นอกจากตระกูลหม่า ตระกูลอื่น ๆ ก็มีสถานการณ์เดียวกัน อาวุโสของแต่ละตระกูลกำลังกำชับคนรุ่นหลังให้สงบสติอารมณ์ในช่วงเวลานี้ และอย่าก่อเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนเมื่อหานเทียนเซิงกลับออกมาด้านนอก ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอันตราย แต่หนึ่งในหลาย ๆ ครอบครัวก็เป็นข้อยกเว้น พวกเขาไม่เพียงกังวล แต่มันคือความกลัว ทุกคนหน้าซีดพากันนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นตัวสั่นเทา“พ่อครับ หรือจะเปลี่ยนวันจัดฉลองวันเกิดของพ่อใหม่ดีล่ะครับ”“จะกำหนดวันใหม่ง่าย ๆ ได้ยังไง บัตรเชิญทั้งหมดถูกส่งออกไปแล้ว และวันมะรืนนี้ก็จะถึงวันงานแล้ว หากมาเปลี่ยนวันเอาตอนนี้ คนอื่นคงได้หัวเราะเยาะเอาน่ะสิ”“หัวเราะเยาะแล้วจะทำไงได้ล่ะครับ หานเทียนเซิงออกมาสร้างความวุ่นวายอะไรหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ ถ้าตระกูลเราเป็นนกที่ยื่นหัวออกไป หากเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไงล่ะครับ?”คนที่พูดนั้นคืออาวุโสของตระกูลอู๋ และเจ้าของวันเกิด อู๋โหยวเฟิงกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเขาและหานเทียนเซิงเป็นคนรุ่นเดียวกัน และพวกเขาก็เคยมีเรื่องบางอย่างกันในอดีต แต่หานเทียนเซิงไม่ได้แก้แค้นอะไรเขา และปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปตามเวลาเมื่อเขาเกษียณ อู๋โหยวเฟิง
เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของอู๋โหยวเฟิงรถยนต์หรูหรามารวมตัวกันที่โรงแรมข่ายหลิง และชนชั้นสูงทั้งหมดในเขตจีนก็มารวมตัวกันที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของอู๋โหยวเฟิงตระกูลอู๋มีความสัมพันธ์ที่กว้างขวางในพื้นที่เขตจีน และใครก็ตามที่ได้รับคำเชิญจะเข้าร่วมเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่อู๋โหยวเฟิงแต่วันนี้หลายคนกลับมีความหวังที่จะได้ดูอะไรดี ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น หลายคนยังไม่ลืมความแค้นระหว่างอู๋โหยวเฟิงกับหานเทียนเซิง บังเอิญที่หานเทียนเซิงกลับออกมาในเวลานี้ ทุกคนจึงอยากรู้ว่าหานเทียนเซิงจะมาปรากฏตัวในงานวันเกิดของอู๋โหยวเฟิงหรือไม่ตระกูลอู๋ได้จัดเตรียมให้คนคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอกโรงแรมแล้ว เพื่อคอยดูว่ามีใครในตระกูลหานมาร่วมงานหรือไม่ หากตระกูลหานมาแล้วก็ต้องแจ้งให้อู๋โหยวเฟิงทราบโดยเร็วที่สุด เพื่อที่อู๋โหยวเฟิงจะได้ออกมาต้อนรับพวกเขาเป็นการส่วนตัวแต่เมื่อใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงวันเกิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครจากตระกูลหานปรากฏตัว และตระกูลอู๋ก็ค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกส่วนผู้ที่รอคอยชมความสนุกก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยงานเลี้ยงวันเกิดของอู๋โหยวเฟิงเป็นเพียงการมาทานอาหารมื้อนึ
ณ บ้านของหานซานเฉียนหลังจากที่ฉี๋อีหยุนรับสายโทรศัพท์ สีหน้าของเธอก็ดูตกตะลึง และรูม่านตาของเธอก็ขยายออก คล้ายกับคนที่จิตหลุดไปแล้วขณะที่ถือโทรศัพท์อยู่เมื่อเห็นสิ่งนี้ หานซานเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "เกิดอะไรขึ้น?"ฉี๋อีหยุนหันไปมองหานซานเฉียนอย่างมึนงง ดวงตาของเธอโตราวกับไข่ห่าน ก่อนจะค่อย ๆ เปิดปากพูดเบา ๆ ว่า "คุณลองเดาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นในงานวันเกิดของอู๋โหยวเฟิง?"หานซานเฉียนยักไหล่และพูดว่า "คุณบอกว่าหานเทียนเซิงทรงพลังมากขนาดนั้น เขาคงไม่มีทางปล่อยอู๋โหยวเฟิงไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน"ตอนนั้นเองที่ฉี๋อีหยุนรู้ตัวว่าเธอยังคงถือโทรศัพท์อยู่ เธอค่อย ๆ วางมือลง หายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า "อู๋โหยวเฟิงตายแล้ว!"หานซานเฉียนขมวดคิ้วตายแล้ว?เขาตายในงานวันเกิดอย่างนั้นเหรอ?หานเทียนเซิงโหดร้ายขนาดที่ไม่ยอมให้อู๋โหยวเฟิงได้ฉลองวันเกิดของเขาด้วยซ้ำเหรอ?“ตายยังไง?” หานซานเฉียนถามฉี๋อีหยุนรู้สึกตันในลำคอ เธอกลืนน้ำลายก่อนจะพูดว่า "ของขวัญวันเกิดที่หานเทียนเซิงมอบให้ให้อู๋โหยวเฟิงคือโลงศพไม้พีช และอู๋โหยวเฟิงก็แขวนคอตัวเองต่อหน้าแขกที่มาร่วมงาน"หานซานเฉียนนั่งตัวตรงทันทีอู๋โหยว
เกาะเล็ก ๆ ของตระกูลหนานกงหนานกงป๋อหลิงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่เขตจีนในสหรัฐอเมริกา ผลงานที่แข็งแกร่งของหานซานเฉียนในบริษัททำให้เขาพอใจมาก ในมุมมองของหนานกงป๋อหลิง คนหนุ่มสาวควรมีความเข้มแข็งเช่นนี้ และสิ่งนี้ของหานซานเฉียน หนานกงซุนและหนางกงเยี่ยนไม่สามารถเทียบได้ ความแข็งแกร่งของคนสองคนนี้เรียกได้แค่ว่าลูกผู้ดีมีเงินเท่านั้น แน่นั่นไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่แท้จริง พวกเขากล้าหยิ่งผยองภายใต้การคุ้มครองของตระกูลหนานกงเท่านั้นแต่หานซานเฉียนแตกต่างออกไป ความหยิ่งผยองของเขาออกมาจากกระดูกดำ และไม่ถูกผลกระทบใด ๆ จากปัจจัยภายนอกตอนนี้การกลับออกมาของหานเทียนเซิงทำให้ผู้คนตกใจ ทำให้หนานกงป๋อหลิงมีความคาดหวังว่าเขตจีนจะแข็งแกร่งมากขึ้น เขาต้องการเห็นว่าหานซานเฉียนสามารถทำอะไรได้บ้างในเรื่องนี้หานเทียนเซิงเป็นตัวละครที่โหดเหี้ยมที่สุดในเขตจีน ถ้าเขาออกมาจัดการกับหานซานเฉียน เรื่องนี้คงจะน่าสนใจกว่านี้ในเรื่องนี้หนานกงป๋อหลิงไม่มีความตั้งใจที่จะดำเนินการใด ๆ เขาต้องการอาศัยเรื่องนี้เพื่อดูว่าขีดจำกัดของหานซานเฉียนอยู่ที่ไหนตระกูลหนานกงแตกต่างจากตระกูลชื่อดังอื่น ๆ แม้ว่าพว
หยวนหลิงไม่ได้เจอหานซานเฉียนมาหลายวันแล้วตั้งแต่เธอกลายเป็นผู้ช่วยของถังจง สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกของเธอสะอาดขึ้นเล็กน้อย เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับเพลย์บอยคนนี้ หยวนหลิงก็มีความคิดบางอย่างอยู่ในใจที่ไม่สามารถลบล้างได้น่าเสียดายที่หยวนหลิงรู้สึกไม่ค่อยสบายเมื่อเผชิญหน้ากับถังจง เพราะในสายตาของเธอ ถังจงเป็นคนที่อาศัยคำเยินยอเพื่อขึ้นสู่อำนาจ และเธอก็ไม่ชอบคนประเภทนี้ ดังนั้นความรู้สึกเดิมที่มีต่อถังจงจึงหายไปเพราะความคิดนี้หยวนหลิงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมในโลกนี้ถึงได้มีคนชอบใช้ทางลัดแบบนี้อยู่เสมอ พวกเขาไม่มีความสามารถ แต่พวกเขาแค่พึ่งพาปากหวาน ๆ ก็สามารถก้าวไปสู่จุดสูงสุดได้แล้วแต่สิ่งหนึ่งที่หยวนหลิงไม่สามารถปฏิเสธได้คือ เมื่อถังจงอุทิศตัวเองให้กับการทำงาน เธอไม่เคยเห็นความทุ่มเทเช่นนี้ในตัวใครเลย ยิ่งกว่านั้นภายใต้การปรับโครงสร้างองค์กรที่เรียบง่ายของถังจง บริษัทก็มีพวกมูลหนูน้อยลงไปมาก กลยุทธของเขานั้นแข็งแรงจนทำให้บุคลากรระดับกลางและระดับสูงต้องจากไปทีละคน และคนเหล่านั้นก็จากไปด้วยตนเองไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากกฎหมายแรงงานเลยในเวลานี้ หยวนหลิงอยู่ในอาการงุนงง
หยวนหลิงไม่เข้าใจความรู้สึกของฉี๋อีหยุน ไม่ว่าฉี๋อีหยุนจะพูดเกินจริงแค่ไหน และบอกว่าหานซานเฉียนดีมากเพียงใด ในความคิดของเธอ ความพยายามที่ไร้ความหมายนี้ก็ไม่คุ้มค่าเลยเมื่อหานซานเฉียนกลับบ้าน หยวนหลิงก็ได้ถ่ายคำพูดของหนานกงป๋อหลิงให้เขาฟังและจากไปในเวลานี้ อารมณ์ของฉี๋อีหยุนกลับมาเป็นปกติแล้ว และดูไม่ออกเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการร้องไห้มา เธอพูดกับหานซานเฉียนว่า "หนานกงป๋อหลิงหมายความว่ายังไง? เขากำลังเตือนคุณอยู่หรือเปล่า?"“ถ้าเขาพูดแบบนี้ แสดงว่ากำลังมีคนมาอเมริกา ผมเดาว่าคงเป็นหนานกงซุนล่ะมั้ง” หานซานเฉียนกล่าวเป็นไปไม่ได้ที่หนานกงป๋อหลิงจะส่งข้อความถึงเขาโดยไม่มีเหตุผล ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ แสดงว่าต้องมีเหตุผล และในมุมมองของหานซานเฉียน หนานกงซุนมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะมาอเมริกา เพราะเขาต้องการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล แถมยังเคยอยู่เหนือกว่าหานซานเฉียนมาก่อน สำหรับคนอย่างหนานกงซุนไม่มีทางยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสถานะแบบนี้ได้ “ตระกูลหนานกงเป็นแบบไหนกันแน่?” ฉี๋อีหยุนถามอย่างสงสัย แม้ว่าหานซานเฉียนจะเคยบอกว่าตระกูลหนานกงนั้นไม่ธรรมดา แต่เขาพูดถึงมันเพียงผิวเผินเท่านั้น สำหรับ
วันแข่งขันเมื่อหานซานเฉียนมาถึงสนาม ทีมของซู่หยางยังคงยุ่งอยู่กับการปรับแต่งรถในขั้นสุดท้ายสำหรับซู่หยาง ความประหม่าของเขาในวันนี้เทียบได้กับตอนที่ลงลงสนามวันแรก เพราะเขาไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการมาหลายปีแล้ว และยังอยู่ห่างจากแวดวงนี้ด้วย ในเมื่อตอนนี้เมื่อเขามีโอกาสกลับมาอีกครั้ง เขาจึงไม่อยากกลายเป็นเรื่องตลกในสนาม และไม่อยากทำให้หานซานเฉียนผิดหวังด้วย“รู้สึกยังไงบ้าง?” หานซานเฉียนถามซู่หยางเห็นได้ชัดว่าซู่หยางตื่นเต้นเกินไปเล็กน้อย เม็ดเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขาอย่างต่อเนื่อง“พี่หาน ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด” ซู่หยางกล่าว“ผลลัพธ์ไม่สำคัญ อีกอย่างนายก็เพิ่งกลับมาไม่นาน อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป แค่จบการแข่งขันอย่างปลอดภัยก็พอ” หานซานเฉียนตบไหล่ซู่หยางจู่ ๆ ซู่หยางก็รู้สึกเบาใจลงอย่างมาก คนส่วนใหญ่สนับสนุนนักขับ เพราะหวังว่านักขับจะทำให้ตัวเองได้มีหน้ามีตา ซู่หยางซึ่งเคยอยู่ในแวดวงนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าคะแนนมันหมายถึงอะไร และเขาเคยเห็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดคือ มีนักขับคนหนึ่งถูกหักขาเพราะเขาแพ้การแข่งขันแต่ดูเหมือนหานซานเฉียนจะไม
พลังและอำนาจของหานเทียนเซิงแสดงให้ได้เห็นแล้วในงานเลี้ยงวันเกิดของอู๋โหยวเฟิง ดังนั้นคำพูดของเขาจึงไม่ได้ทำให้ใครแปลกใจคนรวยรุ่นสองเกือบทั้งหมดจ้องไปที่หานซานเฉียนด้วยสายตาที่รอดูเรื่องสนุก หานซานเฉียนเคยสั่งให้พวกเขาคุกเข่าลง และในที่สุดวันนี้หานซานเฉียนจะได้ลิ้มรสของการคุกเข่าดูบ้างว่ามันรู้สึกอย่างไร“ในที่สุดเวลาของไอ้หมอนี่ก็มาถึง น่าขำจริง ๆ แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง ถึงเขาจะแข็งแกร่ง แต่จะแข็งแกร่งสู้หานเทียนเซิงได้ยังไง”“วันนี้ไอ้เลวนี่ไม่จบดีแน่ ไปยั่วยุคนอย่างหานเทียนเซิง มีแต่ตายสถานเดียว”“สะใจจริง ๆ ดูซิว่าไอ้เลวนี่จะกล้าหยิ่งผยองได้อยู่ไหม”คนรวยรุ่นสองกระซิบกัน และมีแต่คำสาปแช่งออกมาจากปากของพวกเขาๅในทางกลับกัน หานซานเฉียนมองไปที่หานเทียนเซิงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และพูดคำที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง "คุณจะคุกเข่าให้ผมงั้นเหรอ?"คำพูดเรียบ ๆ ทำให้คนรวยรุ่นสองต่างตกตะลึง บางคนถึงกับสงสัยว่าตัวเองหูฝาดหรือเปล่าหานซานเฉียน ไอ้หมอนี่สั่งให้หานเทียนเซิงคุกเข่าลง เขาบ้าไปแล้วเหรอ!ฟางซั่วอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย แค่ยืนอยู่ตรงหน้าหานเทียนเซิงเขาก็รู้สึกว่าขาอ่อนแรงแล้ว แต่หานซานเฉี