หลิ่วจื้อเจี๋ยยอมรับความตกอับของตัวเองได้ และเขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ไม่อย่างนั้น หากธุรกิจล้มเหลว เขาคงพังพินาศไปนานแล้ว เขาจะมาที่เป็นพนักงานเสิร์ฟที่เฟิงหม่านโหลวได้อย่างไร?ความต่างของสถานะแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยอมรับได้ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าหลิ่วจื้อเจี๋ยมีจิตใจที่แข็งแกร่งพอสมควรแต่เพียงเพราะเขายอมรับความตกอับของตัวเองได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับคำดูถูกแบบนี้ได้ตอนนี้เงินหนึ่งหมื่นหยวนถือเป็นเงินจำนวนมากสำหรับเขา แต่เขาจะไม่ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อเด็ดขาด“ฉันไม่ต้องการ” หลิ่วจื้อเจี๋ยพูดนิ่ง ๆเมื่อชายคนนั้นได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที และพูดว่า "หลิ่วจื้อเจี๋ย นายไม่ไว้หน้าฉันเลยงั้นเหรอ? ฉันเหยียดขาออกไปแล้ว นายคงไม่คิดที่จะให้ฉันถอยขากลับคืนมาหรอกใช่ไหม เชื่อไหมว่าฉันสามารถทำให้นายหางานทำไม่ได้ในเมืองปินเซี่ยนนี่”"นายคิดว่าตัวเองคือถังจงหรือเหมาเทียนอี้หรือไง?" หลิ่วจื้อเจี๋ยตอบโต้ด้วยท่าทางหยิ่งผยอง แม้ว่าเมืองปินเซี่ยนจะไม่ใช่สถานที่ใหญ่โต แต่คนเดียวที่สามารถควบคุมทุกสิ่งได้อย่างแท้จริง นอกจากถังจงก็คือเหมาเทียนอี
เมื่อเห็นว่าหานซานเฉียนไม่สนใจตัวเอง แถมยังเมินเฉยต่อคำพูดของเขา ชายคนนั้นโกรธมากจนหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาเตรียมจะฟาดไปที่ศีรษะของหานซานเฉียนเมื่อผู้ช่วยเห็นแบบนั้น และกำลังจะเตือนหานซานเฉียน หานซานเฉียนก็เตะไปข้างหลังที่ชายคนนั้นทันที ชายคนดังกล่าวถูกเตะกระเด็นออกไปราวห้าเมตร และหล่นลงกระแทกโต๊ะไม้จนมันหักก่อนจะล้มลงกับพื้นเสียงครวญครางดังขึ้น และเขาก็กลิ้งไปมาบนพื้น เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดอย่างมากเมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ก่อนจะยืนขึ้นจากที่ของตัวเองเพื่อรักษาระยะห่างกับหานซานเฉียน“หมอนี่เป็นใคร ทำไมถึงได้แข็งแกร่งมากขนาดนี้”“ฉันไม่เคยเขาในเมืองปินเซี่ยนมาก่อนเลย”“คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาคือผู้ช่วยของเหมาเทียนอี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” มีคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวจากนั้นคนที่เหลือก็สังเกตเห็นผู้ช่วยคนนั้น และทุกคนก็หน้าซีดขึ้นมาผู้ช่วยของเหมาเทียนอี้อยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าบุคคลนี้จะต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเหมาเทียนอี้ หากผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของเหมาเทียนอี้ และออกหน้าแทนหลิ่วจื้อเจี๋ย พวกเขาจะต้องเสร็จแน่ ความคิดนี้ทำใ
เมื่อจัดการสิ่งต่าง ๆ ในเมืองปินเซี่ยนเรียบร้อยแล้ว หานซานเฉียนก็รีบกลับไปที่หยุนเฉิงทันทีแม้ว่าเขาอยากจะหาปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกสักหน่อย แต่นอกจากปัญหาของเมืองปินเซี่ยน เขาก็หาปัญหาอื่นที่ต้องแก้ไขไม่เจอแล้ว บนยอดเขาหยุนติง อี้เหล่าและฟางจ้านยืนหันหน้าต้านลมแรงที่พัดเข้ามา ชายสองคนที่สวมเสื้อผ้าบาง ๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นเลย“นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะพาเขากลับไปที่นั่นหรือเปล่า?” อี้เหล่าถามฟางจ้าน ช่วงนี้อี้เหล่ากำลังคิดหนักกับปัญหานี้ เพราะการมีอยู่ของซูหยิงเซี่ยและหานเนี่ยน ทำให้หานซานเฉียนไม่สามารถปล่อยมือจาก ความกังวลบนโลกนี้ได้ และปัญหานี้จะกลายเป็นอุปสรรคการเติบโตของหานซานเฉียนในเทียนฉี และยิ่งจะทำให้เขากังวลมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งใครก็ตามที่เข้าไปในเทียนฉี จำเป็นต้องทำสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือละทิ้งทางโลก นี่เป็นกฎเหล็กที่ไม่สามารถกลับลำได้ แต่อี้เหล่ารู้ดีว่ากฎดังกล่าวไม่สามารถบังคับใช้กับหานซานเฉียนได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็มีแต่จะต่อต้าน และจะล้มเลิกความคิดที่จะไปเทียนฉีเท่านั้น“อี้เหล่า เมื่อเข้าไปในเทียนฉี การลืมชีวิตและความตาย ถือว่าเป็นกฎข้อแรกขอ
“อี้เหล่า คุณคิดว่าตอนนี้ผมยังมีความแข็งแกร่งของปรมาจารย์สิบอันดับแรกอยู่เหรอครับ?” ฟางจ้านพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น หากเขาอยู่จุดสูงสุดของความแข็งแกร่งจริง ถึงหานซานเฉียนจะมีอี้เหล่าคอยปกป้อง เขาก็สามารถสังหารหานซานเฉียนได้ จะรอให้อี้เหล่าลงมืออย่างนี้เหรอ?ความแตกต่างเล็กน้อยอาจทำให้สูญเสียระยะทางหลายพันไมล์ จากสิ่งนี้ก็เห็นแล้วว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งปรมาจารย์สิบอันดับแรก และการใช้เกณฑ์นี้มาตัดสินความแข็งแกร่งของหานซานเฉียน ถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก“นายมาที่นี่เพื่อทำลายความมั่นใจของฉันหรือไง?” อี้เหล่าหันไปมองฟางจ้านด้วยใบหน้าเย็นชาฟางจ้านถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากอี้เหล่า ก่อนจะพูดขึ้นว่า "อี้เหล่า ผมแค่อยากให้คุณคิดอย่างรอบคอบ การเอาความแข็งแกร่งเมื่อก่อนของผมมาเป็นเกณฑ์ตัดสินหานซานเฉียน มันยังมีช่องว่างขนาดใหญ่นะครับ เพราะหากหานซานเฉียนแพ้ขึ้นมา ผมกลัวว่าคุณจะเสียหน้าเอาได้"ไหล่ของอี้เหล่าตกลงอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดแค่ว่าหานซานเฉียนจะทำให้เทียนฉีตกตะลึงมากแค่ไหน โดยลืมคิดไปว่าความแข็งแกร่งของฟางจ้านในปัจจุบันน
หานซานเฉียนทำอะไรเทียนหลิงเอ๋อร์ไม่ได้จริง ๆ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้น่ากลัวมาก เธอรู้ว่าควรเอาอกเอาใจใคร และใครจะคุ้มครองเธอได้ ตราบใดที่เธอทำให้ซูหยิงเซี่ยมีความสุข ภัยคุกคามของหานซานเฉียนก็ไร้ความหมาย “ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงกับเธอ” หานซานเฉียนพูดอย่างเหยียดหยามเทียนหลิงเอ๋อร์ยกหมัดขึ้นด้วยชัยชนะแล้วพูดว่า "พี่เอาชนะฉันไม่ได้ ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ซะเถอะ"หานซานเฉียนโบกมือ หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดหมายเลขของม่อหยาง“หาที่สังสรรค์คืนนี้” หานซานเฉียนพูดกับม่อหยาง เวลาที่เขาจะได้อยู่ในหยุนเฉิงนั้นเริ่มน้อยลงทุกที และมันก็นานมากแล้วที่หานซานเฉียนไม่ได้สังสรรค์และพูดคุยกับพี่น้องกลุ่มนี้ พอดีกับที่วันนี้มีเวลาว่างจะได้แจกแจงงานในหยุนเฉิงไปด้วยเลย“ได้ ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ อากาศหนาว ๆ แบบนี้กินหม้อไฟเป็นไง?” ม่อหยางพูดอย่างตื่นเต้น"ได้ แล้วแต่นายเลย"หลังจากวางสาย ม่อหยางก็แทบรอไม่ไหวที่จะออกจากคลับเมจิกซิตี้ช่วงนี้มีร้านอาหารหม้อไฟในหยุนเฉิงที่มีชื่อเสียงมาก คนจะมาต่อคิวกันแทบทุกวัน จะกินข้าวก็ยังต้องรอคิว และร้านนี้จะมาคนมาเริ่มเข้าคิวตั้งแต่บ่ายสามโมง เป็นร้านที่ได้รับความนิ
ฉีฮู่ฟังคำพูดของหานซานเฉียนด้วยสีหน้าจริงจัง แต่เขาไม่เข้าใจเหตุผลเลย สำหรับฉีฮู่ที่เพิ่งได้รู้จักความสุขของโลกที่เต็มไปด้วยสีสัน คำพูดเหล่านี้จึงเหมือนกับการสีซอให้ควายฟัง เพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าความรักคืออะไรหลังจากที่กลุ่มของหานซานเฉียนไปถึงร้านหม้อไฟ นอกจากพ่อครัวแล้ว ทั้งร้านก็มีเพียงเจ้าของร้านและผู้จัดการร้านเท่านั้น พนักงานคนอื่น ๆ ถูกเจ้านายสั่งให้กลับบ้านไปหมดแล้ว เมื่อคนใหญ่คนโตอย่างหานซานเฉียนมาถึงที่ เขาจึงต้องดูแลเองเป็นการส่วนตัวแม้ว่าเจ้าของร้านจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้เจอกับหานซานเฉียน เขาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลและทำตัวไม่ถูก สำหรับเจ้าของร้านหม้อไฟเล็ก ๆ คนใหญ่คนโตอย่างหานซานเฉียนนั้นสำคัญมากเกินไป ทำให้เขาต้องระมัดระวังกับทุกสิ่งการที่หานซานเฉียนมาที่นี่นั้น สามารถทำให้ร้านหม้อไฟเปล่งประกายได้ และธุรกิจของเขาก็จะมีอนาคตที่สดใส เนื่องจากการมาของหานซานเฉียน ทำให้เจ้าของร้านมีความหวัง เขาไม่อยากเสี่ยงต่อโอกาสนี้ด้วยความผิดพลาดที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้วันหยุดกับพนักงานเพื่อกลับบ้าน“ไม่ต้องกังวลไป ผมก็แค่มากินข้าวเท่านั้น” หานซานเฉียนพูดกับเจ
เวลาตีสาม นอกจากหานซานเฉียน อีกสามคนที่เหลือต่างก็เมากันมาก แต่หานซานเฉียนเพียงแค่เมานิดหน่อยเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้หานซานเฉียนประหลาดใจในตัวเองมาก สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยดื่ม และดื่มได้ในระดับปานกลาง แต่วันนี้กลับทำได้ดีเป็นพิเศษ สิ่งนี้เตือนให้หานซานเฉียนคิดถึงพลังในร่างกายของเขาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมีสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้นกับเขา หานซานเฉียนก็สามารถคิดไปในทิศทางนี้ได้เท่านั้น เนื่องจากมันไม่มีความเป็นไปได้อื่นแล้วในขณะที่หานซานเฉียนกำลังจะส่งทั้งสามคนกลับไปที่คลับเมจิกซิตี้ ชายชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้านหม้อไฟ“ยังมีแรงดื่มกับฉันอีกสักแก้วไหม?”“คุณปู่เหยียน ทำไมปู่ถึงมาที่นี่ล่ะครับ” หานซานเฉียนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แม้ว่าวันนี้เขาจะแตกต่างออกไป แต่ความเคารพของหานซานเฉียนที่มีต่อเหยียนจุนก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ สำหรับเขา เหยียนจุนอยู่ข้างกายเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และมีเพียงเหยียนจุนเท่านั้นที่ห่วงใยเขา หากไม่ได้รับการฝึกอบรมและคำแนะนำของเหยียนจุน เขาก็คงไม่มีทางมาถึงจุดที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้“ก็แค่ไม่ได้ดื่มกับนายนานมากแล้ว เลยอยากจะดื่มกับน
เหยียนจุนก็เข้าใจความหมายนี้เช่นกัน ด้วยจุดประสงค์ของอี้เหล่า เขาจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว แสดงว่าเขาคงต้องความหวังไว้กับหานซานเฉียนแน่นอน และความหวังนี้ก็เผยให้เห็นข้อความบางอย่างด้วย นั่นก็คือการดำรงอยู่ของเทียนฉี ไม่ใช่แค่การกักขังปรมาจารย์เหล่านั้นไว้ในเทียนฉีเท่านั้น“ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ ปู่เชื่อว่านายจะแก้ปัญหานี้ได้” พูดจบ เหยียนจุนก็เทเหล้าอีกแก้วให้หานซานเฉียนหลังจากที่ทั้งสองดื่มจนหมด หานซานเฉียนก็กล่าวว่า "คุณปู่เหยียน ในใจของปู่ ผมเกือบจะมีอำนาจทุกอย่างแล้วใช่ไหมครับ"พูดจบ หานซานเฉียนก็หัวเราะ มีอำนาจทุกอย่าง คำนี้มีน้ำหนักมาก ใครจะกล้าใช้คำนี้อธิบายความสามารถตัวเองกัน?แต่เหยียนจุนมีสีหน้าตรงไปตรงมา และไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก เขาตอบไปว่า "บางทีนายอาจยังห่างไกลจากคำเหล่านี้อยู่ แต่ปู่เชื่อว่าสักวันหนึ่งนายจะทำได้ นี่เป็นวิธีเดียวที่นายจะสามารถปกป้องคนรอบตัวได้อย่างแท้จริง”ปกป้องคนรอบตัวงั้นเหรอห้าคำนี้กระตุ้นหัวใจของหานซานเฉียน หากการปกป้องคนรอบตัวต้องฝ่าฟันหนาม แม้จะรู้ว่าเขาจะต้องถูกปกคลุมไ