อารมณ์ความรู้สึกของเจี่ยงหลานตอนนี้เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ จนสะกดมาดผู้หญิงปากร้ายของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เธอไม่สนใจที่มาของคฤหาสน์ใจกลางภูเขานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความเธอมีหน้ามีตาท่ามกลางญาติพี่น้องในตระกูลซู และต่อหน้าเพื่อนนักเรียนเก่าอย่างถังเฉิงเย่ พอเห็นสีหน้าของซูกั๋วเย่า ถังเฉิงเย่ และคนอื่น ๆ เจี่ยงหลานก็ยิ้มกว้างจนหน้าย่นไปหมด “ทุกคนอย่ามัวตกตะลึง รีบมาชื่นชมบ้านหลังใหม่ของฉันสิ” เจี่ยงหลานเน้นคำว่าของฉัน สองคำนี้ให้ชัดเจนเป็นพิเศษ ทั้งเน้นเสียงหนักและทำสีหน้าโอ้อวด แม้ในใจถังเฉิงเย่จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็สงสัยว่าคฤหาสน์มูลค่ากว่าแปดสิบล้านนั้นน่าตาเป็นอย่างไร ถึงจะรู้ว่าต้องเสียหน้า แต่ก็จะเข้าไปดู ญาติ ๆ ของตระกูลซูต่างรู้สึกเช่นเดียวกัน คฤหาสน์ใจกลางภูเขาที่ได้แต่มองอยู่ไกล ๆ ไม่อาจเข้าใกล้ได้ ตอนนี้มีโอกาสได้เข้าไปแล้วพวกเขาจะพลาดได้อย่างไร ซูไห่เฉาและซูอี้หานเดินรั้งท้ายในกลุ่ม “ไห่เฉา นี่มันเกิดอะไรขึ้น ซูหยิงเซี่ยจะมีปัญญาซื้อคฤหาสน์ที่นี่ได้ยังไง” ซูอี้หานรู้สึกไม่อยากยอมรับ แม้แต่ตัวเธอยังไม่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในสถานที่หรูหราเช่นนี้ แล้วซูหยิงเซี่ยมีสิทธ
หลังจากเยี่ยมชมบ้านเสร็จแล้ว พวกเขาก็นั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น การเยินยอของเพื่อนนักเรียนเก่าทำให้เจี่ยงหลานหัวเราะจนตัวสั่น แต่สีหน้าท่าทางของคนในตระกูลซูกลับไม่รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เดิมทีเธอเคยอยู่ในระดับล่างสุดในตระกูลซู แต่ตอนนี้กลับได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่ดีที่สุด ก็เหมือนกับกำลังนั่งอยู่บนหัวของทุกคน “กั๋วเย่า คฤหาสน์หลังนี้นายเป็นคนซื้อเองเหรอ?” ซูกั๋วหลินเอ่ยถาม เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คฤหาสน์หลังนี้ถูกประมูลไปนี่นา แล้วมันมาตกอยู่ในมือของซูกั๋วเย่าได้อย่างไร ซูกั๋วเย่าไม่รู้ว่าคฤหาสน์นี้มาได้อย่างไร แต่ทันใดนั้นเจี่ยงหลานก็ชิงพูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ คฤหาสน์หลังนี้เราใช้เงินออมซื้อมา มีปัญหาอะไรเหรอ? หรือว่าฉันต้องแจกแจงรายการทรัพย์สินให้คุณดูด้วย?” “น้าหลาน ฐานะครอบครัวของพวกคุณเป็นอย่างไร คิดว่าพวกเราจะไม่รู้เหรอครับ? คุณมีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซูไห่เฉาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นี่นายกำลังดูถูกกันนี่นา” เจี่ยงหลานเหลือบมองหานซานเฉียน เรื่องนี้จะให้เขาได้หน้าไม่ได้ และถึงจะพูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี แต่การจะหาเหตุผลที่ทำให้คนอื่นเชื่อนั้นก็ไม่ง
เหตุผลที่ไม่มีใครสงสัยเรื่องแต่งของเจี่ยงหลานเพราะว่าเวลานั้นเหมาะเจาะ หานซานเฉียนกับซูหยิงเซี่ยเพิ่งจะแต่งงานกันครบสามปี และพวกเขาก็ซื้อรถยนต์ ซื้อบ้านใหม่ทันที จึงไม่มีใครจับพิรุธของเธอได้ หนึ่งร้อยล้าน! สามคำนี้กลายเป็นความเจ็บปวดในใจของญาติพี่น้องตระกูลซู พวกเขามองไปที่หานซานเฉียน อยากให้หานซานเฉียนเป็นลูกเขยของตัวเองเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ไอ้เศษสวะคนหนึ่งแต่ในตัวมีเงินร้อยล้าน พวกเขาก็จะรับเศษสวะนี้ไว้เอง เมื่อนึกถึงการดูถูกซูกั๋วเย่าและการเยาะเย้ยซูหยิงเซี่ยตลอดสามปีที่ผ่านมา ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาจะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ไม่ระเบิดออกมา ที่แท้ก็เพราะว่ามีเงินหนึ่งร้อยล้านซ่อนอยู่ในกระเป๋านี่เอง “น่าเสียดายที่คุณแม่ไม่ได้มา ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะต้องดีใจมากแน่นอน เดิมทีพวกเราสามารถใช้ชีวิตที่มีความสุขได้ด้วยเงินหนึ่งร้อยล้าน แต่เห็นแก่คุณแม่ พวกเราจึงปรึกษากันว่าจะซื้อคฤหาสน์ใจกลางภูเขานี้ เฮ้อ…” เจี่ยงหลานถอนหายใจ เธอพูดเป็นนัยแฝงไว้อย่างชัดเจน ซูกั๋วหลินปฏิเสธแทนหญิงชรา ดังนั้นความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เขาไปโดยปริยาย ในใจของซูกั๋วหลินยังไม่อยากยอมรับ แม้
“จากที่เจี่ยงหลานพูด หานซานเฉียนแต่งงานเข้ามาเมื่อสามปีก่อน คุณพ่อต้องการชดเชยให้ซูหยิ่งเซี่ย ดังนั้นจึงแอบให้เงินหนึ่งร้อยล้านแก่ซูกั๋วเย่าเป็นการส่วนตัวครับ แต่คุณพ่อมีกฎระบุไว้ว่า เงินหนึ่งร้อยล้านนี้จะสามารถใช้ได้ในอีกสามปีข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ก็เวลาที่เหมาะสมไม่น่าครับ” ซูกั๋วหลินอธิบาย ตาเฒ่าให้เงินซูหยิงเซี่ยหนึ่งร้อยล้าน! ปฏิกิริยาแรกของหญิงชราคือมันเป็นไปไม่ได้ เธอรู้ดีว่าตระกูลซูมีเงินมากน้อยแค่ไหน เมื่อก่อนเพื่อไม่ให้ตาเฒ่านำไปเลี้ยงดูเมียน้อย เธอจะตรวจสอบเงินทุกหยวนในบริษัทด้วยตัวเอง แล้วจะปล่อยให้เขามีเงินส่วนตัวตั้งหนึ่งร้อยล้านได้อย่างไร? แต่ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนให้ ซูกั๋วเย่าจะเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน! หญิงชราตัดสินใจว่าต้องคุยกับซูกั๋วเย่าต่อหน้าให้รู้เรื่องจึงกล่าวว่า “ฉันจะไปที่คฤหาสน์เดี๋ยวนี้” หลังจากวางสาย ซูกั๋วหลินได้กลับไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วพูดกับเจี่ยงหลานว่า “เดี๋ยวคุณแม่จะมาที่นี่ ท่านต้องการตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจี่ยงหลานยังคงมีท่าทีสงบ ชายชราเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ เธอพูดอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต่อให้หญิงชรามา
เมื่อมาถึงเชิงเขา หญิงชราก็บอกให้หานซานเฉียนปล่อยเธอลง พลางมองดูคฤหาสน์อันหรูหราที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น นี่คือสถานที่ที่แสดงถึงสถานะในเมืองหยุนเฉิง เดิมทีหญิงชราคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงจะพาตระกูลซูไปได้มากที่สุดแค่เชิงเขาเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีสิทธิ์เข้ามาถึงที่นี่ “ตาเฒ่า ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าจะตำหนิคุณ หรือว่าขอบคุณคุณดี หากไม่มีคุณ ชั่วชีวิตนี้ฉันก็คงไม่ได้มาที่นี่ แต่ทำไมคุณต้องให้เงินกับซูกั๋วเย่าด้วย?” หญิงชราพูดออกมาต่อหน้าซูหยิงเซี่ยโดยไม่ปิดบังใด ๆ ทำให้รูัว่าครอบครัวของซูกั๋วเย่านั้นไม่มีตัวตนในหัวใจของเธอสักนิดเดียว ซูหยิงเซี่ยมีสีหน้าขุ่นเคือง เธอชำเลืองมองหานซานเฉียนอย่างทำอะไรไม่ถูก หลังจากที่หญิงชราเดินมาถึงคฤหาสน์แล้ว เสียงพูดคุยจอแจในห้องนั่งเล่นก็เงียบลงทันที บรรดาญาติพี่น้องของตระกูลซูก็ลุกขึ้นจากโซฟา ซูไห่เฉาวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหาหญิงชราอย่างคล่องแคล่วและพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณย่าครับ คุณย่าคงจะเหนื่อยใช่ไหม รีบนั่งพักก่อนครับ” เมื่อหานซานเฉียนเห็นภาพนี้ สายตาก็เต็มไปด้วยความเย็นชา ในตระกูลหานก็มีคนแบบนี้เหมือนกัน เป็นเพราะความปากหวานของเขา หานซ
ภายในคฤหาสน์ หญิงชราดูผิวเผินเหมือนคลื่นลมสงบ แต่ในความเป็นจริงคลื่นใต้น้ำภายในใจกำลังพรั่งพรู ต้องใช้เวลานานในการสงบสติอารมณ์ “กั๋วเย่า เรื่องราวเป็นมายังไงเล่ามาให้ละเอียด” หญิงชราเอ่ยถามซูกั๋วเย่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจี่ยงหลานกุขึ้นมา เธอกังวลว่าซูกั๋วเย่าจะพลั้งปากหลุดพิรุธอะไรออกมา พอกำลังจะเอ่ยปากพูดก็ถูกหญิงชราถลึงตาใส่ “ฉันไม่ได้ถามเธอ เธอมีสิทธิ์พูดเหรอ?” คำพูดของหญิงชราทำให้เจี่ยงหลานหุบปากทันที ซูกั๋วเย่าเห็นเรื่องราวดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขาจึงพูดขึ้นว่า “แม่ครับ พ่อให้เงินผมหนึ่งร้อยล้านจริง ๆ พ่อกังวลว่าหานซานเฉียนจะไม่เอาไหน จึงให้เงินชดเชยกับซูหยิงเซี่ย เรื่องนี้ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย เขาแค่ต้องการให้พวกเรามีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้นครับ” “เป็นห่วงงั้นเหรอ? หานซานเฉียนเป็นคนไม่มีอนาคตคือความจริง ยังต้องเป็นห่วงอีกเหรอ? ฉันว่าแกใส่ยาให้คุณพ่อกินมากกว่า” ซูกั๋วหลินกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ใช่แน่นอน เรื่องนี้พ่อเป็นคนมาหาผมเอง อีกอย่าง มันก็เป็นเงินจำนวนมหาศาล ถ้าเขาไม่ให้ผม แล้วผมจะขโมยมันมาได้เหรอ” ซูกั๋วเย่ากล่าว ซูกั๋วหลินไม่สามารถหาคำใดมาโต้แย้งได้
คำพูดของหานซานเฉียนทำให้ทั้งคฤหาสน์เงียบสงัดลงทันที จนสามารถได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก มีสิทธิ์อะไรอย่างนั้นเหรอ ลูกเขยแต่งงานเข้าบ้านอย่างเขา กล้าถามได้อย่างไรว่าหญิงชรามีสิทธิ์อะไรที่จะเข้ามาอยู่อาศัยที่นี่! ซูกั๋วเย่ามองไปที่หานซานเฉียนอย่างขวัญหนีดีฝ่อ เขาพูดคำนี้ออกมาได้อย่างไร ถ้าทำให้หญิงชราโกรธ อนาคตของซูหยิงเซี่ยคงจะพังพินาศแน่ “หานซานเฉียน แกหุบปาก แกไม่มีสิทธิ์มาพูดอะไรที่นี่” ซูกั๋วเย่าพูดอย่างโกรธเคือง แม้ว่าเจี่ยงหลานจะรู้สึกแปลกใจ แต่เธอก็ค่อนข้างพอใจในท่าทีแข็งกร้าวของหานซานเฉียน อันที่จริงเธอก็ไม่ต้องแบกรับผลที่จะตามมาในภายหลัง ไม่ว่าหานซานเฉียนจะโวยวายอย่างไรก็ได้ ขอแค่อย่าให้หญิงชราเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ก็พอ “หานซานเฉียน วันนี้แกกินยาผิดรึไง? เงินนี้คุณปู่เป็นคนให้มา คุณย่าจะเข้ามาอยู่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว คนเกาะเมียกินอย่างแกต่างหากที่ควรไสหัวออกไป” ซูไห่เฉากล่าว “ใช่ แกต่างหากที่ควรออกไป คุณย่าเป็นผู้นำตระกูลซู มันเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ท่านจะอยู่ที่นี่” ซูอี้หานไม่อาจยอมรับได้ว่า ซูหยิงเซี่ยจะชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเธอ แต่เมื่อหานซานเฉียนออกมารนห
แต่พอกำลังจะพูด เจี่ยงหลานก็รีบห้ามปากตัวเองไว้ทันที หานซานเฉียนเป็นคนซื้อคฤหาสน์หลังนี้มา ถ้าไล่หานซานเฉียนออกจากตระกูลซู แล้วเธอจะมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร? แม้ว่าทรัพย์สินของคู่สามีภรรยาจะสามารถแบ่งให้ซูหยิงเซี่ยได้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีหน้ามีตาเท่ากับการได้อยู่อาศัยในคฤหาสน์ใจกลางภูเขาอยู่ดี ดูท่าคงจะต้องหาวิธีทำให้หนังสือรับรองกรรมสิทธิ์คฤหาสน์หลังนี้เป็นชื่อของซูหยิงเซี่ยเท่านั้น จึงจะสามารถขับไล่หานซานเฉียนออกจากตระกูลซูได้ “คุณย่าคะ หนูไม่เห็นด้วยค่ะ” ซูหยิงเซี่ยยืนกรานหนักแน่น หญิงชราขบกรามจนแทบหัก สะบัดแขนเสื้อเดินหนีอย่างโกรธจัด ญาติพี่น้องทั้งหมดของตระกูลซูก็ตามหญิงชราออกไปจากคฤหาสน์ “คุณย่าครับ ซูหยิงเซี่ยไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด ผมเคยบอกตั้งนานแล้วว่าหานซานเฉียนมีความคิดจะเอาทรัพย์สินของตระกูลซูไป ดูจากท่าทีของซูหยิงเซี่ยในตอนนี้ ต่อไปตระกูลซูของเราคงจะไม่ตกไปอยู่ในมือของคนนอกคนนี้หรอกนะครับ” ซูไห่เฉาพูดกับหญิงชราที่อยู่ข้าง ๆ “ซูหยิงเซี่ยไม่มีทางได้เป็นประธานบริษัท รีบติดต่อจงเหลียงให้ย่าเดี๋ยวนี้" หญิงชรากล่าว ซูไห่เฉารู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที