ในวันที่สิบห้า ใต้อาคารบ้านหลังใหม่ของถังเฉิงเย่ เพื่อนร่วมรุ่นทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ “เจ้าซูกั๋วเย่าทำบ้าอะไร ทำไมต้องให้พวกเรามารอที่นี่?” “บ้านใหม่ของเขาคงไม่ได้อยู่ละแวกเดียวกับเถ้าแก่ถังหรอกนะ?” “มีความเป็นไปได้สูง ไม่อย่างนั้นจะให้พวกเรามารอที่นี่ทำไม?” ถังเฉิงเย่กัดฟันกรอด เจ้าซูกั่วเย่าร้ายกาจจริง ๆ ซื้อที่ไหนไม่ซื้อ แต่จงใจมาอยู่ชุมชนเดียวกับเขา มันเหมือนเป็นการอุดปากเขาให้พูดอะไรไม่ได้ไม่ใช่หรือไง? ถ้าหาว่าบ้านของเขาไม่ดี ก็เท่ากับตีค่าตัวเองให้ต่ำลงไปด้วย แต่ในตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน และถังเฉิงเย่ก็ไม่คิดว่าซูกั๋วเย่าจะมีปัญญาซื้อบ้านที่นี่ได้ ไม่ผิดที่ว่าตระกูลซูนั้นร่ำรวย แต่ซูกั๋วเย่ามีชื่อว่าเป็นปลาเน่าในตระกูลซู เหมือนกับลูกเขยเศษสวะของเขา เขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ และไม่มีตำแหน่งในบริษัทอะไร แล้วเขาจะสามารถซื้อบ้านที่นี่ได้อย่างไร “บางทีเขาอาจจะแค่เล่นตลกเท่านั้นแหละ เขาจะมีปัญญาซื้อบ้านที่นี่ได้ยังไง” ถังเฉิงเย่พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ถังหลงยังคงโอบเอวหญิงสาวคนเดียวกับเมื่อคราวที่แล้ว พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แยแสว่า “พ่อคร
“ถังหลง นายเคยไปบริษัทลั่วเฉวก็เท่ากับว่าทำงานให้ตระกูลหานไม่ใช่เหรอ?” แม้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้คนระดับล่างของสังคม แต่ด้วยชื่อเสียงของตระกูลหานนั้นเลื่องลือไกลจนแทบไม่มีใครไม่รู้จัก พวกเขาตกตะลึงอ้าปากค้าง ขณะเดียวกันความอิจฉาที่มีต่อถังเฉิงเย่ก็มากขึ้นเกินคำบรรยาย ได้ทำงานให้กับตระกูลหาน ถังหลงจะมีอนาคตที่สดใสในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ถังเฉิงเย่ไม่มีอะไรต้องกังวลในวัยแก่แล้วจริง ๆ “ถังหลง ทำไมลูกไม่เคยเล่าให้พ่อฟังเลยล่ะ?” ถังเฉิงเย่เอ่ยถามถังหลงด้วยความประหลาดใจ “แค่เปลี่ยนบริษัทเท่านั้นเองครับ หาเงินเพิ่มได้นิดหน่อย มันไม่ได้มีความแตกต่างอะไรสำหรับผม ก็เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกพ่อ” ถังหลงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สองพ่อลูกเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย สร้างความอิจฉาให้กับคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ เป็นอย่างมาก ขณะนั้นเอง รถบัสคันหนึ่งได้จอดลงตรงหน้าทุกคน มีคนลงมาจากรถเข้ามาทักทายพวกเขา และเรียกทุกคนขึ้นไปบนรถ ทำเอาทุกคนงุนงงไปตาม ๆ กัน “ลูก นี่มันอะไรกัน?” ถังเฉิงเย่ถามเสียงขรึม ซูกั๋วเย่าเล่นใหญ่โตเอิกเกริกแบบนี้ ดูท่าทางบ้านที่ซื้อนั้นต้องไม่ธรรมดา เขาค่อนข้างเป็นกังวลว่ามันจะดีกว่าบ้าน
รถบัสทั้งสองคันจอดที่บริเวณเนินเขา หลังจากที่คนทั้งสองกลุ่มลงจากรถก็มีสีหน้าสับสน ทำตัวไม่ถูก และรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย โครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง! ที่นี่เป็นสถานที่ที่หรูหราที่สุดในเมืองหยุนเฉิง ไหนจะตำแหน่งที่อยู่ใจกลางภูขาอีก เป็นที่รู้กันดีว่าไม่กี่วันก่อนสถานที่แห่งนี้ถูกประมูลซื้อในราคาสูงเสียดฟ้าราวแปดสิบล้าน ทุกคนในเมืองหยุนเฉิงต่างก็เดากันว่าใครคือผู้เป็นเจ้าของจำนวนมหาศาลคนนั้น พวกเขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าวันหนึ่งจะได้ยืนอยู่ที่นี่! “นี่...นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงพาพวกเรามาส่งที่นี่ล่ะ” สองเท้าของซูอี้หานแตะถึงพื้นก็ยังไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเหยียบย่ำกรวดทรายที่นี่เข้า ซูไห่เฉาก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน อาณาเขตส่วนตัวของโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติงไม่ใช่ที่ที่ใครจะสามารถรุกล้ำเข้าไปได้ตามใจชอบ มิฉะนั้นจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเอง แต่ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่บนพื้นที่ของคฤหาสน์ใจกลางภูเขา “ซูหยิงเซี่ยคงไม่ได้วางยาพวกเราหรอกนะ” ซูไห่เฉากัดฟันพูด ให้คนพาพวกเขามาส่งที่นี่คงคิดจะปั้นเรื่องใส่ร้าย ถ้าคนในตระกูลเทียนรู้เข้า พวกเขาจะมีใครรอดไปได้? “ซูหยิงเซี่ยรนหา
นี่คือบ้านใหม่ของหานซานเฉียนเหรอ? คฤหาสน์ใจกลางภูเขาเนี่ยนะ! มือเท้าของเจี่ยงหลานสั่นเทา บ้านมือสองหลังนี้มีคุณค่ามากจนเธอไม่อาจจินตนาการได้! “พวกคุณจะกลัวอะไร? ฉันก็แค่กลับบ้านเท่านั้น ตระกูลเทียนจะมาเอาเรื่องได้ยังไง?” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “กลับบ้าน? เธอบ้าไปแล้วเหรอ เรื่องแบบนี้ก็กล้าโอ้อวดออกมาได้ คฤหาสน์ใจกลางภูเขาหลังนี้เป็นบ้านของเธอรึไง?” ซูอี้หานพูดอย่างเย็นชาและดูถูก เมื่อซูหยิงเซี่ยเห็นแววตาที่โกรธแค้นของผู้คนในตระกูลซู รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ คนเหล่านี้ดูถูกคนในครอบครัวของเธอมาโดยตลอด เป็นพวกที่เก่งแต่ในบ้านเท่านั้น แต่พอมาถึงโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง พวกเขาทุกคนกลับกลัวกันแทบตาย “ถ้าไม่ใช่บ้านฉัน แล้วจะเป็นบ้านของเธอเหรอ?” ซูหยิงเซี่ยเหลือบมองซูอี้หาน แล้วถือกุญแจเดินไปที่ประตู เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นอกมั่นใจของซูหยิงเซี่ย ซูอี้หานก็รู้สึกตกตะลึง นี่...นี่คือบ้านของเธอเหรอ เป็นไปได้อย่างไร! เธอมีสิทธิ์อะไรมาอยู่ในคฤหาสน์ใจกลางภูเขา! แม้ว่าเธอจะเป็นผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีกำลังทรัพย์ที่น่าตกใจเช่นนี้! ถ้าเอาทรัพย์สินทั้งห
อารมณ์ความรู้สึกของเจี่ยงหลานตอนนี้เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ จนสะกดมาดผู้หญิงปากร้ายของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เธอไม่สนใจที่มาของคฤหาสน์ใจกลางภูเขานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความเธอมีหน้ามีตาท่ามกลางญาติพี่น้องในตระกูลซู และต่อหน้าเพื่อนนักเรียนเก่าอย่างถังเฉิงเย่ พอเห็นสีหน้าของซูกั๋วเย่า ถังเฉิงเย่ และคนอื่น ๆ เจี่ยงหลานก็ยิ้มกว้างจนหน้าย่นไปหมด “ทุกคนอย่ามัวตกตะลึง รีบมาชื่นชมบ้านหลังใหม่ของฉันสิ” เจี่ยงหลานเน้นคำว่าของฉัน สองคำนี้ให้ชัดเจนเป็นพิเศษ ทั้งเน้นเสียงหนักและทำสีหน้าโอ้อวด แม้ในใจถังเฉิงเย่จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็สงสัยว่าคฤหาสน์มูลค่ากว่าแปดสิบล้านนั้นน่าตาเป็นอย่างไร ถึงจะรู้ว่าต้องเสียหน้า แต่ก็จะเข้าไปดู ญาติ ๆ ของตระกูลซูต่างรู้สึกเช่นเดียวกัน คฤหาสน์ใจกลางภูเขาที่ได้แต่มองอยู่ไกล ๆ ไม่อาจเข้าใกล้ได้ ตอนนี้มีโอกาสได้เข้าไปแล้วพวกเขาจะพลาดได้อย่างไร ซูไห่เฉาและซูอี้หานเดินรั้งท้ายในกลุ่ม “ไห่เฉา นี่มันเกิดอะไรขึ้น ซูหยิงเซี่ยจะมีปัญญาซื้อคฤหาสน์ที่นี่ได้ยังไง” ซูอี้หานรู้สึกไม่อยากยอมรับ แม้แต่ตัวเธอยังไม่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในสถานที่หรูหราเช่นนี้ แล้วซูหยิงเซี่ยมีสิทธ
หลังจากเยี่ยมชมบ้านเสร็จแล้ว พวกเขาก็นั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น การเยินยอของเพื่อนนักเรียนเก่าทำให้เจี่ยงหลานหัวเราะจนตัวสั่น แต่สีหน้าท่าทางของคนในตระกูลซูกลับไม่รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เดิมทีเธอเคยอยู่ในระดับล่างสุดในตระกูลซู แต่ตอนนี้กลับได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่ดีที่สุด ก็เหมือนกับกำลังนั่งอยู่บนหัวของทุกคน “กั๋วเย่า คฤหาสน์หลังนี้นายเป็นคนซื้อเองเหรอ?” ซูกั๋วหลินเอ่ยถาม เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คฤหาสน์หลังนี้ถูกประมูลไปนี่นา แล้วมันมาตกอยู่ในมือของซูกั๋วเย่าได้อย่างไร ซูกั๋วเย่าไม่รู้ว่าคฤหาสน์นี้มาได้อย่างไร แต่ทันใดนั้นเจี่ยงหลานก็ชิงพูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ คฤหาสน์หลังนี้เราใช้เงินออมซื้อมา มีปัญหาอะไรเหรอ? หรือว่าฉันต้องแจกแจงรายการทรัพย์สินให้คุณดูด้วย?” “น้าหลาน ฐานะครอบครัวของพวกคุณเป็นอย่างไร คิดว่าพวกเราจะไม่รู้เหรอครับ? คุณมีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซูไห่เฉาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นี่นายกำลังดูถูกกันนี่นา” เจี่ยงหลานเหลือบมองหานซานเฉียน เรื่องนี้จะให้เขาได้หน้าไม่ได้ และถึงจะพูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี แต่การจะหาเหตุผลที่ทำให้คนอื่นเชื่อนั้นก็ไม่ง
เหตุผลที่ไม่มีใครสงสัยเรื่องแต่งของเจี่ยงหลานเพราะว่าเวลานั้นเหมาะเจาะ หานซานเฉียนกับซูหยิงเซี่ยเพิ่งจะแต่งงานกันครบสามปี และพวกเขาก็ซื้อรถยนต์ ซื้อบ้านใหม่ทันที จึงไม่มีใครจับพิรุธของเธอได้ หนึ่งร้อยล้าน! สามคำนี้กลายเป็นความเจ็บปวดในใจของญาติพี่น้องตระกูลซู พวกเขามองไปที่หานซานเฉียน อยากให้หานซานเฉียนเป็นลูกเขยของตัวเองเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ไอ้เศษสวะคนหนึ่งแต่ในตัวมีเงินร้อยล้าน พวกเขาก็จะรับเศษสวะนี้ไว้เอง เมื่อนึกถึงการดูถูกซูกั๋วเย่าและการเยาะเย้ยซูหยิงเซี่ยตลอดสามปีที่ผ่านมา ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาจะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ไม่ระเบิดออกมา ที่แท้ก็เพราะว่ามีเงินหนึ่งร้อยล้านซ่อนอยู่ในกระเป๋านี่เอง “น่าเสียดายที่คุณแม่ไม่ได้มา ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะต้องดีใจมากแน่นอน เดิมทีพวกเราสามารถใช้ชีวิตที่มีความสุขได้ด้วยเงินหนึ่งร้อยล้าน แต่เห็นแก่คุณแม่ พวกเราจึงปรึกษากันว่าจะซื้อคฤหาสน์ใจกลางภูเขานี้ เฮ้อ…” เจี่ยงหลานถอนหายใจ เธอพูดเป็นนัยแฝงไว้อย่างชัดเจน ซูกั๋วหลินปฏิเสธแทนหญิงชรา ดังนั้นความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เขาไปโดยปริยาย ในใจของซูกั๋วหลินยังไม่อยากยอมรับ แม้
“จากที่เจี่ยงหลานพูด หานซานเฉียนแต่งงานเข้ามาเมื่อสามปีก่อน คุณพ่อต้องการชดเชยให้ซูหยิ่งเซี่ย ดังนั้นจึงแอบให้เงินหนึ่งร้อยล้านแก่ซูกั๋วเย่าเป็นการส่วนตัวครับ แต่คุณพ่อมีกฎระบุไว้ว่า เงินหนึ่งร้อยล้านนี้จะสามารถใช้ได้ในอีกสามปีข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ก็เวลาที่เหมาะสมไม่น่าครับ” ซูกั๋วหลินอธิบาย ตาเฒ่าให้เงินซูหยิงเซี่ยหนึ่งร้อยล้าน! ปฏิกิริยาแรกของหญิงชราคือมันเป็นไปไม่ได้ เธอรู้ดีว่าตระกูลซูมีเงินมากน้อยแค่ไหน เมื่อก่อนเพื่อไม่ให้ตาเฒ่านำไปเลี้ยงดูเมียน้อย เธอจะตรวจสอบเงินทุกหยวนในบริษัทด้วยตัวเอง แล้วจะปล่อยให้เขามีเงินส่วนตัวตั้งหนึ่งร้อยล้านได้อย่างไร? แต่ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนให้ ซูกั๋วเย่าจะเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน! หญิงชราตัดสินใจว่าต้องคุยกับซูกั๋วเย่าต่อหน้าให้รู้เรื่องจึงกล่าวว่า “ฉันจะไปที่คฤหาสน์เดี๋ยวนี้” หลังจากวางสาย ซูกั๋วหลินได้กลับไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วพูดกับเจี่ยงหลานว่า “เดี๋ยวคุณแม่จะมาที่นี่ ท่านต้องการตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจี่ยงหลานยังคงมีท่าทีสงบ ชายชราเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ เธอพูดอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต่อให้หญิงชรามา