร้กังวล แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ในเมื่อมันจบแบบนี้ ในเมืองปินเซี่ยนก็ขาดคนควบคุมแล้วสินะ และหานซานเฉียนก็ต้องมาปวดหัวกับการหาคนมาดูแลเรื่องนี้อีกหากอยู่ในหยุนเฉิง ปัญหานี้คงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับหานซานเฉียน เขามีตัวเลือกจำนวนมากมาย แต่ในเมืองปินเซี่ยน เขาคิดหาคนที่ควรค่าแก
หลิ่วจื้อเจี๋ยยอมรับความตกอับของตัวเองได้ และเขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ไม่อย่างนั้น หากธุรกิจล้มเหลว เขาคงพังพินาศไปนานแล้ว เขาจะมาที่เป็นพนักงานเสิร์ฟที่เฟิงหม่านโหลวได้อย่างไร?ความต่างของสถานะแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยอมรับได้ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าหลิ่วจื้อเจี๋ยมีจิตใจที่แข็งแกร่งพอสมควรแต่เพียงเพราะเขายอมรับความตกอับของตัวเองได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับคำดูถูกแบบนี้ได้ตอนนี้เงินหนึ่งหมื่นหยวนถือเป็นเงินจำนวนมากสำหรับเขา แต่เขาจะไม่ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อเด็ดขาด“ฉันไม่ต้องการ” หลิ่วจื้อเจี๋ยพูดนิ่ง ๆเมื่อชายคนนั้นได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที และพูดว่า "หลิ่วจื้อเจี๋ย นายไม่ไว้หน้าฉันเลยงั้นเหรอ? ฉันเหยียดขาออกไปแล้ว นายคงไม่คิดที่จะให้ฉันถอยขากลับคืนมาหรอกใช่ไหม เชื่อไหมว่าฉันสามารถทำให้นายหางานทำไม่ได้ในเมืองปินเซี่ยนนี่”"นายคิดว่าตัวเองคือถังจงหรือเหมาเทียนอี้หรือไง?" หลิ่วจื้อเจี๋ยตอบโต้ด้วยท่าทางหยิ่งผยอง แม้ว่าเมืองปินเซี่ยนจะไม่ใช่สถานที่ใหญ่โต แต่คนเดียวที่สามารถควบคุมทุกสิ่งได้อย่างแท้จริง นอกจากถังจงก็คือเหมาเทียนอี
เมื่อเห็นว่าหานซานเฉียนไม่สนใจตัวเอง แถมยังเมินเฉยต่อคำพูดของเขา ชายคนนั้นโกรธมากจนหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาเตรียมจะฟาดไปที่ศีรษะของหานซานเฉียนเมื่อผู้ช่วยเห็นแบบนั้น และกำลังจะเตือนหานซานเฉียน หานซานเฉียนก็เตะไปข้างหลังที่ชายคนนั้นทันที ชายคนดังกล่าวถูกเตะกระเด็นออกไปราวห้าเมตร และหล่นลงกระแทกโต๊ะไม้จนมันหักก่อนจะล้มลงกับพื้นเสียงครวญครางดังขึ้น และเขาก็กลิ้งไปมาบนพื้น เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดอย่างมากเมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ก่อนจะยืนขึ้นจากที่ของตัวเองเพื่อรักษาระยะห่างกับหานซานเฉียน“หมอนี่เป็นใคร ทำไมถึงได้แข็งแกร่งมากขนาดนี้”“ฉันไม่เคยเขาในเมืองปินเซี่ยนมาก่อนเลย”“คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาคือผู้ช่วยของเหมาเทียนอี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” มีคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวจากนั้นคนที่เหลือก็สังเกตเห็นผู้ช่วยคนนั้น และทุกคนก็หน้าซีดขึ้นมาผู้ช่วยของเหมาเทียนอี้อยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าบุคคลนี้จะต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเหมาเทียนอี้ หากผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของเหมาเทียนอี้ และออกหน้าแทนหลิ่วจื้อเจี๋ย พวกเขาจะต้องเสร็จแน่ ความคิดนี้ทำใ
เมื่อจัดการสิ่งต่าง ๆ ในเมืองปินเซี่ยนเรียบร้อยแล้ว หานซานเฉียนก็รีบกลับไปที่หยุนเฉิงทันทีแม้ว่าเขาอยากจะหาปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกสักหน่อย แต่นอกจากปัญหาของเมืองปินเซี่ยน เขาก็หาปัญหาอื่นที่ต้องแก้ไขไม่เจอแล้ว บนยอดเขาหยุนติง อี้เหล่าและฟางจ้านยืนหันหน้าต้านลมแรงที่พัดเข้ามา ชายสองคนที่สวมเสื้อผ้าบาง ๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นเลย“นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะพาเขากลับไปที่นั่นหรือเปล่า?” อี้เหล่าถามฟางจ้าน ช่วงนี้อี้เหล่ากำลังคิดหนักกับปัญหานี้ เพราะการมีอยู่ของซูหยิงเซี่ยและหานเนี่ยน ทำให้หานซานเฉียนไม่สามารถปล่อยมือจาก ความกังวลบนโลกนี้ได้ และปัญหานี้จะกลายเป็นอุปสรรคการเติบโตของหานซานเฉียนในเทียนฉี และยิ่งจะทำให้เขากังวลมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งใครก็ตามที่เข้าไปในเทียนฉี จำเป็นต้องทำสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือละทิ้งทางโลก นี่เป็นกฎเหล็กที่ไม่สามารถกลับลำได้ แต่อี้เหล่ารู้ดีว่ากฎดังกล่าวไม่สามารถบังคับใช้กับหานซานเฉียนได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็มีแต่จะต่อต้าน และจะล้มเลิกความคิดที่จะไปเทียนฉีเท่านั้น“อี้เหล่า เมื่อเข้าไปในเทียนฉี การลืมชีวิตและความตาย ถือว่าเป็นกฎข้อแรกขอ
“อี้เหล่า คุณคิดว่าตอนนี้ผมยังมีความแข็งแกร่งของปรมาจารย์สิบอันดับแรกอยู่เหรอครับ?” ฟางจ้านพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น หากเขาอยู่จุดสูงสุดของความแข็งแกร่งจริง ถึงหานซานเฉียนจะมีอี้เหล่าคอยปกป้อง เขาก็สามารถสังหารหานซานเฉียนได้ จะรอให้อี้เหล่าลงมืออย่างนี้เหรอ?ความแตกต่างเล็กน้อยอาจทำให้สูญเสียระยะทางหลายพันไมล์ จากสิ่งนี้ก็เห็นแล้วว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งปรมาจารย์สิบอันดับแรก และการใช้เกณฑ์นี้มาตัดสินความแข็งแกร่งของหานซานเฉียน ถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก“นายมาที่นี่เพื่อทำลายความมั่นใจของฉันหรือไง?” อี้เหล่าหันไปมองฟางจ้านด้วยใบหน้าเย็นชาฟางจ้านถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากอี้เหล่า ก่อนจะพูดขึ้นว่า "อี้เหล่า ผมแค่อยากให้คุณคิดอย่างรอบคอบ การเอาความแข็งแกร่งเมื่อก่อนของผมมาเป็นเกณฑ์ตัดสินหานซานเฉียน มันยังมีช่องว่างขนาดใหญ่นะครับ เพราะหากหานซานเฉียนแพ้ขึ้นมา ผมกลัวว่าคุณจะเสียหน้าเอาได้"ไหล่ของอี้เหล่าตกลงอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดแค่ว่าหานซานเฉียนจะทำให้เทียนฉีตกตะลึงมากแค่ไหน โดยลืมคิดไปว่าความแข็งแกร่งของฟางจ้านในปัจจุบันน