เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวปลดแก้ผ้าเตี่ยวผืนจิ๋วออกจากร่าง ขาข้างที่อยู่ด้านบนกอดก่ายร่าง ท่อนเนื้อแก่นกลางบุรุษเพศเริ่มปรากฏแรงตึงขมึง จากอ่อนกะปลกกะเปลี้ย เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแท่งท่อนชัดเจนขึ้น หนนี้พลาดไม่ได้แล้ว กากีคิด ใจหมายจะจู่โจมให้แล้วเรื่อง แต่ก็กังวลกลัวจะเสียเรื่องอีก หรือจะจับกด Women on top ไปเลยจะดีไหม พระเจ้าเหนือหัวจะหัวใจวายตายเสียก่อนสำเร็จหรือเปล่า ผู้หญิงสมัยโบราณขนาดนี้น่าจะไม่มีใครกล้าจัดหนักตั้งแต่ครั้งแรกๆขนาดนั้น แต่ก็ไม่... คิดได้เท่านั้นก็สะดุ้งเฮือก เมื่อร่างชายกลางคนขึ้นนาบทาบทับ ซุกไซ้ใบหน้าลงกับปทุมถันทั้งสองข้างรู้สึกถึงมือที่ลูบไล้เรื่อยลงไปถึงจุดสงวนอีกครั้ง หญิงสาวขยาดผวา ในขณะที่ชายกลางคนหอบหายใจแรงขึ้น “โอ ใจข้าจะขาดรอนเสียแล้วแม่คุณเอ๋ย ให้ข้าได้เชยให้ชื่นใจ ให้ข้าได้ โอ๊ะ!” เสียงอุทานนั้นทำเอากากีใจหายวาบ รีบผลักตัวพระเจ้าพรหมทัตลงข้างๆด้วยกลัวว่าจะซ้ำรอยเดิมอีก “อย่าเร่งร้อนนักเลยเพคะ ฝ่าบาท” กากีว่าพลางใช้ริมฝีปากฉ่ำหนานุ่มลื่นจุมพิตที่คางอย่างลูกหมาปร
“อาห์... กากีของข้า ไม่ไหวแล้ว ขอให้ข้าได้เข้าไปบ้างเถิด”พระเจ้าพรหมทัตรูดดึงองค์กำเนิดขนาดค่อนคืบของตนออกมาจากริมฝีปากนางกำนัลกากีจนดังผลัวะ ก่อนลนลานเลื่อนตัวกลับลงไปด้านล่าง แยกขานางออก แตะดุ้นกำเนิดเข้ากับเนินสวาทอุ่นร้อนเปียกฉ่ำของนาง ขยับเพียงเล็กน้อย องค์กำเนิดชายทั้งท่อนแท่งก็แทงไถลเลื่อนเสียบเข้าไปในที่ทางอย่างเหมาะเจาะรวดเร็ว นางกำนัลสาวหวีดร้องเบาๆในลำคอแล้วยกมือปิดปากปิดหน้าตนไว้ด้วยความอับอาย ขาทั้งสองกางออกกว้างสั่นระริก คิ้วขมวดยุ่ง ทั้งตึงแน่เจ็บเสียวระคนจนอกแทบระเบิด เยื่อพรหมจารีฉีกขาดแสบปลาบ แต่เมื่อเอวของพระเจ้าพรหมทัตเริ่มขยับเข้าออกเพื่อเสพให้สมกระสันต์ ความเจ็บก็เริ่มบรรเทาลง กลายเป็นความหฤหรรษ์ โลกทั้งโลกโยกไกวไปมาตามจังหวะเสือกกายกระชับของบุรุษ คับแน่นเหมือนจะปริแตกแต่ก็ไม่แตกไม่ร้าว บวมแดงเหมือนช้ำแต่ก็ไม่เจ็บปวด พระเจ้าพรหมทัตเสพนางอย่างสุดกำลัง ตื่นตาตื่นใจกับภาพงามอลังการพิสดารตรงหน้า เทพธิดาที่กำลังปลดเปลื้องความใคร่ด้วยสองดรรชนี นางหายใจหอบถี่ ปลายถันแดงก่ำ รูดนิ้วงามเรียวยาวของนางเข้าออกในช่องสวาทอย่างเปี่ยมกำหนัด กา
“แหมๆๆ ดูเจ้าทำหน้าเข้า แม่กากี น้องรักของพี่เพราะผลงานของเจ้าทีเดียว ทำให้องค์เหนือหัวพรหมทัตทรงพอพระทัยยิ่งนัก เร่งตามข้ามาที่ห้องเถิด ข้าตระเตรียมชุดทรงและเครื่องประดับถนิมพิมพาภรณ์เอาไว้ให้เจ้ามากมายนัก เจ้าชอบเพชรพลอยประดับสีใด รูปทรงลวดลายใด มาเลือกดูลองสวมใส่จนกว่าจะเหมาะใจเถิด เตรียมตัวเข้าพระราชพิธีอภิเษกวันนี้มิต้องฝึกมิต้องทำการใดทั้งนั้นแล้ว” ในน้ำเสียงนั้นตื่นเต้นดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด “งานพระราชพิธี ผู้ใดอภิเษกกระไรเจ้าคะ พระสนมแก้ว” กากีสับสน พระสนมแก้วที่งามหยาดหยดอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งโสภาดังมีรัศมีเทพรอบกายด้วยเครื่องทองสุดอลังการ ยกมือทั้งสองข้างแตะแก้มกากีแล้วตอบ “แม่เด็กน้อยเอ๋ย จะงานกระไรได้เล่า ก็งานอภิเษกเราทั้งสองน่ะสิ ข้าเป็นพระมเหสีฝ่ายขวา ส่วนเจ้าเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย ทรงมีรับสั่งให้จัดงานเร็วที่สุด อีกสามวันข้างหน้า น้องรักของข้า เราทั้งคู่และบุตรของเราที่จะมีในภายภาคหน้า จะมีโอกาสได้ขึ้นนั่งบัลลังค์แล้ว เจ้าดีใจหรือไม่เล่า กากีเอ๋ย” นางกากี แม้ทราบดีว่าเส้นเรื่องหลักนี้ กากีคนงามไม่มีทางได้ดำเนินไปตามความยิ่งใหญ่ในเส้นทางขอ
ในเพลานี้ทั่วทั้งกรุงพาราณสี ผู้คนต่างพากันตื่นเต้นยินดีและเฝ้ารองานใหญ่ของเมือง คืองานสมโภชอภิเษกพระมเหสีองค์ใหม่พร้อมกันถึงสองพระองค์ ประกาศจากในพระราชสำนักว่า หลังพิธีแต่งตั้งพระสนมแก้วและพระสนมกากี ผู้ที่ใครต่อใครล่ำลือกันว่างามเลิศล้ำในปฐพี จะมีการจัดงานสมโภชใหญ่ เจ็ดวันเจ็ดคืน มีการแสดง ร่ายรำ ดนตรีมีการเผาเทียนเล่นไฟ มีการละเล่นแบบต่างๆ และมีการจัดเลี้ยงข้าวปลาอาหารทั้งคาวหวาน ให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทุกคนสามารถเข้ามาร่วมในงานที่น่ายินดีครั้งนี้ได้ ในขณะที่ภายในพระราชวัง กากีสนทนากับพระสนมแก้วถึงตอนหนึ่ง “นางกำนัลไร้นามไงคะ นางคนที่ข้าขอร้องให้เข้าไปเป็นสหายร่วมหอ ในคืนที่ถวายตัวสำเร็จ พระสนมแก้วจำไม่ได้หรือคะ” สีฝุ่นหรือกากีขมวดคิ้วถามอย่างงุนงง นอกจากนางจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ดูเหมือนทุกคนจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับนางกำนัลไม่มีบทคนนั้นไม่ได้เลย “เจ้าพูดกระไร กากี คืนนั้นข้าไปส่งเจ้าด้วยตนเอง ไม่เห็นมีนางกำนัลผู้ใดเข้าไปด้วยเจ้า ถวายตัวครั้งแรกๆ ใครมันจะหาญกล้าขอสหายร่วมหอร่วมเตียง บัดสีน่าอายอยู่ไม่ใช่น้อยสำหรับดรุณีแรกสาวเยี่ยงเจ้า เอ้า อย่ามัวแต
มานพหนุ่มร้อนวูบไปทั้งหน้า เมื่อรู้สึกว่าถูกสบประมาท “เป็นพระกรุณายิ่งนักที่เมตตาข้า หากแต่เรื่องคู่ครองนั้น บุรุษควรเป็นผู้เลือกสรรสตรีที่ต้องใจด้วยตนเอง แลเอาชนะใจ จึงเหมาะควรจะครอบครองนางได้ ข้าเชื่อเช่นนี้ อีกอย่าง ตามที่ปราชญ์ท่านว่าไว้ หญิงสาวนั้นควรเป็นสมบัติของชายหนุ่ม หากบุญวาสนาของข้ามีพอแล้วไซร้ สักวันหนึ่งข้าคงได้ครอบครองหญิงสาวที่ข้าหมายปอง ครอบครองนางทั้งกายและดวงใจ โดยความสมัครใจยินยอมของนางเอง โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจไปบังคับขู่เข็ญ” พระเจ้าพรหมทัตเมื่อเห็นมานพหนุ่มมีอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมายิ่งพอใจ เข้าใจว่าคู่สนทนาริษยาตน นึกอยากจะกระเซ้าให้หนักแรงขึ้นอีก “จริงอยู่ หญิงสาวคู่ควรเป็นสมบัติของชายหนุ่ม แต่กระนั้นหากชายแก่เช่นข้า ทำให้หญิงสาวพอใจในรสรักได้ ข้าว่าทั้งสองฝ่ายก็เหมาะควรเช่นกัน” ชายกลางคนก้มตัวเข้ามาใกล้ ลดเสียงเพียงกระซิบแผ่วแต่จงใจให้ได้ยินทุกคำ “เมื่อคืนก่อนตอนที่นางถวายตัว ทั้งใบหน้า ท่าทาง และเสียงของนาง จับใจข้ายิ่งนัก ข้าได้เชยความงามของนางอย่างตั้งอกตั้งใจ ทุกซอก ทุกมุม ทุกกระเบียด บนส่วนที่นุ่มที่สุด ลื่นที่สุดและลึกที่สุดในกายนาง เจ
ฝุ่นหรือพระมเหสีกากีศิริพิลาศตามท้องเรื่องนั้น แม้เมื่อสาย ตอนที่ยืนอยู่สูงบนระเบียงบัญชรหลวง ในอกใจก็ไหวหวั่น สายตามองหาแต่บุรุษผู้หนึ่งอยู่เสมอ หญิงสาวรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่แค่เพียงความรู้สึกของตัวละครตามท้องเรื่องเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง เธอก็ตกหลุมรักชายคนเดียวกันนี้ รักใคร่ใฝ่ปองมานานหลายปี ทั้งที่รู้ตัวดีว่าไม่มีวันสมหวัง ในโลกแห่งความเป็นจริง เขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ไม่เคยชายตามองเธอแม้สักครั้งเดียว และด้วยชะตาลิขิตตามท้องเรื่อง แม้ท่ามกลางฝูงชนมหาศาล โฉมงามกากีก็ยังสามารถมองเห็นบุรุษหนุ่มหนึ่งในดวงใจปรากฏเด่นงามท่ามกลางมหาชน ดั่งมีรัศมีกายสีแดงผ่องพรรณทอดสายตามองมาที่ตัวเธอด้วยความปรารถนาอาลัยรักอย่างไม่มีปิดบัง ทั้งสองทอดสายตามองกันและกันอยู่เช่นนั้น กระทั่งนวลแก้มและใบหน้าของกากีร้อนผ่าวดังอังไฟ ในอกร้อนเหมือนกองไฟกองใหญ่สุมอยู่ โฉมงามหยาดฟ้าหายใจติดขัดอยู่ตรงหน้าบัญชรหลวง ริมฝีปากฉ่ำงามเผยอหายใจถี่ แดงปลั่งดั่งลูกตำลึงสุก ซวดเซจนต้องยึดราวระเบียงไว้แน่น ไฟรักไฟปรารถนามันเป็นเช่นนี้เองหรือ สีฝุ่นคิด ก่อนนี้อ่านพบในหนังสือนิยาย ได้ยินแต่ในล
กากีหรือสีฝุ่นที่นอนร้อนรุ่มเพราะพิษรักแผดเผาอยู่ ยิ่งเมื่อได้ยินคำว่าตัดใจ คำเดียวกับที่แตงกวา เพื่อนสนิทในออฟฟิศเคยพูดไว้กับเธอในวันที่พี่นภจะประกาศแต่งงาน ก็ตื้อตันในลำคอขึ้นมาทันที น้ำตาร่วงเผาะลงบนหมอนจนเปียกเป็นดวง พระมเหสีรัตนมณีกระหยิ่มในใจ “โถ แม่คุณ จริงดั่งที่ข้าคิดสินะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าอย่าได้หงอยเหงาเศร้าสร้อย ซุกตัวอยู่แต่ในห้องหับอับเก่าเช่นนี้เลย มาเถิด ข้าจะพาออกไปหายใจเอาอากาศพิสุทธิ์ภายนอกมาล้างจิตใจเศร้าหมองของเจ้า ที่วังนี้ยังมีอีกหลายที่หลายมุมนะ ที่เจ้ายังไม่เคยได้เห็น มีมุมดีๆ ที่เจ้าจะมองเห็นนครพาราณสีได้ทั้งเมือง อยู่ที่ระเบียงดาดฟ้า เชื่อข้าสิ เจ้าต้องชอบใจเป็นแน่” ในเพลาบ่ายคล้อย ระเบียงดาดฟ้าด้านหลบแดดของวัง ท้าวเวนไตยพญาครุฑในร่างมานพหนุ่มรูปงามทบทวนในใจ เดินวนเวียนอยู่รอบนอกอาคารพระราชวังกรุงพาราณสีอย่างใคร่ครวญ จนใกล้ถึงเวลาบ่ายคล้อยจึงเดินอ้อมทิศทางแดดไปตามที่พระมเหสีรัตนมณีได้เคยเอ่ยถึงไว้ มาดหมายเพียงได้เห็นโฉมแม่งามกากียอดปรารถนาอีกสักครั้ง ที่ระเบียงหินอ่อนด้านหลบแดดในยามบ่ายคล้อย ลมโชยพัดอ่อนสายลมพัดเย็นสบายตัว ก
เราตายแล้วขึ้นสวรรค์ หรือเราฝัน หรือเราเมายากันแน่นะ สีฝุ่นในร่างนางกากีโฉมงามจึงคิดและรู้สึกเช่นนี้ ในชั่วขณะที่ร่างบอบบางของเธอถูกกระชับแนบแน่นเข้ากับหนั่นกล้ามเนื้อหนาที่แผงอกเปลือยเปล่าอุ่นร้อนของท้าวเวนไตยที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับพี่นภทุกประการ ปีกสีน้ำตาลแดงกางกระพืออยู่เหนือเมฆา เบื้องล่างนั้นเป็นทิวทัศน์ทุ่งหญ้าป่าเขา อันงดงามเกินพรรณนา “อึดใจเดียวเท่านั้น กากี ยอดปรารถนาของข้า ผ่านอีกเจ็ดหุบเขา เจ็ดมหาสมุทร ก็จะถึงสถานวิมานฉิมพลี อันจะกลายเป็นรังรักของเราสอง เพียงข้าเห็นเจ้าแวบแรก อกข้าก็ร้อนเหมือนไฟเผาแทบแดดิ้นสิ้นใจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับหญิงใดมาก่อน เทพแห่งกามแผลงศรเพลิงใส่หัวใจข้าแน่แท้ วาสนาของข้า บุญเราคงสร้างร่วมกันมา เจ้ากับข้าจึงมีจิตปฏิพัทธ์ต่อกันแต่แรกพบเช่นนี้ ฟังเสียงหัวใจข้าสิกากี มันร่ำร้องว่าอย่างไร” ครุฑหนุ่มประคองศีรษะกากีแนบเข้ากับอกซ้ายของตน กลิ่นผิวกายเนื้อบุรุษแห่งหิมพานต์อุ่นฟุ้งหอมอวลอยู่ในโสตประสาทของกากีจนหน้ามืดตามัวไปหมด เสียงหัวใจชายหนุ่มดังหนักแน่นอยู่ข้างหู หัวใจของกากีเองก็เต้นรัวแทบจะโลดออกจากอกเช่นกัน ปากคอแม่งามแห้งปาก
“ท้าวเวนไตย กลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ เป็นวาสนาของข้าแท้ๆ ที่ตื่นมาแล้ว ก็ได้พบหน้าท่านดั่งใจหมาย” “หึ” พญาครุฑหนุ่มออกเสียงในลำคอเหมือนไม่พอใจ “คำของเจ้าหวานล้ำจนข้าใจละลายทีเดียว ไม่รู้ก่อนหน้านี้ เจ้าเคยได้เอ่ยวาจารื่นหูเช่นนี้กับชายใดมาก่อนหรือไม่” กากีแม่งามเลิศหล้านิ่งงันไปด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปตรงไหน ก่อนออกไปก็ยังดีๆกันอยู่เลยนี่นา “ไฉนท่านพูดเช่นนั้นเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นชายาของท่าน จักพูดถึงผู้อื่นไปทำกระไร” ท้าวเวนไตยผินร่างกำยำล่ำสันเมินมองเสออกไปที่ผนังใสด้านนอกวิมาน “เมื่อครู่นี้ เจ้ายังละเมอเพ้อออกมาว่าจะรีบกลับไป หัวเราะหัวใคร่ระรื่นนัก เจ้านิมิตฝันว่าอยู่ด้วยผู้ใดอยู่หรือ ชายใดหรือที่เจ้าจากมาแล้วอาวรณ์อยากกลับไปหาถึงเพียงนั้น” หญิงสาวงามประโลมหล้าเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ เผยอปากเอ่ยขึ้น “ท้าวเวนไตย ขุ่นข้องหมองใจข้าด้วยเรื่องใดหรือเจ้าคะ บอกให้ข้าได้รู้เถิด” ครุฑหนุ่มวัยฉกรรจ์สะบัดหน้ากลับมาจ้องหน้ากากี ดวงตาดุดันดั่งพญานกเพลิง “วันนี้ข้าไปเล่นสกาด้วยกษัตริย์พรหมทัตมา แลได้ปะทะคารมกับเจ้านาฏกุเวรพิณเทวะนั่นมาสองสามคำ เจ้าบอกข้ามาโดยสัจเถิดกากี ว่าเจ
แต่เมื่อแตงกวาหันมาเห็นเธอเข้ากลับสะดุ้งโหยง ถอยกรูด “คุณ...คุณเป็นใครเนี่ย โห... ” เช่นเดียวกับทุกคนที่ได้เห็นโฉมงามกากีเป็นครั้งแรก ดวงตาเธอเบิกโพลงตะลึงงันจนพูดไม่ออก สีฝุ่นเห็นอาการแล้วพอเดาได้จึงรีบแก้ปัญหาทันที “แตงกวา นี่ฉันเองนะ สีฝุ่น สีฝุ่นเพื่อนแกไง เราอยู่สำนักพิมพ์เดียวกันไง จำได้ไหม” หญิงสาวในชุดทำงานส่ายหน้าดิก “ไม่ค่ะ จำไม่ได้ ห๊ะ เดี๋ยว อะไรนะ สีฝุ่น ฝุ่น เออ เสียงเหมือนจริงๆด้วย แต่ว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็แก...แกตอนนี้” สีฝุ่นกำลังคิดว่าจะเริ่มเล่ายังไงดี สีหน้าของแตงกวาก็กลับเปลี่ยนไปกะทันหัน ดวงตาเธอเบิกกว้าง ปากคอสั่น หน้าซีดเผือด “หรือ...หรือว่า โธ่... โธ่เอ๋ย สีฝุ่น โธ่ แก... ฉันไม่น่าเลย คืนนั้นฉันไม่น่าทิ้งแกไว้คนเดียวเลย โฮ” ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮ “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน แตงกวา นี่แกร้องไห้ทำไม ไม่ต้องกลัว นี่ฉันเองนะ สีฝุ่นเพื่อนแกไง” กากีนางกายหอมที่หัวใจยังเป็นสีฝุ่นเต็มร้อยโผเข้ากอดเพื่อนแน่น “รูปร่างหน้าตาฉันไม่เหมือนเดิม แกเลยตกใจกลัวใช่ไหม เอาละ สูดหายใจลึกๆ ใจเย็นๆ” แตงกวายังร้องไห้สะอึกสะอื้น “แ
ท้าวเวนไตย บุรุษหนุ่มร่างกำยำเจ้าแห่งหิมพานต์เงยหน้าสบตาองค์พรหมทัตแวบหนึ่ง เมื่อเห็นความทุกข์โทมนัสในแววตานั้นก็รู้สึกผิดแปลบปลาบในใจขึ้นมาทันทีจนต้องหลบสายตาลงแวบหนึ่งในขณะที่เหนือหัวพรหมทัตค่อยๆนั่งลงบนตั่งตัวเดียวกันเพื่อเตรียมเริ่มเกมสกา กิริยานั้นไม่พ้นสายตาบุรุษกึ่งเทวะอย่างนาฏกุเวรผู้ชาญฉลาดและช่างสังเกต ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปแล้ว ชายหนุ่มรูปงามสะอ้านหมดจดดั่งเทพปั้นก็ยิ่งมั่นใจ สายตาของกากีและมานพหนุ่มผู้นี้ที่เคยได้เห็นว่าทอดมองกันครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ไม่ใช่ธรรมดาแน่แท้ แต่เพื่อความแน่ใจเขาจึงรีบคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างพระที่ขององค์พรหมทัตทันที เจ้าวิหคผู้เป็นยอดบุรุษเหนือแดนหิมพานต์ชำเลืองสายตามามองนาฏกุเวรแวบหนึ่ง นึกได้ถึงคำเตือนของแม่ยอดดวงใจที่ว่าไว้ ห้ามเข้าใกล้หรือสนทนากับคนผู้นี้ เพราะอันตรายนัก ท้าวเวนไตยยิ้มมุมปาก หึ นี่หรือ ที่แม่งามกากีว่าเป็นผู้อันตรายนักหนา มิเห็นน่าเกรงขามแต่อย่างใด ผิวพรรณใบหน้างามหวานละไม อ้อนแอ้นราวอิสตรี คิดแล้วก็เสมองกระดานสกาต่ออย่างมิได้ใส่ใจ นาฏกุเวรนั้นเมื่อได้เข้ามานั่งติดต
ท้าวเวนไตย ชายหนุ่มร่างกำยำดวงหน้าคมเข้ม ดวงตาดุดันทรงอำนาจชวนพิสมัย ยืนหันข้างอยู่ที่ฝั่งโปร่งแสงของห้อง พนมมือหลับตาขยับปากบริกรรมบางอย่าง แสงแดดทอรุ้งของหิมพานต์ห่มอาบกายเขาจนชวนใจละลายมากขึ้นไปอีก สีฝุ่นในร่างกากีเพลินมองชายในดวงใจไม่วางตา พลันนั้น ร่างของท้าวเวนไตยปรากฏแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นจนตาพร่า พอแสงนั้นหายไป ท้าวเวนไตย บุรุษแห่งหิมพานต์ก็อยู่ในเครื่องแต่งกายแบบบุรุษมานพหนุ่ม ดั่งที่กากีเคยเห็นในวังเมืองพาราณสีมาก่อนแล้ว ดวงตาฉงนสดใสดั่งลูกมฤคินทร์น้อยกะพริบวูบไหว ฉงนสงสัย “ท้าวเวนไตย ยอดดวงใจของข้า นั่นท่านแต่งกายเช่นนั้น จะออกไปไหนกันเจ้าคะ ไม่อยู่กับข้าเสียที่นี่หรือ” หญิงสาวงามหยาดฟ้าออดอ้อนรำพันในท้ายเสียง ชายหนุ่มหันมาสบสายตาลูกกวางน้อยบนฟูกนอน ในทรวงร้อนรุ่มวูบวาบด้วยแรงพิศวาส ที่ยังคุกรุ่นไม่เลือนหาย “ดูเถิด น้ำเสียงเช่นนั้นทำให้ข้าไม่หมายจะก้าวออกไปจากห้อง อยากจะอยู่เคล้าคลอพะนอเจ้าไปตลอดทั้งวันคืน หากไม่ติดว่าถึงเวลาต้องออกไปแล้ว ข้าคงโถมไปทับร่างเจ้าเดี๋ยวนี้ เสพเจ้าเสียให้สมหัวใจข้า ไม่ต้องเงยหน้าเห็นเดือนเห็นตะวัน
“กากี ชายายอดรักของข้า ข้าไม่เคยหลั่งเชื้อกำเนิดในกายสตรีใด เพราะมิหมายสืบเผ่าพันธุ์กับสตรีอื่น แต่เจ้าผู้เป็นยอดดวงใจของข้า ข้าจะมอบสายธารแห่งชีวิตนี้ ไว้ในช่องนาภีของเจ้าแต่ผู้เดียว” บุรุษหิมพานต์โยกไกวไหวกายเคลื่อนรวดเร็วยิ่งขึ้นอีก สองกายก่ายกอดราวกับจะรวมเป็นกายเดียว ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งมันปลาบลูบลื่นด้วยอาบเหงื่อ นุ่มลื่นชื่นฉ่ำไปทุกผิวสัมผัส หยาดเหงื่อใสเกาะพราวทั่วร่าง หยดหนึ่งหล่นลงกลางหว่างถันหนั่นแน่น หยดหนึ่งหล่นลงบนยอดถันสีหมากสุกแดงก่ำ อุ่นร้อนผะผ่าว ไหลลากเป็นทางยาวลงข้างลำตัวก่อนซึมซาบวาบหายลงในเนื้อผ้าทอขนอ่อนลูกนกที่นุ่มลื่นกระตุ้นอารมณ์กำหนัดให้ยิ่งกระเจิดกระเจิงไปอีก สาบกายบุรุษฟุ้งหอมคลุ้งในห้วงนาสา หญิงสาวซุกหน้าลงกับอกเขา สูดหายใจให้กลิ่นนั้นไหลร่าลงในลำคอ เรื่อยจนอัดแน่นในช่องทรวงอก เสพสมอีกสัมผัสจนฉ่ำชื่นใจ นางกากีสตรีผู้งามเป็นหนึ่งในหล้า หรี่ตาปรือ ริมฝีปากฉ่ำเผยอค้าง หน้ามืดตาลาย มัวเมาด้วยกลิ่นรสกามอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัส ตัวใจเต้นรัวแรงดังเสียงกลอง เร็วเกือบเท่าจังหวะเขย่าไกวไหวกระแทกของบั้นเอวแข็งแ
แม้จะอยู่ในวิมานฉิมพลี แต่กากีก็สบายใจ ที่มีห้องน้ำมิดชิดดีอย่างเมืองมนุษย์ สกุณีปักษีน้อยพากากีนั่งลงบนตั่งตัวเล็ก รวบผมมุ่นมวยไว้กลางกระหม่อมเปิดผ้าคลุมออก เอาผ้าชุบน้ำอุ่นลอยดอกไม้หอมราดตัวให้นางกายหอมอย่างคล่องแคล่ว นางหยิบแผ่นใยละเอียดบาง ที่ดูคล้ายเยื่อไม้สีขาวชุบน้ำด่างมาขัดคราบเหนียวลื่นออกจากร่างกายของเธอ “ใยใบไม้เจ้าค่ะ ไม่หยาบไป ไม่นิ่มไป ขัดคราบเชื้อกำเนิดดีนัก” นางปักษีเอ่ยเจื้อยแจ้วตามวิสัย กากีหรือสีฝุ่นอดขำไม่ได้ “สกุณี เจ้านี่ดูชำนาญกับเรื่องอย่างนี้ดีจริง เจ้ามีหน้าที่ขัดชำระสตรีนางอื่นๆที่ท้าวเธอพามาเสพอย่างนี้ทุกนางหรือ” สกุณีเอียงคออย่างนางนก ตาเรียวชี้เคลื่อนไหวเร็วไวใสแจ๋วน่าเอ็นดู “เจ้าค่ะ ท้าวเวนไตยไม่ทรงหลั่งเชื้อกำเนิดในกายสตรีใดเลยเจ้าค่ะ แม้พวกนางจะปรารถนาได้มีโอกาสอุ้มครรภ์ทิพย์ของท้าวเวนไตย ท่านไม่ประสงค์ให้มีทายาทกำเนิดกับนางปักษีตนใดมาก่อนเลย คงหมายจะสืบทอดทายาทแต่กับพระชายาเท่านั้น ดั่งนี้แล้ว เปรอะกันแบบนี้ทุกนางแหละเจ้าค่ะ บางนางไหลเยิ้มเข้าไปในซอกเกศา สระสางกันเกือบชั่วยามกว่าจะออกหมด” ก
“โอว...เจ้าทำกระไร” บุรุษหิมพานต์เสียงสั่น ครางไม่เป็นภาษาต่อจากนั้น เมื่อกากีย้อนทบทวนบทเรียนวิชาปลุกกำหนัด กับท่อนเนื้อจำลองในห้องที่เต็มไปด้วยนางเปลือยเมื่อครั้งอยู่กรุงพารารณสี หญิงสาวกำมือรวบรอบท่อนเนื้อกำเนิดชีวิตไว้กระชับมั่น ครานั้นถุงผ้าจำลองบรรจุน้ำเย็นชืดไร้ชีวิต แต่ครานี้แตกต่างไปนัก ทั้งอุ่นร้อน เต้นตุบ กลิ่นรสของเครื่องเพศชายที่แท้จริงเป็นเช่นนี้เอง ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนผ่าวไปทั้งร่าง เครื่องกำเนิดของนางเองก็ร้อนวูบวาบตามเต็มไปด้วยไฟกาม กลิ่นเรียกรักจากองค์กำเนิดนางหอมฟุ้งกระจายไปทั่วสถานวิมานฉิมพลี ฝูงสัตว์หิมพานต์ที่ได้กลิ่นนั้นต่างนิ่งงันงงงวย นกตกตะลึงแทบลืมบินร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ใบหน้าอ่อนเยาว์เคลื่อนขึ้นลง ลากลิ้นจากส่วนโคนชิดโขดหินคู่ เลียไล่ขึ้นมาถึงปลายยอด สลับไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า หน้าท้องขององค์เวนไตยกระตุกสะท้านเป็นจังหวะ สองมือกุมกำไหล่บอบบางไว้แน่น ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก กระสันซ่านเสียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในคอครางฮืออย่างสัตว์ เมื่อริมฝีปากแดงก่ำฉ่ำอวบอิ่มของโฉมงามหยาดฟ้า เผยออ้าโอบรับส่วนปลายดุ้นเนื้อเข้ามาไว้ในความอ
อดกลั้นระงับตนทั้งที่พลังของความใคร่และหื่นกระหายของบุรุษกึ่งครุฑหมุนพล่านปั่นป่วนอยู่ในทรวงอกช่องท้องราวกับมหาพายุที่ตนเคยเสกพัดกรุงพาราณสีจนเกิดความปั่นป่วนไปทั่วในวันที่ลักพานางมา ด้วยหมายให้กากีหายตระหนก พญาเวนไตยจึงดึงปลดมือของกากีข้างหนึ่งจากต้นแขนตน ยกขึ้นมาทาบที่อก “กากี ชายาของข้า รู้หรือไม่ ใช่เพียงข้าครอบครองเจ้า แต่เป็นเจ้าด้วยที่ครอบครองข้า ในอกของพญาครุฑตนนี้มีดวงใจเต้นอยู่ ดวงใจดวงนี้เป็นของเจ้า” ดวงตาชายหนุ่มจ้องมองดวงหน้างามวิไลในอ้อมกอดอย่างหลงใหล จริงใจ มั่นคง กากีสบสายตาคู่นั้นแล้วร้อนวาบไปทั้งแก้ม หลบตาสะเทิ้นสะท้าน ประกายดาวในดวงตาวับไหว ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตทั้งในและนอกหนังสือ ไม่เคยมีใครพูดหวานๆจีบกันซึ่งๆหน้าแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง แล้วยิ่งเป็นพี่นภ ชายในดวงใจของเธอแล้ว ยิ่งทำให้หัวใจของสีฝุ่นเต้นแรงแทบจะระเบิดออกมาจากอก แต่แล้ว ดรุณีผู้เลอโฉมก็ต้องประหลาดใจเมื่อมือเรียวงามบอบบางของนาง ค่อยๆเคลื่อนต่ำลงด้วยกำลังของฝ่ามือใหญ่หนาทรงพลัง จากทรวงอกที่มีดวงใจชายหนุ่มอุ่นร้อนเต้นเร่าอยู่ภายใน ลากเรื่อยมาที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เรื่อยม
นางสกุณีที่จ้องมองอยู่รีบเติมน้ำสีม่วงจากเหยือกลงในจอกทองคำอีก “พระชายากากี เจ็บท้องใช่ไหมเจ้าคะ เป็นเรื่องปกติเจ้าค่ะ สกุณีพรหมจรรย์ที่ท้าวเวนไตยเคยพามาร่วมอภิรมย์สมสู่ด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ในครั้งแรกๆ ก็ท่านเป็นถึงเจ้าเวหาแห่งหิมพานต์นี่เจ้าคะ อะไรๆก็ใหญ่โตโอ่โถงไปเสียหมด ข้าไม่เคยเห็นกระจะตานักหรอก แต่ก็ได้ยินบ่นกันทุกนาง ยิ่งถ้าเป็นร่างมนุษย์สตรีบอบบางอย่างพระชายากากีแล้วด้วย คงยิ่งเจ็บยิ่งชอกช้ำมาก ดื่มสมุนไพรโอสถทิพย์นี่เสียสิเจ้าคะ ช่วยให้อาการเจ็บท้องจากการร่วมประเวณีดีขึ้นได้ ข้าผสมเตรียมไว้ประจำ ตายจริง ผ้ารองนอนเปื้อนเลือดเสียด้วย มาเจ้าค่ะ ข้าจะรีบเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้” กากีรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงฉากอีโรติกวาบหวามกลางอากาศที่เธอกับพี่นภในร่างพญาครุฑหนุ่มเพิ่งผ่านมาหมาดๆ ความเจ็บระบมที่ส่วนสงวนยังคงแจ่มชัดว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง ทว่าแม่นกสาวบริสุทธิ์นั่นกลับพูดถึงเครื่องเคราของบุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้านายได้อย่างไม่เคอะเขิน ดูท่าท้าวเวนไตยคงอุ้มสาวๆมาที่นี่บ่อยแน่ๆ หลังจากดื่มน้ำสีม่วงนั้น อาการเจ็บปวดหน่วงในท้องค่อยๆดีขึ้นจนรู้สึกได้ บ