“ช่วย...” ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตะโกนขอความช่วยเหลือจนจบประโยค ซ่างกวนซีก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเอง”ฉินเซียงหรูถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนัก เขาจับกรอบประตูด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างมือตบหน้าอกของตัวเอง “องค์รัชทายาท หลอกกันเช่นนี้ ถึงตายได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งสูญเสียชีวิตสามปีให้กับท่าน ไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่นะพ่ะย่ะค่ะ! เฮ้อ!”ซ่างกวนซีขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”ฉินเซียงหรูที่เห็นคราบน้ำบนรองเท้าของซ่างกวนซีก็รู้ว่าเขายืนอยู่ในลานเป็นเวลานานจนเนื้อตัวของเขาเปื้อนน้ำค้างไปหมดแล้วฉินเซียงหรูเม้มปากเล็กน้อยแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาทไม่ต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อว่าราชกิจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“เรื่องราวยังไม่ชัดเจน ข้าไม่มีอารมณ์ไปเข้าเฝ้าหรอก!”ซ่างกวนซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมาฉินเซียงหรูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัน พลางขยับหลีกทางหลบไปข้าง ๆ แล้วพูดว่า “เช่นนั้น เชิญองค์รัชทายาทเข้ามาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ซ่างกวนซีเดินเข้าไปในห้องของฉินเซียงหรูฉินเซียงจุดตะเกียงน้ำมัน และจุดเตาเผาดินแดงขนาดเล็ก จากนั้นก็เริ่มต้มชาเมื่อเห็นเช่นนั้น ซ่างกวนซีก็พูดว่า “ไม่ต้องต้มชา
ซ่างกวนซีสะดุ้งเบา ๆ ขณะนั้นก็เข้าใจทันทีว่าฉินเซียงหรูหมายถึงอะไรที่แท้ฉินเซียงหรูก็รู้เจตนาของเขาอยู่แล้วฉินเซียงหรูต้องการบอกว่าการที่เขามีความรู้สึกต้องการอย่างแรงกล้ากับเยี่ยนเว่ยฉือในครั้งนี้ทำให้เกิดการกระตุ้นความร้อนภายในและสลายพิษเย็นไปได้ไม่แน่ว่าครั้งต่อไปอาจรู้สึกไม่เหมือนเดิมแม้จะมีครั้งต่อไป แต่ครั้งต่อไปที่ว่าก็อาจจะไม่มีความรู้สึกนั้นแล้วว่ากันตามตรง ล้วนเป็นเพราะยังไม่ได้สมหวัง เลยยิ่งโหยหามากขึ้นเรื่อย ๆแต่หากสำเร็จดั่งหวังไปแล้ว ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนั้นจะหายไปและหลงเหลือแต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือไม่?เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซ่างกวนซีก็รีบพูดว่า “ไม่มีทางหรอก!”ฉินเซียงหรูพูดอย่างขบขัน “ไม่มีทางอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ริมฝีปากของซ่างกวนซีขยับ แต่เขาพูดไม่ออก เขาหมายจะพูดว่าความสนใจที่เขามีให้เยี่ยนเว่ยฉือนั้นไม่มีทางลดน้อยลงแต่เหตุใดต้องบอกฉินเซียงหรูเรื่องนี้ด้วย หากจะพูดก็ควรพูดกับเยี่ยนเว่ยฉือสิเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินเซียงหรูก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท แม้ท่านจะมั่นใจว่าไม่มีทาง แต่ท่านก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของแม่นางเ
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองก็มาถึงแม่น้ำเสี่ยวเหลียงที่ค่อนข้างห่างไกลอีกครั้งวันนี้แตกต่างจากเมื่อวาน เพราะฉินเซียงหรูพบว่าเยี่ยนเว่ยฉือได้นำกระถางกำยานออกมาด้วยฉินเซียงหรูถามอย่างสงสัย “สิ่งนี้คืออะไรหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือตอบว่า “บริเวณริมน้ำนี้ยุงชุมนัก สิ่งนี้เอาไว้ไล่ยุงน่ะ”ฉินเซียงหรูค่อย ๆ สูดลมหายใจลึก พลางพยักหน้าแล้วพูดว่า “กลิ่นช่างสดชื่น ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะได้ปลากลับไปอย่างเต็มอิ่มอีกแล้ว!”ฉินเซียงหรูตกปลาอย่างเงียบ ๆ ส่วนเยี่ยนเว่ยฉือก็อ่านตำราแพทย์ที่นำติดตัวมาด้วยอย่างเงียบ ๆ เช่นกันบางครั้งที่ปลาติดเบ็ด เยี่ยนเว่ยฉือก็จะปรบมือและส่งเสียงไชโยโห่ร้องยกยออย่างเต็มที่ทั้งสองตกปลากันจนถึงตอนเย็นอีกครั้งสิ่งที่แตกต่างจากครั้งก่อนคือคราวนี้หลังจากข้องใส่ปลาเต็ม ฉินเซียงหรูไม่ได้รีบเก็บข้าวของเดินทางกลับ แต่ตะโกนไปทางป่าว่า “ชิงโจว ออกมาเอาของสิ!”ชิงโจว?เยี่ยนเว่ยฉือมองไปยังป่าด้วยความสับสน และแน่นอนว่าครู่ต่อมาชิงโจวก็ออกจากป่ามายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม“ขอทำความเคารพชายารัชทายาทและคารวะท่านหมอฉิน”ฉินเซียงวางมือเท้าเอวแล้วยิ้ม “โอ้ ข้าก็ว่าเห
เยี่ยนเว่ยฉือเข้าใจว่าฉินเซียงหรูต้องการบอกว่าการร่วมรักระหว่างสามีภรรยานั้นสอดคล้องกับกฎแห่งธรรมชาติและธรรมชาติของมนุษย์ดังนั้นนางไม่จำเป็นต้องอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานมากนักเยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าช้า ๆ บ่งบอกว่าตนเข้าใจเพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นคนยุคใหม่ ถึงแม้ตอนนั้นจะน่าอาย แต่เรื่องที่จบแล้วก็ถือว่าแล้วกันไปตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่ปล่อยวางไม่ได้ก็คือซ่างกวนซี ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาถึงไม่กล้ามาทานอาหารเย็นเล่า?ทว่าเยี่ยนเว่ยฉือเดาผิด สาเหตุที่ซ่างกวนซีไม่กลับมาทานอาหารเย็นกับนางก็เพราะมีเรื่องสำคัญต้องจัดการซ้ำยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยด้วย……ณ ห้องตำราซ่างกวนซีกำลังมองภาพวาดในมือและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเขาถามอวี๋เฟยเหยียน “เจ้าแน่ใจหรือว่าปิ่นปักผมในภาพนี้เป็นของเว่ยฉือ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้น ๆ?”อวี๋เฟยเหยียนตอบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่เคยเห็นมาก่อนหรือ? ปิ่นที่ท่านเคยเห็นคงเป็นของพี่สะใภ้ ปิ่นนี้เป็นปิ่นคู่”ภาพวาดนี้เป็นภาพที่อันกั๋วกงส่งมอบแด่ฮ่องเต้คังอู่เมื่อตอนเข้าเฝ้าว่าราชการเช้าของวันนี้ฮ่องเต้คังอู่ไม่ได้ปิดบังเหล่าขุนนาง แต่กลับพิมพ์ภาพวาดนี้ออกมาและมี
เยี่ยนเว่ยฉือสะดุ้งเล็กน้อย อวี๋เฟยเหยียนจริงจังเช่นนี้ หรือว่าซ่างกวนซีจะโกรธอีกแล้ว?เยี่ยนเว่ยฉือพูดอย่างรู้สึกผิด “ข้าแค่ไปตกปลาเอง หากองค์รัชทายาทไม่ชอบ พรุ่งนี้ข้าไม่ไปแล้วดีหรือไม่?"อวี๋เฟยเหยียนพูดอย่างจนใจ "มันไม่เกี่ยวกับเรื่องตกปลา เจ้ารีบตามมาเถอะ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง"เยี่ยนเว่ยฉือถามอย่างร้อนใจ "ท่านจะไปด้วยหรือไม่?"หากมีคนนอกอยู่ด้วย อย่างน้อยซ่างกวนซีก็จะไม่ลงมือกับนาง!อวี๋เฟยเหยียนไม่รู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือกำลังคิดอะไรอยู่แน่นอนว่าเขาต้องไป เขายังต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันเขาจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”เยี่ยนเว่ยฉือถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตามอวี๋เฟยเหยียนไปห้องตำราหลังจากเข้ามาในห้องตำรา ซ่างกวนซีไม่ได้อ้อมค้อม และส่งกระดาษให้เยี่ยนเว่ยฉือดูเยี่ยนเว่ยฉือเพียงเหลือบมองก็รู้ว่าภาพวาดนั้นคืออะไรนางพูดด้วยความประหลาดใจ "ไม่จริงน่า คนจากบ่อนพนันเจอจวนองค์รัชทายาทเร็วขนาดนี้เลยหรือ?"ซ่างกวนซีขมวดคิ้วและพูดว่า "เจ้าเคยเห็นรูปนี้หรือไม่? รู้หรือไม่ว่าทางบ่อนกำลังตามหาปิ่นนี้อยู่ ปิ่นนี้... เป็นของเจ้าหรือเปล่า?"คำถามหนึ่งชุดทำให้เยี่ยนเว่ยฉือรู้
“ยังอยู่ในห้องของข้า” เยี่ยนเว่ยฉือตอบตามความจริง“เอามันมาให้ข้า เจ้าเก็บสิ่งนี้ไว้ไม่ได้!” ซ่างกวนซีพูดอย่างจริงจังเยี่ยนเว่ยฉืออยากจะบอกว่าการใส่สิ่งนี้ไว้ในสร้อยข้อมือของนางปลอดภัยกว่าการวางไว้ที่อื่นแต่เนื่องจากซ่างกวนซีต้องการมัน นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะกลับไปเอา"เยี่ยนเว่ยฉือแกล้งกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบของ แต่จริง ๆ แล้วนางไปเดินเล่นหลังจากนั้นไม่นาน นางก็กลับมาที่ห้องตำราและยื่นปิ่นปักผมอีกอันให้กับซ่างกวนซีหลังจากที่ซ่างกวนซีได้ปิ่นปักผม รูม่านตาของเขาก็หดตัวลงและพูดด้วยความประหลาดใจ "นี่คือ... ปิ่่นหางหงส์! ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร?"อวี๋เฟยเหยียนก้าวไปข้างหน้าและถามว่า "เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?"ซ่างกวนซีหยิบปิ่นปักผมมาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดด้วยความตกใจ "มันเป็นขนหงส์สีทองจริง ๆ! นี่คือสมบัติที่ฝังไปพร้อมร่างเสด็จแม่ของข้า!"ตอนที่เขาดูภาพวาดเมื่อครู่ เขาไม่สามารถบอกวัสดุหรือสีได้ แต่ตอนนี้เขามีมันอยู่ในมือแล้ว และซ่างกวนซีก็จำที่มาของปิ่นปักผมนี้ได้ทันที!“หา?!” อวี๋เฟยเหยียนและเยี่ยนเว่ยฉ
อวี๋เฟยเหยียนซึ่งอยู่ในความมืดขมวดคิ้วและพูดว่า "บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว? มีเพลิงไหม้เกิดขึ้นที่นี่ในขณะที่เรากำลังจะมาตรวจสอบงั้นรึ?"ซ่างกวนซีขมวดคิ้วและพูดว่า "ดูเหมือนว่าจะมีคนเคลื่อนไหวเร็วกว่าพวกเรา และได้จัดฉากให้ข้ากระโจนเข้าไปร่วมวงด้วย"ใบหน้าของอวี๋เฟยเหยียนเต็มไปด้วยความกังวล "ถ้าอย่างนั้นคนผู้นี้ก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างมาก ถึงขั้นทำให้เยี่ยนเว่ยฉือไปซื้อปิ่นปักผมโดยบังเอิญได้"ซ่างกวนซีส่ายหัวแล้วพูดว่า "การที่เยี่ยนเว่ยฉือไปโรงรับจำนำเป็นความบังเอิญจริง ๆ ทว่าปิ่นปักผมคู่นั้นถูกเตรียมไว้นานแล้ว นางได้กลายเป็นชายาองค์รัชทายาท ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ซื้อเครื่องประดับ คนที่อยู่เบื้องหลังเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมและนำปิ่นนั้นมาขายให้นางก็เท่านั้น”“เช่นนั้นมันจะเกี่ยวข้องกับเจ้าของโรงรับจำนำหรือไม่?” อวี๋เฟยเหยียนถามซ่างกวนซีขมวดคิ้วและตอบว่า "ถ้าอย่างนั้น เราต้องดูว่าเจ้าของโรงรับจำนำยังมีชีวิตอยู่หรือไม่"“ศิษย์พี่ ดูสิ เจียงโม่มาแล้ว” อวี๋เฟยเหยียนชี้ไปที่เจียงโม่หัวหน้าหน่วยตรวจสอบที่นำคนมาช่วยดับไฟเจียงโม่พาคนมาช่วยดับไฟ และต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงทำให้
ซ่างกวนซีพยักหน้าเบา ๆ มองไปยังเบื้องหน้าพลางกล่าวกับตนเองเบา ๆ ว่า “จะเป็นผู้ใดกันเล่า? อันกั๋วกง? อ๋องจ่างซิ่น? หรือว่า... ผิงอี้โหว?”อวี๋เฟยเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “คงไม่ใช่อ๋องจ่างซิ่นหรอก เขาไม่มีสติปัญญาเฉือยบแหลมเช่นนั้น!”ซ่างกวนซีพยักหน้ารับ “และก็ไม่ใช่อันกั๋วกงเช่นกัน หากอันกั๋วกงเป็นผู้วางแผน อันกั๋วกงกับซ่างกวนหลีก็ย่อมรู้ทั้งคู่ว่าผู้ซื้อปิ่นทองคำนั้นคือเยี่ยนเว่ยฉือ บ่อนพนันก็ไม่จำเป็นต้องนำภาพวาดไปเสาะหาผู้ใด เพียงแต่สอบถามจากซ่างกวนหลีก็จะรู้ได้แล้วว่าผู้ซื้อปิ่นทองคำคือเยี่ยนเว่ยฉือ”อวี๋เฟยเหยียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย กล่าวว่า “คงไม่ใช่ผิงอี้โหว เยี่ยนหานซานหรอกใช่หรือไม่? เขาก็ดูไม่ใช่คนมีสติปัญญาเช่นกัน!”ซ่างกวนซีถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าเป็นองค์รัชทายาท มีศัตรูมากมาย นอกจากที่ปรากฏแก่สายตาแล้ว ยังมีผู้ลอบคิดร้ายอีกมากมาย เหอะ!”อวี๋เฟยเหยียนรีบปลอบประโลมว่า “ศิษย์พี่ก็อย่ากังวลมากนักเลย อย่างไรเสีย เวลานี้ก็มีเพียงผู้ที่คิดร้ายต่อพวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าปิ่นทองคำอยู่กับเยี่ยนเว่ยฉือ ตราบใดที่พวกเราไม่ยอมรับ พวกเขาก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าพวกเ
ด้วยเหตุนี้อันกั๋วกงจึงกลับไปยังจวนกั๋วกงด้วยใบหน้าที่ยับย่นเป็นรอยริ้วอันกั๋วกงเพิ่งก้าวเข้าประตูบ้าน บุตรสาวคนเล็กอันหยวนจูก็วิ่งเข้ามาหา“ท่านพ่อ ท่านพ่อ! ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”อันกั๋วกงอมยิ้มพลางลูบหัวบุตรสาว กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จูเอ๋อร์ตัวสูงขึ้นแล้ว น่าเสียดาย กระนั้นก็ยังช้าเกินไป”อันหยวนจูอายุเพียงสิบสองปี จึงไม่เข้าใจถ้อยคำของอันกั๋วกงนักนางเอียงคอมองอันกั๋วกง กล่าวด้วยความสงสัยว่า “ท่านพ่อว่าจูเอ๋อร์ตัวเตี้ยหรือ พี่ชายกล่าวว่า จูเอ๋อร์ต้องอายุสิบห้าปีขึ้นไปจึงจะตัวสูงขึ้น”พี่ชายที่นางกล่าวถึง คือบุตรชายคนโตของอันกั๋วกง อันหยวนชิงอันหยวนชิงได้ยินบทสนทนาของพ่อลูก จึงเดินออกมาจากห้อง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาว รีบไปบอกให้ห้องครัวเตรียมอาหารเถิด ท่านพ่อเข้าเฝ้ามาเป็นเวลานาน ย่อมต้องหิวแล้ว”อันหยวนจูพยักหน้า แล้วก็วิ่งออกไปอย่างร่าเริงอันกั๋วกงมองบุตรชายรูปงามของตน พลางถามด้วยใบหน้าย่นว่า “เจ้ากลับมาจากสำนักบัณฑิตแล้วหรือ การสอบจอหงวนในฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามา เจ้าควรตั้งใจเตรียมตัวสอบเสีย”อันหยวนชิงช่วยอันกั๋วกงถอดเครื่องแต่งกายขุนนาง พลางกล่าวว่า “ท่านพ่
“ไม่อาจอภิเษกได้ แต่ไม่ใช่เพราะองค์หญิงนั้นรูปโฉมไม่งดงาม หากแต่เพราะหลังจากอภิเษกแล้ว ท่านก็จะ… หมดสิ้นโอกาสในราชบัลลังก์!” อันกั๋วกงสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักซ่างกวนหลีไม่เข้าใจความหมาย จึงปรายตามองด้วยความสงสัยท่าทางที่ดูราวกับไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทำให้อันกั๋วกงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าส่วนองค์ชายสี่ซ่างกวนเจวี๋ยลูบจมูกพลางเงียบงัน ชัดเจนว่าเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้วอันกั๋วกงอมยิ้มพลางหันไปทางซ่างกวนเจวี๋ย แล้วกล่าวว่า “องค์ชายสี่ พวกท่านทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอันแนบแน่น หากว่าเรื่องนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้แก่เป่ยอิ้นแล้ว ก็จำเป็นต้องทรงขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่แทน”ซ่างกวนเจวี๋ยถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “อันกั๋วกง ใช่ว่าท่านกำลังทำลายข้าอยู่หรือ เสด็จพี่รองไม่อภิเษก ท่านกลับให้ข้าอภิเษกแทนรึ?”อันกั๋วกงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย องค์ชายสี่ผู้นี้ฉลาดหลักแหลมนัก เขายังไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลย ซ่างกวนเจวี๋ยกลับคาดเดาเจตนาของเขาออกแล้วอันกั๋วกงกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน ใจย่อมไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน องค์หญิงเป่ยอิ้นนั้นจะขึ้นเป็นฮ
อันกั๋วกงได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ผิดแล้ว ทหารองครักษ์เมืองหลวงทั้งกองทัพเสินอู่ เสินเช่อ หลงอู่ และหลงฉี ล้วนเป็นขุนพลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋อง ข่าวสารของท่านอ๋องจะช้ากว่าข้าได้อย่างไร!""เจ้าหมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าข้าสมคบคิดกับชาวเป่ยอิ้นรึ?" อ๋องจ่างซิ่นโกรธจนหนวดเคราขยับอันกั๋วกงยิ้ม "นั่นคงไม่ใช่ ท่านอ๋องจงรักภักดีต่อแผ่นดินมาโดยตลอด เพียงแต่เกรงว่า… อาจมีคนปิดบังเบื้องบนพ่ะย่ะค่ะ"น้ำเสียงประชดประชัน ทำให้อ๋องจ่างซิ่นอดไม่ได้ที่จะมองค้อนเขาฮ่องเต้คังอู่ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์เห็นทั้งสองโต้เถียงกันก็ไม่ได้ขัดจังหวะ เพียงแต่กล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า "พอแล้ว พอแล้ว อย่าทะเลาะกันเลย ในเมื่อเป่ยอิ้นมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ไม่ได้มาประกาศสงคราม พวกเราก็ต้อนรับเขาด้วยไมตรีจิตก็พอ"เอ่ยจบ สายตาของฮ่องเต้คังอู่ก็กวาดมองเหล่าขุนนาง สุดท้ายก็มาหยุดที่ซ่างกวนซี "ชูจิ่ง งานราชการในท้องพระโรงด้านอื่นๆ เจ้าคงไม่ถนัด เช่นนั้นเรื่องต้อนรับคณะทูตจากเป่ยอิ้นก็มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน"สิ้นสุรเสียง ทุกคนก็ยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว ยืดคอมองซ่าง
พั่วจวินกราบทูล "เรื่องราวโดยละเอียด กระหม่อมยังสืบเสาะได้ไม่ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อคืนวาน นางน่าจะไปล้างแค้นลู่อู๋ พระชายาผู้นั้นมีรูปโฉมงดงามและฝีมือร้ายกาจ เล่นงานลู่อู๋จนไม่อาจตอบโต้ได้ เกือบจะกลายเป็นคนพิการไปแล้ว!"อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า "ข้าได้ยินมาว่าซ่างกวนซีกลับเมืองหลวงก็แต่งงานกับหญิงเลี้ยงหมูอย่างลับ ๆ แต่ไม่เคยได้ยินว่านางผู้นี้เก่งกาจถึงเพียงนี้ แม้แต่ลู่อู๋ที่อยู่ในอันดับสี่ของบัญชีอู๋ซินยังมิอาจเป็นคู่มือของนาง?"พั่วจวินครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อคืนเขาไม่ได้เห็นเยี่ยนเว่ยฉีลงมือกับตาเยี่ยนเว่ยฉีปราบลู่อู๋ได้อย่างไร เขาก็ไม่อาจทราบได้แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ชัดเจน"ฝ่าบาท พระชายาผู้นั้น นางชำนาญด้านพิษพ่ะย่ะค่ะ! เมื่อคืนวาน..." พูดถึงตรงนี้ พั่วจวินก็มีสีหน้าละอายใจ"เจ้าพลาดท่าเสียทีแก่นางเช่นกันรึ?" อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเอ่ยถามพั่วจวินพยักหน้า กราบทูลเรื่องราวการต่อสู้ที่บ้านร้างเมื่อคืนวานตามความเป็นจริงอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวสูดหายใจเข้าลึก ๆ "ซ่างกวนซีคนเดียวก็รับมือได้ยากอยู่แล้ว ไม่นึกเ
จวนองค์รัชทายาทปูด้วยอิฐสีเขียว ไม่อาจมีรอยเท้าโคลนได้รอยเท้าเช่นนี้ แสดงว่ามีผู้ไปยังสถานที่ที่เปื้อนโคลนแล้วกลับมาและบุคคลนั้น… ก็คือเยี่ยนเว่ยฉือที่อ้างว่าตนนอนเปลือยเปล่าซ่างกวนซีมองประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้เปิดโปงคำโกหกที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องของนาง แต่ก้าวเดินไปเข้าเฝ้า…… เมืองหลวง โรงเตี๊ยมที่ห่างไกลหลังเที่ยงวัน พิษในร่างกายของพั่วจวินก็สลายไป เขากลับมายังโรงเตี๊ยมที่พี่น้องจากเป่ยอิ้นพักอาศัยอยู่เมื่อเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงถามขององค์หญิงแห่งเป่ยอิ้น อวี้ฉืออวิ๋นจิ่น“ตลอดทั้งเช้า เจ้าหายไปไหนมา?”พั่วจวินตอบด้วยความเคารพ “ทูลองค์หญิง เมื่อคืนนี้กระหม่อมพบปัญหาเล็กน้อย เฉี่ยงหวู่ถูกสังหาร กระหม่อมไล่ตามฆาตกร ต่อสู้กับเขาตลอดคืน”“อะไรนะ?” อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นผุดลุกขึ้น “เฉี่ยงหวู่ตายแล้วหรือ?”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ใครฆ่าเฉี่ยงหวู่?”พั่วจวินกล่าวต่อ “เป็นฝูกวงแห่งศาลาจิ่วโยวพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝูกวง?” สองพี่น้องต่างส่งเสียงด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าต่างประหลาดใจอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวกล่าว “ฝูกวงไม่ได้ปรากฏตัวมาสามปีแล้ว ในยุทธภพต่างกล่าวกั
ฉับพลัน! เยี่ยนเว่ยฉือหยิบตะเกียงไฟขึ้นจุดตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ แสงสว่างวาบขึ้น ทว่าทันใดนั้น เสียงของซ่างกวนซีก็ดังมาจากนอกห้อง“เว่ยฉือ เจ้าตื่นแล้วหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบปีนขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วขอให้รอดพ้นเถิด! ชุดแฝงตัวของนางยังไม่ได้เปลี่ยนเลย!เหตุใดซ่างกวนซีจึงมาหาขณะนี้?เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที เยี่ยนเว่ยฉือไม่อาจคิดมากได้ จึงรีบคลุมผ้าห่มทั้งผืนห่อตัวไว้เสียงไม้กระทบกันดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูห้องถูกเปิดออกซ่างกวนซีในชุดประจำตำแหน่งก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม“ฝะ… ฝ่าบาท...” เยี่ยนเว่ยฉือตัวสั่น เหงื่อเย็นไหลอาบกายซ่างกวนซีมองนางด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถาม“ข้ากำลังจะไปเข้าเฝ้า เห็นว่าห้องเจ้าสว่างจึงแวะมาดู วันนี้เจ้าตื่นเช้าเช่นนี้ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”ซ่างกวนซีถามด้วยความห่วงใย เดินไปที่เตียง ยื่นมือไปวัดไข้ที่หน้าผากนางเยี่ยนเว่ยฉือหลบอย่างรวดเร็ว นางไม่อยากให้ซ่างกวนซีสัมผัสถูกเหงื่อเย็นบนหน้าผากเยี่ยนเว่ยฉือตอบด้วยความประหม่าและอึดอัด “ไม่ได้ ไม่ได้เป็นอะไร ข้าเพียงแต่กระหายน้ำ จึงลุกขึ้นมาดื่มน้ำเท่านั้น”ซ่างกวนซีหันไปมองโต๊ะ
ฝูกวงเห็นดังนั้นจึงเตะหมิงตาวจนกระเด็น ก่อนจะสะบัดกระบี่โหรวฉางพันรอบข้อเท้าของพั่วจวิน พั่วจวินเห็นดังนั้นจึงรีบหมุนตัวกลางอากาศ แก้พันธนาการจากกระบี่โหรวฉาง หากเขาแกะกระบี่โหรวฉางไม่ออก ขาของเขาคงถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเขาแกะกระบี่โหรวฉางออกได้ ร่างกายของเขากลับร่วงลงสู่พื้นอย่างแรง ไม่อาจลุกขึ้น “ข้า... เหตุใดข้าจึงระบายลมปราณไม่ได้”พั่วจวินไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่พอเขาพูดจบ หมิงตาวก็ทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่ง ยันกระบี่กับพื้นจึงประคองร่างกายเอาไว้ได้ ส่วนฝูกวงก็ถอยหลังไปพิงต้นไม้ใหญ่ มือข้างหนึ่งจับลำต้นเอาไว้ ในชั่วพริบตา กำลังภายในของทั้งสามก็หายไปราวกับโดนดูดออก หมิงตาวเอ่ยอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา?”เยี่ยนเว่ยฉือกลอกตาแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ขยับตัวไม่ได้แล้วยังจะถามอีก โดนพิษน่ะสิ เจ้าโง่เอ๊ย!”โดนพิษหรือ?ฝูกวงเหลือบมองไปที่กระถางธูปที่เยี่ยนเว่ยฉือเพิ่งจุด จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็น “แยบยลยิ่งนัก”พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นว่ากระถางธูปมีพิษ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่มีใครเห็นว่าเยี่ยนเว่ยฉือถือกระถางธูปอยู่ และไม่มีใครทันเห็นนางจุดธูป แน่นอนว่าพว
ลู่อู๋เบิกตากว้าง ร้องเสียงหลงอย่างอดไม่ได้ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” ให้เขาไปปลุกปล้ำท่านหญิงหมิงหยาง นั่นมันน้องสาวแท้ ๆ ของอ๋องจ่างซิ่นเชียวนะ! เยี่ยนเว่ยฉือแสร้งทำสีหน้าลำบากใจ “โอ๊ะ ไม่ดีหรือ เช่นนั้นข้าเปลี่ยนเป็นเอายาแก้พิษใส่ไว้ในร่างกายบุรุษดีหรือไม่ กระตุ้นสัญชาตญาณดิบในตัวเจ้า หรือว่า... เจ้าชอบร่วมรักกับสัตว์ ช่างเป็นรสนิยมที่พิสดารยิ่งนัก”“พรืด!” คราวนี้คนที่อดหลุดขำไม่ได้คือเพี่ยจวิน เสียงหัวเราะทำให้เขาเสียสมาธิ เกือบถูกฝูกวงฉวยโอกาสโจมตีเข้าอีกครา โชคดีที่หมิงตาวช่วยเขาปัดป้องเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองสบตากัน แววตาฉายแววหวาดหวั่น พวกเขาร่วมมือกันต่อสู้ แต่กลับยังคงได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจทำอันใดฝูกวงได้เลยแม้แต่น้อย คนผู้นี้ช่างลึกล้ำเกินคาดเดา! ลู่อู๋ทำหน้าละห้อย วิงวอนขอชีวิต “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ขอพระชายาองค์รัชทายาทเมตตาไว้ชีวิตด้วย ขอโปรดเมตตาด้วยเถิด! เจ้าจะให้ข้าทำอันใดก็ยอม”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มน้อย ๆ “โธ่ ข้าผู้นี้มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือใจอ่อน เจ้าเป็นบุรุษฃร่างกายกำยำ แถมยังเป็นถึงมือสังหารอันดับสี่แห่งบัญชีอู๋ซิน เห็นเจ้าร้องไห้เช่นนี้ ข้าก
เสียงของเยี่ยนเว่ยฉือเงียบลง นางยังคงแทงลู่อู๋ต่อไปเสียงร้องโหยหวนของลู่อู๋ดังก้องไปทั่ว แต่ก็ไม่อาจกลบเสียงการต่อสู้ได้จนกระทั่งเยี่ยนเว่ยฉือแทงลู่อู๋จนครบสิบแผล นางก็หยุดมือลง แล้วใช้เสื้อผ้าของลู่อู๋เช็ดคราบเลือดบนธนูขณะนี้ลู่อู๋หน้าซีดเผือด หายใจเข้าออกลำบากเยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “วันนี้… ขอจบไว้เพียงเท่านี้แล้วกัน...”ลู่อู๋เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความหวาดกลัว “อะไร… อะไรคือวันนี้?” ‘หรือว่าต่อไปยังจะมีอีก?’เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มอ่อนหวานอธิบาย “เจ้าเดาถูกแล้ว ต่อไปก็ยังมีอีก ข้าบอกแล้วว่าจะไม่เอาชีวิตเจ้า แต่หากแทงต่อไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่ใช่จุดสำคัญ เจ้าก็จะเสียเลือดจนตาย ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจให้เจ้าชำระหนี้เป็นงวด ๆ… ไม่ใช่สิ ชำระแค้นเป็นงวด ๆ ไป เป็นอย่างไร เจ้าว่าข้าเอาใจใส่ดีหรือไม่?”ลู่อู๋หน้าเสียมองเยี่ยนเว่ยฉือ น้ำตาไหลพรากออกมา ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บปวดหรือหวาดกลัวบุรุษทั้งสามที่กำลังต่อสู้กันอยู่ก็หันมามองเยี่ยนเว่ยฉือ พวกเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้บ้าคลั่งและโหดเหี้ยมทั้งยังโง่ด้วย นางคิดว่าวันนี้ปล่อยเสือเข้าป่า วันหน้าจะจับลู่อู๋ได้อีกหรือ?แน่นอนเยี่ยนเว่ยฉือว่า