แม้จะอยู่ในวิมานฉิมพลี แต่กากีก็สบายใจ ที่มีห้องน้ำมิดชิดดีอย่างเมืองมนุษย์ สกุณีปักษีน้อยพากากีนั่งลงบนตั่งตัวเล็ก รวบผมมุ่นมวยไว้กลางกระหม่อมเปิดผ้าคลุมออก เอาผ้าชุบน้ำอุ่นลอยดอกไม้หอมราดตัวให้นางกายหอมอย่างคล่องแคล่ว นางหยิบแผ่นใยละเอียดบาง ที่ดูคล้ายเยื่อไม้สีขาวชุบน้ำด่างมาขัดคราบเหนียวลื่นออกจากร่างกายของเธอ “ใยใบไม้เจ้าค่ะ ไม่หยาบไป ไม่นิ่มไป ขัดคราบเชื้อกำเนิดดีนัก” นางปักษีเอ่ยเจื้อยแจ้วตามวิสัย กากีหรือสีฝุ่นอดขำไม่ได้ “สกุณี เจ้านี่ดูชำนาญกับเรื่องอย่างนี้ดีจริง เจ้ามีหน้าที่ขัดชำระสตรีนางอื่นๆที่ท้าวเธอพามาเสพอย่างนี้ทุกนางหรือ” สกุณีเอียงคออย่างนางนก ตาเรียวชี้เคลื่อนไหวเร็วไวใสแจ๋วน่าเอ็นดู “เจ้าค่ะ ท้าวเวนไตยไม่ทรงหลั่งเชื้อกำเนิดในกายสตรีใดเลยเจ้าค่ะ แม้พวกนางจะปรารถนาได้มีโอกาสอุ้มครรภ์ทิพย์ของท้าวเวนไตย ท่านไม่ประสงค์ให้มีทายาทกำเนิดกับนางปักษีตนใดมาก่อนเลย คงหมายจะสืบทอดทายาทแต่กับพระชายาเท่านั้น ดั่งนี้แล้ว เปรอะกันแบบนี้ทุกนางแหละเจ้าค่ะ บางนางไหลเยิ้มเข้าไปในซอกเกศา สระสางกันเกือบชั่วยามกว่าจะออกหมด” ก
“กากี ชายายอดรักของข้า ข้าไม่เคยหลั่งเชื้อกำเนิดในกายสตรีใด เพราะมิหมายสืบเผ่าพันธุ์กับสตรีอื่น แต่เจ้าผู้เป็นยอดดวงใจของข้า ข้าจะมอบสายธารแห่งชีวิตนี้ ไว้ในช่องนาภีของเจ้าแต่ผู้เดียว” บุรุษหิมพานต์โยกไกวไหวกายเคลื่อนรวดเร็วยิ่งขึ้นอีก สองกายก่ายกอดราวกับจะรวมเป็นกายเดียว ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งมันปลาบลูบลื่นด้วยอาบเหงื่อ นุ่มลื่นชื่นฉ่ำไปทุกผิวสัมผัส หยาดเหงื่อใสเกาะพราวทั่วร่าง หยดหนึ่งหล่นลงกลางหว่างถันหนั่นแน่น หยดหนึ่งหล่นลงบนยอดถันสีหมากสุกแดงก่ำ อุ่นร้อนผะผ่าว ไหลลากเป็นทางยาวลงข้างลำตัวก่อนซึมซาบวาบหายลงในเนื้อผ้าทอขนอ่อนลูกนกที่นุ่มลื่นกระตุ้นอารมณ์กำหนัดให้ยิ่งกระเจิดกระเจิงไปอีก สาบกายบุรุษฟุ้งหอมคลุ้งในห้วงนาสา หญิงสาวซุกหน้าลงกับอกเขา สูดหายใจให้กลิ่นนั้นไหลร่าลงในลำคอ เรื่อยจนอัดแน่นในช่องทรวงอก เสพสมอีกสัมผัสจนฉ่ำชื่นใจ นางกากีสตรีผู้งามเป็นหนึ่งในหล้า หรี่ตาปรือ ริมฝีปากฉ่ำเผยอค้าง หน้ามืดตาลาย มัวเมาด้วยกลิ่นรสกามอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัส ตัวใจเต้นรัวแรงดังเสียงกลอง เร็วเกือบเท่าจังหวะเขย่าไกวไหวกระแทกของบั้นเอวแข็งแ
ท้าวเวนไตย ชายหนุ่มร่างกำยำดวงหน้าคมเข้ม ดวงตาดุดันทรงอำนาจชวนพิสมัย ยืนหันข้างอยู่ที่ฝั่งโปร่งแสงของห้อง พนมมือหลับตาขยับปากบริกรรมบางอย่าง แสงแดดทอรุ้งของหิมพานต์ห่มอาบกายเขาจนชวนใจละลายมากขึ้นไปอีก สีฝุ่นในร่างกากีเพลินมองชายในดวงใจไม่วางตา พลันนั้น ร่างของท้าวเวนไตยปรากฏแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นจนตาพร่า พอแสงนั้นหายไป ท้าวเวนไตย บุรุษแห่งหิมพานต์ก็อยู่ในเครื่องแต่งกายแบบบุรุษมานพหนุ่ม ดั่งที่กากีเคยเห็นในวังเมืองพาราณสีมาก่อนแล้ว ดวงตาฉงนสดใสดั่งลูกมฤคินทร์น้อยกะพริบวูบไหว ฉงนสงสัย “ท้าวเวนไตย ยอดดวงใจของข้า นั่นท่านแต่งกายเช่นนั้น จะออกไปไหนกันเจ้าคะ ไม่อยู่กับข้าเสียที่นี่หรือ” หญิงสาวงามหยาดฟ้าออดอ้อนรำพันในท้ายเสียง ชายหนุ่มหันมาสบสายตาลูกกวางน้อยบนฟูกนอน ในทรวงร้อนรุ่มวูบวาบด้วยแรงพิศวาส ที่ยังคุกรุ่นไม่เลือนหาย “ดูเถิด น้ำเสียงเช่นนั้นทำให้ข้าไม่หมายจะก้าวออกไปจากห้อง อยากจะอยู่เคล้าคลอพะนอเจ้าไปตลอดทั้งวันคืน หากไม่ติดว่าถึงเวลาต้องออกไปแล้ว ข้าคงโถมไปทับร่างเจ้าเดี๋ยวนี้ เสพเจ้าเสียให้สมหัวใจข้า ไม่ต้องเงยหน้าเห็นเดือนเห็นตะวัน
ท้าวเวนไตย บุรุษหนุ่มร่างกำยำเจ้าแห่งหิมพานต์เงยหน้าสบตาองค์พรหมทัตแวบหนึ่ง เมื่อเห็นความทุกข์โทมนัสในแววตานั้นก็รู้สึกผิดแปลบปลาบในใจขึ้นมาทันทีจนต้องหลบสายตาลงแวบหนึ่งในขณะที่เหนือหัวพรหมทัตค่อยๆนั่งลงบนตั่งตัวเดียวกันเพื่อเตรียมเริ่มเกมสกา กิริยานั้นไม่พ้นสายตาบุรุษกึ่งเทวะอย่างนาฏกุเวรผู้ชาญฉลาดและช่างสังเกต ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปแล้ว ชายหนุ่มรูปงามสะอ้านหมดจดดั่งเทพปั้นก็ยิ่งมั่นใจ สายตาของกากีและมานพหนุ่มผู้นี้ที่เคยได้เห็นว่าทอดมองกันครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ไม่ใช่ธรรมดาแน่แท้ แต่เพื่อความแน่ใจเขาจึงรีบคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างพระที่ขององค์พรหมทัตทันที เจ้าวิหคผู้เป็นยอดบุรุษเหนือแดนหิมพานต์ชำเลืองสายตามามองนาฏกุเวรแวบหนึ่ง นึกได้ถึงคำเตือนของแม่ยอดดวงใจที่ว่าไว้ ห้ามเข้าใกล้หรือสนทนากับคนผู้นี้ เพราะอันตรายนัก ท้าวเวนไตยยิ้มมุมปาก หึ นี่หรือ ที่แม่งามกากีว่าเป็นผู้อันตรายนักหนา มิเห็นน่าเกรงขามแต่อย่างใด ผิวพรรณใบหน้างามหวานละไม อ้อนแอ้นราวอิสตรี คิดแล้วก็เสมองกระดานสกาต่ออย่างมิได้ใส่ใจ นาฏกุเวรนั้นเมื่อได้เข้ามานั่งติดต
แต่เมื่อแตงกวาหันมาเห็นเธอเข้ากลับสะดุ้งโหยง ถอยกรูด “คุณ...คุณเป็นใครเนี่ย โห... ” เช่นเดียวกับทุกคนที่ได้เห็นโฉมงามกากีเป็นครั้งแรก ดวงตาเธอเบิกโพลงตะลึงงันจนพูดไม่ออก สีฝุ่นเห็นอาการแล้วพอเดาได้จึงรีบแก้ปัญหาทันที “แตงกวา นี่ฉันเองนะ สีฝุ่น สีฝุ่นเพื่อนแกไง เราอยู่สำนักพิมพ์เดียวกันไง จำได้ไหม” หญิงสาวในชุดทำงานส่ายหน้าดิก “ไม่ค่ะ จำไม่ได้ ห๊ะ เดี๋ยว อะไรนะ สีฝุ่น ฝุ่น เออ เสียงเหมือนจริงๆด้วย แต่ว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็แก...แกตอนนี้” สีฝุ่นกำลังคิดว่าจะเริ่มเล่ายังไงดี สีหน้าของแตงกวาก็กลับเปลี่ยนไปกะทันหัน ดวงตาเธอเบิกกว้าง ปากคอสั่น หน้าซีดเผือด “หรือ...หรือว่า โธ่... โธ่เอ๋ย สีฝุ่น โธ่ แก... ฉันไม่น่าเลย คืนนั้นฉันไม่น่าทิ้งแกไว้คนเดียวเลย โฮ” ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮ “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน แตงกวา นี่แกร้องไห้ทำไม ไม่ต้องกลัว นี่ฉันเองนะ สีฝุ่นเพื่อนแกไง” กากีนางกายหอมที่หัวใจยังเป็นสีฝุ่นเต็มร้อยโผเข้ากอดเพื่อนแน่น “รูปร่างหน้าตาฉันไม่เหมือนเดิม แกเลยตกใจกลัวใช่ไหม เอาละ สูดหายใจลึกๆ ใจเย็นๆ” แตงกวายังร้องไห้สะอึกสะอื้น “แ
“ท้าวเวนไตย กลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ เป็นวาสนาของข้าแท้ๆ ที่ตื่นมาแล้ว ก็ได้พบหน้าท่านดั่งใจหมาย” “หึ” พญาครุฑหนุ่มออกเสียงในลำคอเหมือนไม่พอใจ “คำของเจ้าหวานล้ำจนข้าใจละลายทีเดียว ไม่รู้ก่อนหน้านี้ เจ้าเคยได้เอ่ยวาจารื่นหูเช่นนี้กับชายใดมาก่อนหรือไม่” กากีแม่งามเลิศหล้านิ่งงันไปด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปตรงไหน ก่อนออกไปก็ยังดีๆกันอยู่เลยนี่นา “ไฉนท่านพูดเช่นนั้นเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นชายาของท่าน จักพูดถึงผู้อื่นไปทำกระไร” ท้าวเวนไตยผินร่างกำยำล่ำสันเมินมองเสออกไปที่ผนังใสด้านนอกวิมาน “เมื่อครู่นี้ เจ้ายังละเมอเพ้อออกมาว่าจะรีบกลับไป หัวเราะหัวใคร่ระรื่นนัก เจ้านิมิตฝันว่าอยู่ด้วยผู้ใดอยู่หรือ ชายใดหรือที่เจ้าจากมาแล้วอาวรณ์อยากกลับไปหาถึงเพียงนั้น” หญิงสาวงามประโลมหล้าเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ เผยอปากเอ่ยขึ้น “ท้าวเวนไตย ขุ่นข้องหมองใจข้าด้วยเรื่องใดหรือเจ้าคะ บอกให้ข้าได้รู้เถิด” ครุฑหนุ่มวัยฉกรรจ์สะบัดหน้ากลับมาจ้องหน้ากากี ดวงตาดุดันดั่งพญานกเพลิง “วันนี้ข้าไปเล่นสกาด้วยกษัตริย์พรหมทัตมา แลได้ปะทะคารมกับเจ้านาฏกุเวรพิณเทวะนั่นมาสองสามคำ เจ้าบอกข้ามาโดยสัจเถิดกากี ว่าเจ
บทนำเพียงปลายนิ้วไล้แผ่วผ่าน กากี นางกายหอมที่ยังหลับใหลไม่ได้สติด้วยพิษไข้ก็สะดุ้งสะท้านไปทั้งตัว นวลผิวที่เคยขาวผุดผ่องละมุนละไม บอบบาง ชวนทะนุถนอม บัดนี้เต็มไปด้วยฟกช้ำจ้ำเขียว บางแห่งขีดข่วนฉีกขาดเห็นรอยเลือดซิบนั่นแค่เท่าที่เห็นจากภายนอก ใต้ผ้าผ่อนที่มองไม่เห็นนั่นจะอีกสักเท่าไหร่ คนธรรพ์หนุ่มคิด ร่องรอยของความเจ็บปวดพรายพราวไปทั่วร่าง น้ำตาหญิงสาวไหลหยดลงบนหมอนเป็นเม็ดใส ระยับราวเม็ดมณี ลาดไหล่สะท้านสะเทือนตามแรงสะอื้นนาฏกุเวรสั่นไปทั้งตัว ทั้งปวดร้าว เจ็บแค้น สงสารจนใจแทบขาดกากีเอ๋ย แก้วตาของพี่ เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ตั้งแต่พระเจ้าพรหมทัตทูลขอทารกในดอกบัวจากพระดาบส มาถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูจนเติบโต ผลิบานเต็มสาว หอมงามสะพรั่ง งามอย่างที่นางสวรรค์องค์ไหนก็ไม่อาจเทียบเทียมได้ เนื้อนวลบอบบางน่าถนอมอย่างนี้ ทำไมต้องมาเจอคนเลวทรามกระทำเยี่ยงนี้ เพราะใจยึดมั่นกตัญญูต่อพระเจ้าพรหมทัตที่รักบูชายิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าเท่านั้นหรอก ทำให้นาฏกุเวรเพียรพยายามหักห้ามใจตนเองเสมอมาทั้งที่เพลิงเสน่หาแผดเผาหัวใจแทบมอดไหม้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ต้องข่มไว้ ถ้อยนิดคำน้อยไม่เคยเอ่ยให้น้องระ
“สีฝุ่น” หญิงสาวหุ่นอวบ แก้มป่อง วัยเบญจเพส ผมหน้าม้าและรวบหางม้า นั่งสัปหงก อยู่ที่โต๊ะทำงานตามปกติของช่วงเวลาบ่ายอ่อนๆ กินข้าวเที่ยงมาอิ่มๆ ตบด้วยขนมกับชาไข่มุก เดินขึ้นมาเจอแอร์เย็นๆ บรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน ไฉนเลยจะตาตื่นอยู่ได้ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโปรแกรมแชทในโทรศัพท์มือถือ จึงสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ เป็นข้อความในกลุ่มแชทจากแตงกวา เพื่อนในที่ทำงานเดียวกันนั่นเอง ต่างกันตรงที่ แตงกวาเป็นด่านหน้าธุรการกองบรรณาธิการ นั่งโต๊ะแรกสุด เพราะอย่างนั้นใครเปิดประตูเดินเข้ามาเธอจะเห็นก่อนเป็นคนแรก “ไอ้ฝุ่น คุณเปี๊ยกมาแล้ว ตื่นนนน” พร้อมสติ๊กเกอร์เป็นตัวการ์ตูนหัวกลมทำท่าเลิ่กลั่ก เห็นเจ้านายใหญ่สุดเฮี้ยบ ไม่ต้องรออะไรมากระตุ้น ทุกคนตาสว่าง ขยันขันแข็งกันทันที สีฝุ่นตื่นเต็มตา เปิดลิ้นชักข้างๆควานดินสอ ปากกา สมุดมาวางข้างๆ เปิดกางออก รีบคลิกหน้าจอพีซีให้ขึ้นอะไรสักอย่าง ลนลานรีบคลิกรัวๆแต่ก็ไม่มีอะไรขึ้นสักที มีแต่สกรีนเซฟเวอร์รูปลูกฟุตบอลสารพัดสีหมุนกลิ้งนวยนาดไปมา ใจเต้นตึกตักตามเสียงรองเท้าที่เดินใกล้เข้ามา ได้แต่ลุ้นให้คุณเปี๊ยกเด
“ท้าวเวนไตย กลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ เป็นวาสนาของข้าแท้ๆ ที่ตื่นมาแล้ว ก็ได้พบหน้าท่านดั่งใจหมาย” “หึ” พญาครุฑหนุ่มออกเสียงในลำคอเหมือนไม่พอใจ “คำของเจ้าหวานล้ำจนข้าใจละลายทีเดียว ไม่รู้ก่อนหน้านี้ เจ้าเคยได้เอ่ยวาจารื่นหูเช่นนี้กับชายใดมาก่อนหรือไม่” กากีแม่งามเลิศหล้านิ่งงันไปด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปตรงไหน ก่อนออกไปก็ยังดีๆกันอยู่เลยนี่นา “ไฉนท่านพูดเช่นนั้นเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นชายาของท่าน จักพูดถึงผู้อื่นไปทำกระไร” ท้าวเวนไตยผินร่างกำยำล่ำสันเมินมองเสออกไปที่ผนังใสด้านนอกวิมาน “เมื่อครู่นี้ เจ้ายังละเมอเพ้อออกมาว่าจะรีบกลับไป หัวเราะหัวใคร่ระรื่นนัก เจ้านิมิตฝันว่าอยู่ด้วยผู้ใดอยู่หรือ ชายใดหรือที่เจ้าจากมาแล้วอาวรณ์อยากกลับไปหาถึงเพียงนั้น” หญิงสาวงามประโลมหล้าเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ เผยอปากเอ่ยขึ้น “ท้าวเวนไตย ขุ่นข้องหมองใจข้าด้วยเรื่องใดหรือเจ้าคะ บอกให้ข้าได้รู้เถิด” ครุฑหนุ่มวัยฉกรรจ์สะบัดหน้ากลับมาจ้องหน้ากากี ดวงตาดุดันดั่งพญานกเพลิง “วันนี้ข้าไปเล่นสกาด้วยกษัตริย์พรหมทัตมา แลได้ปะทะคารมกับเจ้านาฏกุเวรพิณเทวะนั่นมาสองสามคำ เจ้าบอกข้ามาโดยสัจเถิดกากี ว่าเจ
แต่เมื่อแตงกวาหันมาเห็นเธอเข้ากลับสะดุ้งโหยง ถอยกรูด “คุณ...คุณเป็นใครเนี่ย โห... ” เช่นเดียวกับทุกคนที่ได้เห็นโฉมงามกากีเป็นครั้งแรก ดวงตาเธอเบิกโพลงตะลึงงันจนพูดไม่ออก สีฝุ่นเห็นอาการแล้วพอเดาได้จึงรีบแก้ปัญหาทันที “แตงกวา นี่ฉันเองนะ สีฝุ่น สีฝุ่นเพื่อนแกไง เราอยู่สำนักพิมพ์เดียวกันไง จำได้ไหม” หญิงสาวในชุดทำงานส่ายหน้าดิก “ไม่ค่ะ จำไม่ได้ ห๊ะ เดี๋ยว อะไรนะ สีฝุ่น ฝุ่น เออ เสียงเหมือนจริงๆด้วย แต่ว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็แก...แกตอนนี้” สีฝุ่นกำลังคิดว่าจะเริ่มเล่ายังไงดี สีหน้าของแตงกวาก็กลับเปลี่ยนไปกะทันหัน ดวงตาเธอเบิกกว้าง ปากคอสั่น หน้าซีดเผือด “หรือ...หรือว่า โธ่... โธ่เอ๋ย สีฝุ่น โธ่ แก... ฉันไม่น่าเลย คืนนั้นฉันไม่น่าทิ้งแกไว้คนเดียวเลย โฮ” ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮ “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน แตงกวา นี่แกร้องไห้ทำไม ไม่ต้องกลัว นี่ฉันเองนะ สีฝุ่นเพื่อนแกไง” กากีนางกายหอมที่หัวใจยังเป็นสีฝุ่นเต็มร้อยโผเข้ากอดเพื่อนแน่น “รูปร่างหน้าตาฉันไม่เหมือนเดิม แกเลยตกใจกลัวใช่ไหม เอาละ สูดหายใจลึกๆ ใจเย็นๆ” แตงกวายังร้องไห้สะอึกสะอื้น “แ
ท้าวเวนไตย บุรุษหนุ่มร่างกำยำเจ้าแห่งหิมพานต์เงยหน้าสบตาองค์พรหมทัตแวบหนึ่ง เมื่อเห็นความทุกข์โทมนัสในแววตานั้นก็รู้สึกผิดแปลบปลาบในใจขึ้นมาทันทีจนต้องหลบสายตาลงแวบหนึ่งในขณะที่เหนือหัวพรหมทัตค่อยๆนั่งลงบนตั่งตัวเดียวกันเพื่อเตรียมเริ่มเกมสกา กิริยานั้นไม่พ้นสายตาบุรุษกึ่งเทวะอย่างนาฏกุเวรผู้ชาญฉลาดและช่างสังเกต ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปแล้ว ชายหนุ่มรูปงามสะอ้านหมดจดดั่งเทพปั้นก็ยิ่งมั่นใจ สายตาของกากีและมานพหนุ่มผู้นี้ที่เคยได้เห็นว่าทอดมองกันครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ไม่ใช่ธรรมดาแน่แท้ แต่เพื่อความแน่ใจเขาจึงรีบคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างพระที่ขององค์พรหมทัตทันที เจ้าวิหคผู้เป็นยอดบุรุษเหนือแดนหิมพานต์ชำเลืองสายตามามองนาฏกุเวรแวบหนึ่ง นึกได้ถึงคำเตือนของแม่ยอดดวงใจที่ว่าไว้ ห้ามเข้าใกล้หรือสนทนากับคนผู้นี้ เพราะอันตรายนัก ท้าวเวนไตยยิ้มมุมปาก หึ นี่หรือ ที่แม่งามกากีว่าเป็นผู้อันตรายนักหนา มิเห็นน่าเกรงขามแต่อย่างใด ผิวพรรณใบหน้างามหวานละไม อ้อนแอ้นราวอิสตรี คิดแล้วก็เสมองกระดานสกาต่ออย่างมิได้ใส่ใจ นาฏกุเวรนั้นเมื่อได้เข้ามานั่งติดต
ท้าวเวนไตย ชายหนุ่มร่างกำยำดวงหน้าคมเข้ม ดวงตาดุดันทรงอำนาจชวนพิสมัย ยืนหันข้างอยู่ที่ฝั่งโปร่งแสงของห้อง พนมมือหลับตาขยับปากบริกรรมบางอย่าง แสงแดดทอรุ้งของหิมพานต์ห่มอาบกายเขาจนชวนใจละลายมากขึ้นไปอีก สีฝุ่นในร่างกากีเพลินมองชายในดวงใจไม่วางตา พลันนั้น ร่างของท้าวเวนไตยปรากฏแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นจนตาพร่า พอแสงนั้นหายไป ท้าวเวนไตย บุรุษแห่งหิมพานต์ก็อยู่ในเครื่องแต่งกายแบบบุรุษมานพหนุ่ม ดั่งที่กากีเคยเห็นในวังเมืองพาราณสีมาก่อนแล้ว ดวงตาฉงนสดใสดั่งลูกมฤคินทร์น้อยกะพริบวูบไหว ฉงนสงสัย “ท้าวเวนไตย ยอดดวงใจของข้า นั่นท่านแต่งกายเช่นนั้น จะออกไปไหนกันเจ้าคะ ไม่อยู่กับข้าเสียที่นี่หรือ” หญิงสาวงามหยาดฟ้าออดอ้อนรำพันในท้ายเสียง ชายหนุ่มหันมาสบสายตาลูกกวางน้อยบนฟูกนอน ในทรวงร้อนรุ่มวูบวาบด้วยแรงพิศวาส ที่ยังคุกรุ่นไม่เลือนหาย “ดูเถิด น้ำเสียงเช่นนั้นทำให้ข้าไม่หมายจะก้าวออกไปจากห้อง อยากจะอยู่เคล้าคลอพะนอเจ้าไปตลอดทั้งวันคืน หากไม่ติดว่าถึงเวลาต้องออกไปแล้ว ข้าคงโถมไปทับร่างเจ้าเดี๋ยวนี้ เสพเจ้าเสียให้สมหัวใจข้า ไม่ต้องเงยหน้าเห็นเดือนเห็นตะวัน
“กากี ชายายอดรักของข้า ข้าไม่เคยหลั่งเชื้อกำเนิดในกายสตรีใด เพราะมิหมายสืบเผ่าพันธุ์กับสตรีอื่น แต่เจ้าผู้เป็นยอดดวงใจของข้า ข้าจะมอบสายธารแห่งชีวิตนี้ ไว้ในช่องนาภีของเจ้าแต่ผู้เดียว” บุรุษหิมพานต์โยกไกวไหวกายเคลื่อนรวดเร็วยิ่งขึ้นอีก สองกายก่ายกอดราวกับจะรวมเป็นกายเดียว ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งมันปลาบลูบลื่นด้วยอาบเหงื่อ นุ่มลื่นชื่นฉ่ำไปทุกผิวสัมผัส หยาดเหงื่อใสเกาะพราวทั่วร่าง หยดหนึ่งหล่นลงกลางหว่างถันหนั่นแน่น หยดหนึ่งหล่นลงบนยอดถันสีหมากสุกแดงก่ำ อุ่นร้อนผะผ่าว ไหลลากเป็นทางยาวลงข้างลำตัวก่อนซึมซาบวาบหายลงในเนื้อผ้าทอขนอ่อนลูกนกที่นุ่มลื่นกระตุ้นอารมณ์กำหนัดให้ยิ่งกระเจิดกระเจิงไปอีก สาบกายบุรุษฟุ้งหอมคลุ้งในห้วงนาสา หญิงสาวซุกหน้าลงกับอกเขา สูดหายใจให้กลิ่นนั้นไหลร่าลงในลำคอ เรื่อยจนอัดแน่นในช่องทรวงอก เสพสมอีกสัมผัสจนฉ่ำชื่นใจ นางกากีสตรีผู้งามเป็นหนึ่งในหล้า หรี่ตาปรือ ริมฝีปากฉ่ำเผยอค้าง หน้ามืดตาลาย มัวเมาด้วยกลิ่นรสกามอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัส ตัวใจเต้นรัวแรงดังเสียงกลอง เร็วเกือบเท่าจังหวะเขย่าไกวไหวกระแทกของบั้นเอวแข็งแ
แม้จะอยู่ในวิมานฉิมพลี แต่กากีก็สบายใจ ที่มีห้องน้ำมิดชิดดีอย่างเมืองมนุษย์ สกุณีปักษีน้อยพากากีนั่งลงบนตั่งตัวเล็ก รวบผมมุ่นมวยไว้กลางกระหม่อมเปิดผ้าคลุมออก เอาผ้าชุบน้ำอุ่นลอยดอกไม้หอมราดตัวให้นางกายหอมอย่างคล่องแคล่ว นางหยิบแผ่นใยละเอียดบาง ที่ดูคล้ายเยื่อไม้สีขาวชุบน้ำด่างมาขัดคราบเหนียวลื่นออกจากร่างกายของเธอ “ใยใบไม้เจ้าค่ะ ไม่หยาบไป ไม่นิ่มไป ขัดคราบเชื้อกำเนิดดีนัก” นางปักษีเอ่ยเจื้อยแจ้วตามวิสัย กากีหรือสีฝุ่นอดขำไม่ได้ “สกุณี เจ้านี่ดูชำนาญกับเรื่องอย่างนี้ดีจริง เจ้ามีหน้าที่ขัดชำระสตรีนางอื่นๆที่ท้าวเธอพามาเสพอย่างนี้ทุกนางหรือ” สกุณีเอียงคออย่างนางนก ตาเรียวชี้เคลื่อนไหวเร็วไวใสแจ๋วน่าเอ็นดู “เจ้าค่ะ ท้าวเวนไตยไม่ทรงหลั่งเชื้อกำเนิดในกายสตรีใดเลยเจ้าค่ะ แม้พวกนางจะปรารถนาได้มีโอกาสอุ้มครรภ์ทิพย์ของท้าวเวนไตย ท่านไม่ประสงค์ให้มีทายาทกำเนิดกับนางปักษีตนใดมาก่อนเลย คงหมายจะสืบทอดทายาทแต่กับพระชายาเท่านั้น ดั่งนี้แล้ว เปรอะกันแบบนี้ทุกนางแหละเจ้าค่ะ บางนางไหลเยิ้มเข้าไปในซอกเกศา สระสางกันเกือบชั่วยามกว่าจะออกหมด” ก
“โอว...เจ้าทำกระไร” บุรุษหิมพานต์เสียงสั่น ครางไม่เป็นภาษาต่อจากนั้น เมื่อกากีย้อนทบทวนบทเรียนวิชาปลุกกำหนัด กับท่อนเนื้อจำลองในห้องที่เต็มไปด้วยนางเปลือยเมื่อครั้งอยู่กรุงพารารณสี หญิงสาวกำมือรวบรอบท่อนเนื้อกำเนิดชีวิตไว้กระชับมั่น ครานั้นถุงผ้าจำลองบรรจุน้ำเย็นชืดไร้ชีวิต แต่ครานี้แตกต่างไปนัก ทั้งอุ่นร้อน เต้นตุบ กลิ่นรสของเครื่องเพศชายที่แท้จริงเป็นเช่นนี้เอง ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนผ่าวไปทั้งร่าง เครื่องกำเนิดของนางเองก็ร้อนวูบวาบตามเต็มไปด้วยไฟกาม กลิ่นเรียกรักจากองค์กำเนิดนางหอมฟุ้งกระจายไปทั่วสถานวิมานฉิมพลี ฝูงสัตว์หิมพานต์ที่ได้กลิ่นนั้นต่างนิ่งงันงงงวย นกตกตะลึงแทบลืมบินร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ใบหน้าอ่อนเยาว์เคลื่อนขึ้นลง ลากลิ้นจากส่วนโคนชิดโขดหินคู่ เลียไล่ขึ้นมาถึงปลายยอด สลับไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า หน้าท้องขององค์เวนไตยกระตุกสะท้านเป็นจังหวะ สองมือกุมกำไหล่บอบบางไว้แน่น ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก กระสันซ่านเสียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในคอครางฮืออย่างสัตว์ เมื่อริมฝีปากแดงก่ำฉ่ำอวบอิ่มของโฉมงามหยาดฟ้า เผยออ้าโอบรับส่วนปลายดุ้นเนื้อเข้ามาไว้ในความอ
อดกลั้นระงับตนทั้งที่พลังของความใคร่และหื่นกระหายของบุรุษกึ่งครุฑหมุนพล่านปั่นป่วนอยู่ในทรวงอกช่องท้องราวกับมหาพายุที่ตนเคยเสกพัดกรุงพาราณสีจนเกิดความปั่นป่วนไปทั่วในวันที่ลักพานางมา ด้วยหมายให้กากีหายตระหนก พญาเวนไตยจึงดึงปลดมือของกากีข้างหนึ่งจากต้นแขนตน ยกขึ้นมาทาบที่อก “กากี ชายาของข้า รู้หรือไม่ ใช่เพียงข้าครอบครองเจ้า แต่เป็นเจ้าด้วยที่ครอบครองข้า ในอกของพญาครุฑตนนี้มีดวงใจเต้นอยู่ ดวงใจดวงนี้เป็นของเจ้า” ดวงตาชายหนุ่มจ้องมองดวงหน้างามวิไลในอ้อมกอดอย่างหลงใหล จริงใจ มั่นคง กากีสบสายตาคู่นั้นแล้วร้อนวาบไปทั้งแก้ม หลบตาสะเทิ้นสะท้าน ประกายดาวในดวงตาวับไหว ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตทั้งในและนอกหนังสือ ไม่เคยมีใครพูดหวานๆจีบกันซึ่งๆหน้าแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง แล้วยิ่งเป็นพี่นภ ชายในดวงใจของเธอแล้ว ยิ่งทำให้หัวใจของสีฝุ่นเต้นแรงแทบจะระเบิดออกมาจากอก แต่แล้ว ดรุณีผู้เลอโฉมก็ต้องประหลาดใจเมื่อมือเรียวงามบอบบางของนาง ค่อยๆเคลื่อนต่ำลงด้วยกำลังของฝ่ามือใหญ่หนาทรงพลัง จากทรวงอกที่มีดวงใจชายหนุ่มอุ่นร้อนเต้นเร่าอยู่ภายใน ลากเรื่อยมาที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เรื่อยม
นางสกุณีที่จ้องมองอยู่รีบเติมน้ำสีม่วงจากเหยือกลงในจอกทองคำอีก “พระชายากากี เจ็บท้องใช่ไหมเจ้าคะ เป็นเรื่องปกติเจ้าค่ะ สกุณีพรหมจรรย์ที่ท้าวเวนไตยเคยพามาร่วมอภิรมย์สมสู่ด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ในครั้งแรกๆ ก็ท่านเป็นถึงเจ้าเวหาแห่งหิมพานต์นี่เจ้าคะ อะไรๆก็ใหญ่โตโอ่โถงไปเสียหมด ข้าไม่เคยเห็นกระจะตานักหรอก แต่ก็ได้ยินบ่นกันทุกนาง ยิ่งถ้าเป็นร่างมนุษย์สตรีบอบบางอย่างพระชายากากีแล้วด้วย คงยิ่งเจ็บยิ่งชอกช้ำมาก ดื่มสมุนไพรโอสถทิพย์นี่เสียสิเจ้าคะ ช่วยให้อาการเจ็บท้องจากการร่วมประเวณีดีขึ้นได้ ข้าผสมเตรียมไว้ประจำ ตายจริง ผ้ารองนอนเปื้อนเลือดเสียด้วย มาเจ้าค่ะ ข้าจะรีบเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้” กากีรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงฉากอีโรติกวาบหวามกลางอากาศที่เธอกับพี่นภในร่างพญาครุฑหนุ่มเพิ่งผ่านมาหมาดๆ ความเจ็บระบมที่ส่วนสงวนยังคงแจ่มชัดว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง ทว่าแม่นกสาวบริสุทธิ์นั่นกลับพูดถึงเครื่องเคราของบุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้านายได้อย่างไม่เคอะเขิน ดูท่าท้าวเวนไตยคงอุ้มสาวๆมาที่นี่บ่อยแน่ๆ หลังจากดื่มน้ำสีม่วงนั้น อาการเจ็บปวดหน่วงในท้องค่อยๆดีขึ้นจนรู้สึกได้ บ