เยี่ยนเว่ยฉือมองไปที่ผิงอี้โหวเยี่ยนหานซาน แล้วกล่าวต่อ "หม่อมฉันขอร้องให้องค์รัชทายาท ส่งคนไปเฝ้าจวนโหวอย่างลับ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจับตาดูเยี่ยนชิงซู ว่านางมีท่าทีจะหลบหนีหรือไม่ แต่หม่อมฉันคาดไม่ถึง เยี่ยนชิงซูไม่มีท่าทีผิดปกติใด ๆ แต่เป็นฮูหยินผิงอี้โหว หรือก็คือท่านหญิงหมิงหยางที่มีพิรุธเพคะ""หมิงหยาง?" อ๋องจ่างซิ่นขมวดคิ้วตวาด "เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหมิงหยาง?"เยี่ยนหานซานก็ขมวดคิ้ว "เว่ยฉือ อย่าพูดจาพล่อย ๆ ท่านหญิงหมิงหยางเป็นมารดาบุญธรรมของเจ้า เจ้าจะกล่าวหาลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานได้อย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มเย็น "ทั้งสองท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ฟังข้าพูดให้จบก่อน""ถูกต้อง เจ้าพูดให้ชัดเจน คัมภีร์ลับสวรรค์ไร้อักษรนี้ ได้มาอย่างไรกันแน่?" อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นรีบถามเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ "พวกเราสั่งให้คนเฝ้าประตูหน้าหลังของจวนผิงอี้โหว เมื่อไม่กี่วันก่อน ก็พบว่าท่านหญิงหมิงหยางที่ควรจะนอนหลับพักผ่อน กลับแอบออกจากจวนในยามค่ำคืน นางพาบุรุษผู้หนึ่งไปยังโรงเตี๊ยมที่เพิ่งเปิดใหม่ในเมืองหลวง ที่มีชื่อว่าหอวสันต์อนันตกาล"อะไรนะ?!ทุกคนเบิกตากว้างขึ้นท
เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มบาง ๆ พูดอย่างไม่ใส่ใจ "ที่ท่านพ่อพูดก็ถูก พวกเราเพียงแต่เก็บสิ่งนี้ได้จากที่ที่ท่านหญิงหมิงหยางหกล้ม จะเป็นนางขโมย หรือบุรุษที่อยู่ข้างกายนางขโมย เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่ชัด"เยี่ยนเว่ยฉือมองไปที่ฮ่องเต้คังอู่แล้วกล่าวต่อ "แต่ว่าฝ่าบาทเพคะ ก่อนหน้านี้เยี่ยนชิงซูสองมือขึ้นผื่นแดง หลังจากนั้นท่านหญิงหมิงหยางก็ลอบพบชายอื่นในยามวิกาล ทั้งยังทำสิ่งนี้ตกไว้อีก เรื่องนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไม่ชอบมาพากล อีกทั้งถึงแม้หม่อมฉันจะไม่ได้ทดสอบคนจำนวนมากเท่าท่านหญิงอิ๋นตาง แต่หม่อมฉันก็พบสิ่งที่ทุกคนสนใจมากที่สุด เช่นนั้นการประลองรอบที่สามนี้ หม่อมฉันก็ควรจะเป็นผู้ชนะมิใช่หรือเพคะ?"ฮ่องเต้คังอู่พยักหน้า "ถูกต้อง เรื่องของท่านหญิงหมิงหยาง ยังต้องสืบสวนอย่างละเอียด แต่เจ้าสามารถหาคัมภีร์ลับสวรรค์ไร้อักษรพบ เจ้าย่อมเป็นผู้ชนะ!""เดี๋ยวสิ!" หานอวี่เฟยไม่พอใจ นางขมวดคิ้วกล่าวว่า "ฝ่าบาท อย่าทรงเชื่อคำพูดของนางง่าย ๆ สิเพคะ หากว่าเป็นคัมภีร์ลับสวรรค์ไร้อักษรจริง นางจะนำออกมาง่ายดายเช่นนี้หรือเพคะ?"เยี่ยนเว่ยฉือหัวเราะเยาะ "ฟังจากที่ท่านหญิงอิ๋นตางพูด หากเป็นจวนอ๋องจ่างซิ่นที่พบสิ่งนี
อวี๋เฟยเหยียนรูม่านตาหดเล็กลง สูดลมหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัวซ่างกวนซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า หรือว่าพวกเขาจะยกหินขึ้นมาทุบเท้าตัวเอง?อ๋องจ่างซิ่นที่อยู่ด้านข้าง ไม่รอให้เยี่ยนเว่ยฉือตอบก็เอ่ยขึ้นทันที "ใครก็ได้ ยกกระถางไฟมา!"ขันทีน้อยที่อยู่ด้านนอกเงยหน้ามองเต๋อซ่วนกงกง เต๋อซ่วนกงกงก็มองไปที่ฝ่าบาทฮ่องเต้คังอู่ก็กังวลอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียด จวนรัชทายาทสามารถได้กล่องไม้นี้มาได้ ก็จะต้องได้คัมภีร์ลับสวรรค์ไร้อักษรมาด้วยตอนนี้ก็มีแต่ความจริงเท็จของคัมภีร์ลับสวรรค์นี้เท่านั้นที่ยังไม่แน่ชัดหากข้างในเป็นของจริงก็จะพิสูจน์ได้ว่าซ่างกวนซีไม่มีจิตคิดคดต่อเขาผู้เป็นบิดาหากเป็นของปลอม...นั่นก็หมายความว่า ซ่างกวนซีก็ไม่ต่างไปจากเหล่าองค์ชายคนอื่น ๆ ที่หมายปองบัลลังก์ของเขาฮ่องเต้คังอู่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเห็นชอบครู่ต่อมา ขันทีน้อยสองคนก็ยกกระถางไฟเข้ามาท่านหญิงอิ๋นตางหานอวี่เฟยหัวเราะเยาะ "เยี่ยนเว่ยฉือ ยังมัวลังเลอะไรอีก โยนเข้าไปทดสอบสิ!"อวี๋เฟยเหยียนเห็นดังนั้นก็รีบกล่าวว่า "นี่...นี่ไม่ดีกระมัง? เกิดไหม้ไปจะทำอย่างไร? ของล้ำค่าเช่นนี้ หากไหม้ไป
เสียงดัง ‘ฟู่ว’ น้ำหนึ่งอ่างถูกสาดดับไฟในกระถางอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นและอวี้ฉืออวิ๋นจ้าว รวมถึงอ๋องจ่างซิ่นและอันกั๋วกง ต่างก็ยื่นมือไปทางแผ่นไม้ไผ่ในกระถางโดยมิได้นัดหมายทว่ามีคนผู้หนึ่ง เร็วกว่าทุกคนเมื่อทุกคนได้สติกลับคืนมาก็พบว่าสิ่งนั้นอยู่ในมือของซ่างกวนซีแล้วอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเห็นซ่างกวนซีแย่งแผ่นไม้ไผ่ไป ก็ขมวดคิ้วถาม "องค์รัชทายาท นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?"ซ่างกวนซีหมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ? เขาเพียงแค่อยากจะดูว่าสิ่งนี้ ใช่สิ่งเดียวกับที่พวกเขาปลอมแปลงเมื่อคืนหรือไม่ไม่ได้มีเจตนาจะยึดเป็นของตนเองอย่างไรก็ตาม เมื่ออวี้ฉืออวิ๋นจ้าวถามแล้ว เขาจึงตอบกลับไปว่า "ในเมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งนี้เป็นของจริง เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าชายาของข้ามิได้โกหก การประลองรอบที่สามนี้ พวกเราชนะแล้วใช่หรือไม่?"อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ซ่างกวนซีก็สนใจเรื่องนี้ ไม่ได้คิดจะแย่งชิงคัมภีร์ลับสวรรค์อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวฝืนยิ้มออกมา "แน่นอน ฝ่าบาท โจทย์ข้อที่สามนี้เป็นกระหม่อมที่ออกโจทย์ เช่นนั้นให้กระหม่อมเป็นคนประกาศผลการประลองได้หรือไม่?"ฮ่องเต้คังอู่ไม่มีความเห็น พยักหน้าเล็กน้
ดังที่ซ่างกวนซีและคนอื่น ๆ ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวคิดว่าฮวาอวี๋ค้นพบแผนการร้ายของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงใส่ร้ายป้ายสีฮวาอวี๋ด้วยข้อหาขุดสุสานสถานการณ์ในตอนนี้คือต้องการฆ่าปิดปากเพื่อปกปิดความจริงอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวกล่าวอย่างตึงเครียดและร้อนรน "ท่านชายอวี๋พูดถูกแล้ว ท่านโหวเยี่ยน ดูเหมือนว่าจะต้องเชิญฮูหยินของท่านมาสอบถามเสียหน่อยแล้ว"เยี่ยนหานซานรู้สึกสับสน ไม่รู้จะคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร ในขณะนั้นเอง เยี่ยนชิงซูวิ่งเข้ามาจากประตูอย่างร้อนรนนางกล่าวอย่างร้อนรนว่า "ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่มีทางไปขุดสุสานได้ ท่านแม่ไม่เคยออกจากจวนโหวเลย อีกอย่างข้าก็ไม่เคยแตะต้องปิ่นหางหงส์ ดูสิเจ้าคะ ลูกเพิ่งสระผมมา ยังไม่มีอาการผมร่วงเลย!""ถูกต้อง ถูกต้อง!" เยี่ยนหานซานคว้าประเด็นนี้ไว้ กล่าวแก้ต่างอย่างเร่งรีบ "ฝ่าบาททรงโปรดพิจารณา บุตรสาวของกระหม่อมไม่มีอาการผมร่วง ก่อนหน้านี้ทูตจากเป่ยอิ้นกล่าวว่า หญิงสาวที่อยู่กับฮวาอวี๋ในวันนั้นสวมปิ่นหางหงส์ทองคำบนศีรษะ แต่บุตรสาวของกระหม่อมไม่มีอาการผมร่วง แสดงว่าไม่เคยสวมปิ่นหางหงส์ ย่อมไม่ใช่คนที่อยู่กับฮวาอวี๋!"อวี๋เฟยเหยียนหัวเราะเยาะ "ผ
ทุกคนรออยู่เกือบครึ่งชั่วยาม ท่านหญิงหมิงหยางจึงมาถึงอย่างล่าช้าเมื่อเข้ามาในตำหนักเก้ามังกร ท่านหญิงหมิงหยางยังคงมีสีหน้าสับสน เพราะขันทีที่ไปตามตัวไม่ได้แจ้งรายละเอียด ซึ่งเป็นกฎของวังดังนั้นเมื่อท่านหญิงหมิงหยางเห็นพี่ชาย สามี บุตรสาว บุตรสาวนอกสมรส และคณะทูตจากเป่ยอิ้นอยู่พร้อมหน้ากัน จึงอดรู้สึกกระวนกระวายใจไม่ได้นางก้าวเดินเข้าไปข้างหน้า "หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท"ฮ่องเต้คังอู่พยักหน้า "หมิงหยาง ลุกขึ้นพูดเถิด"ท่านหญิงหมิงหยางหันไปมองสามีของนาง ใช้สายตาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่เยี่ยนหานซานกลับมีสีหน้าบึ้งตึง หลบสายตาท่านหญิงหมิงหยางดังนั้นแล้ว จึงทำให้ท่านหญิงหมิงหยางยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจฮ่องเต้คังอู่ตรัสต่อ "หมิงหยาง ข้าขอถามเจ้า คืนวันที่เจ็ดเดือนห้า เจ้าอยู่ที่ใด?"วันที่เจ็ดเดือนห้า? นั่นมิใช่วันที่นางนัดกับลู่อู๋หรอกหรือ?ท่านหญิงหมิงหยางใจเต้นแรง แต่ภายนอกกลับตอบอย่างสงบนิ่ง "ทูลฝ่าบาท พระองค์ทรงถามเรื่องนี้อย่างกะทันหัน หม่อมฉันนึกไม่ออกจริง ๆ แต่หม่อมฉันไม่ค่อยได้ออกไปที่ใด และที่พระองค์ตรัสถึงคือตอนกลางคืน หม่อมฉันต้องอยู่ที่จวนโหวแน่นอนเพคะ"เยี่ยนช
ในขณะที่อ๋องจ่างซิ่นกำลังจะหาเรื่องซักไซ้เยี่ยนเว่ยฉืออีกครั้ง เยี่ยนเว่ยฉือก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสียก่อน กล่าวต่อว่า "แต่ข้ามีคำให้การ""คำให้การ? คำให้การของผู้ใด?" อ๋องจ่างซิ่นซักต่อเยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่ชุนหลาน สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังท่านหญิงหมิงหยาง แล้วกล่าวต่อ "นาง! นางชื่อชุนหลาน เป็นสาวใช้คนสนิทที่คอยรับใช้ท่านหญิงหมิงหยาง เรื่องที่ว่าท่านหญิงหมิงหยางได้ออกจากจวนโหวในยามดึกของวันที่เจ็ดเดือนห้าหรือไม่นั้น นางย่อมรู้ดีกว่าใคร""ชุนหลาน?!" ท่านหญิงหมิงหยางหันไปมองนางด้วยความตกใจชุนหลานตกใจจนทำอะไรไม่ถูก คุกเข่าลงกับพื้นทันที ส่ายหน้าโบกมืออย่างรวดเร็ว "ไม่เพคะ ไม่เพคะ ไม่เพคะ บ่าวมิได้พูดอะไรเลยนะเพคะ!"หากนางไม่กล่าวอันใดเสียยังจะดีกว่า แต่เมื่อนางหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ทั้งยังพูดจาเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้คนรอบข้างขมวดคิ้วมิได้พูดอะไรเลย หมายความว่าอย่างไร? หรือว่ามีเรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ถูกนางเก็บซ่อนไว้ในใจ?ท่านหญิงหมิงหยางเห็นสีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ก็อดไม่ได้ที่จะด่าชุนหลานในใจว่าโง่เขลาแต่นางก็ไม่สามารถลงโทษสาวใช้ของตนเองในเวลานี้ได้ท่านหญิงหมิงหยางหันไปมองเยี่ยนเว่
"เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้าอย่ามาทำเป็นลึกลับ ใครจะรู้ว่าในมือเจ้าคือยาอะไรกันแน่ เกิดกินเข้าไปแล้วคนตาย เจ้าจะชดใช้ด้วยชีวิตหรือไม่?" ท่านหญิงหมิงหยางเอ่ยถามเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มแล้วตอบว่า "เรื่องนี้ข้าไม่กล้ารับปากท่าน กินของสิ่งนี้เข้าไปแล้ว หากพูดความจริง ก็จะไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่หากพูดโกหก ก็ไม่แน่ ถึงตอนนั้นนางตายเพราะพูดโกหก ข้ายังต้องเอาชีวิตตัวเองไปชดใช้ให้นางอีกหรือ? เช่นนั้นข้าคงเปลืองตัวไปหน่อยกระมัง?"ท่านหญิงหมิงหยางแค่นเสียง "หึ หากเจ้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าสิ่งนี้ปลอดภัย ก็ไม่ควรให้ใครกินสุ่มสี่สุ่มห้า จะเอาชีวิตคนมาล้อเล่นได้อย่างไร!"อ๋องจ่างซิ่นรีบเสริม "ถูกแล้ว ฝ่าบาท แม้จะเป็นชีวิตของนางรับใช้ ก็ถือว่าเป็นชีวิต สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ยาใด ๆ ล้วนมีพิษ หากกินแล้วตาย เช่นนั้นมิใช่การฆ่าคนโดยประมาทหรอกหรือ!"ฮ่องเต้คังอู่พยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของอ๋องจ่างซิ่นเยี่ยนเว่ยฉือเห็นดังนั้นจึงเอ่ยว่า "โอ้ ท่านอ๋องช่างมีจิตใจเมตตาเสียจริง เช่นนั้นเอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ ข้าจะแบ่งยาเม็ดนี้ออกเป็นสองส่วน ข้ากับนางจะกินด้วยกัน เช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่ายานี
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ