และเซี่ยงเส้าเหยียนก็เป็นเช่นนี้เขาที่ทะลวงเขตปรมาจารย์ได้หลายปี พยายามฝึกซ้อมอยู่เสมอ ลองเดินไปอีกขั้นเข้าสู่เขตเทวา ทว่าผ่านไปหลายปีอย่างไรก็ไม่เห็นผลนอกจากเซี่ยงเส้าหลงผู้นำตระกูล แม้จะเป็นเขาซึ่งมีพลังรบขั้นยอดก็ยากจะก้าวหน้าทว่ายามนี้ประสาทสัมผัสของเขารู้สึกถึงความกดดันและความขย่มขวัญที่มาจากเขตเทวาแค่พลังรอบตัวก็ราวกับกำลังรัดลำคอ ทำให้เขาหายใจไม่ออกอันตราย!อันตรายมาก!“หรือว่าตระกูลเหอส่งเจ้ามา?!”อู่จ้านกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตวาดออกไปเมื่อวานเพิ่งกำจัดพวกอู๋อีฝานที่มาดักฆ่า ไม่นึกว่าวันนี้จะมาอีกซ้ำยังเป็นยอดฝีมือระดับเขตเทวา!พลังล้ำลึกมิอาจคาดเดา มิใช่รับมือได้ง่าย ๆ!“เหอะ ๆ...”นิรนามแสยะยิ้ม ค้อมตัวหยิบวัตถุรูปร่างเหมือนพลองยาวซึ่งมีผ้าสีดำพันอยู่แล้วค่อย ๆ แกะออก “ใครส่งข้ามาก็ไม่สำคัญ เป้าหมายข้าคือฉินอวิ๋นฟานแค่คนเดียว พวกเจ้าไม่อยู่ในขอบเขตการล่าของข้า!”เสียงของเขาแผ่วเบานุ่มละมุนกลับพกพาจิตสังหารชวนให้คนขนพองสยองเกล้าพึ่บ...ครั้นแกะออก ผ้าต่วนสีดำที่พันพลองเหล็กอยู่ก็ลอยละลิ่วไปตามสายลมพลองเหล็กประกายทองวับวาว เปล่งประกายคมไม่สิ้นสุดดังปืนท
อู่จ้านรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้จึงล่นถอยไปอยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็วยามนี้ฉินอวิ๋นฟานสั่งให้ทหารทุกนายอยู่ในภาวะพร้อมเข้าร่วมศึกแล้วเหตุจากพื้นที่ต่อสู้ไม่เอื้ออำนวยต่อปืน ดังนั้นจึงส่งสมาชิกหน่วยเอเคสี่สิบแปดยี่สิบคนไปประจำอยู่ข้างหน้าข้างหลังคือหน่วยหน้าไม้ที่รอรับช่วงต่อ“เสี่ยวฟาน! คนผู้นี้ฝีมือล้ำลึกยากจะคาดเดา รับมือยาก เก่งว่าเซี่ยงเส้าเหยียน จัดเป็นยอดฝีมือเขตเทวา!”อู่จ้านวิ่งเร็วมารายงานสถานการณ์ทั้งที่บาดเจ็บยามนี้เซี่ยงเส้าเหยียนรับมือกับนิรนามคนเดียว เห็นชัดว่ามิใช่หนทางคาดว่าคงรับมือได้อีกไม่นาน“ดูออก”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งเครียดเป็นพิเศษไม่นึกว่าหนนี้พวกเขาจะส่งยอดฝีมือเขตเทวามา!ดูท่าคงคิดจะเล่นงานเขาให้ตายจริง...“หานซิ่น พาสามคนบุกไป พยายามรั้งเอาไว้ให้ได้ ทำพื้นที่ให้โล่งเปิดโอกาสยิง!”สถานการณ์คับขัน ฉินอวิ๋นฟานออกคำสั่งไปโดยมิอาจคำนึงถึงว่าจะส่งใครเวลานี้ต้องคลี่คลายวิกฤตก่อนจึงจะถูก“รับทราบ!”หานซิ่นปฏิบัติตามคำสั่ง รีบนำทหารฝีมือดีสามคนไปเป็นกองหนุนเซี่ยงเส้าเหยียนในบริเวณต่อสู้แน่นอน จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่เพื่อให้นิรนา
จะให้นิรนามตีประชิดไม่ได้เด็ดขาด!มิเช่นนั้นฉินอวิ๋นฟานต้องไม่รอดแน่!ทว่า...อู่จ้านประเมินกำลังของตัวเองสูงไปเผชิญกับจิตสังหารที่มิอาจขวางกั้นของนิรนาม แม้แต่การต้านทานโดยพื้นฐานก็ยังทำไม่ได้ รู้สึกเพียงข้างหูมีลมเย็นวูบมา แสงทองกะพริบตรงหน้าฉับ!วินาทีต่อมา กระบี่ยาวในมือของเขาถูกกระแทกจนหัก แรงสั่นสะเทือนส่งถึงไปทรวงอก พลังที่ไม่สามารถทัดเทียมได้ชนกระเด็นออกไปโดยตรง!“พู่!”อู่จ้านกระอักเลือดสีดำออกมาจากปาก แผ่นหลังชนกับผนังเขาอย่างจังก่อนจะร่วงลงมา สิ้นกำลังรบในพริบตา!“เหอะ...ใครมาก็ไม่มีประโยชน์!”นิรนามสองตาเปล่งแสงสีแดง กำพลองเหล็กในมือแน่น กวาดทหารมือดีที่ขวางอยู่ตรงหน้าทั้งหมด“ของเล่นสีดำของเจ้านี้ไม่เลวจริง ๆ แต่มันไม่มีประโยชน์กับข้า พวกเจ้าก็แค่มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้น!”กลิ่นอายมฤตยูมิอาจกั้นได้แล้วฉินอวิ๋นฟานเห็นดังนั้น ใจหายวาบฉับพลันจบกันคราวนี้จบแน่แล้วคนที่ขนาดเซี่ยงเส้าเหยียนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ แล้วยังถึงกับเลี่ยงเอเคสี่สิบแปดกับหน้าไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้ละเนี่ย!หนนี้ต้องพ่ายแพ้ทั้งที่รอบคอบแล้ว!ไม่นึกว่าในช่วงเวลาสำคัญท
บรรยากาศชักกระบี่ง้างเกาทัณฑ์ฉับพลันทว่ากลิ่นอายอันตรายยังไม่หมดไปบางทีการปรากฏตัวของเสี่ยวติงตังอาจนำความหวังมาให้ฉินอวิ๋นฟานเสี้ยวหนึ่ง แต่เมื่อมองนิรนามที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ความครั่นคร้ามในใจนั้นยังคงอยู่เจ้าหมอนี่จัดการยากจริงแฮะ...ฉินอวิ๋นฟานหรี่ดวงตาแล้วเริ่มใช้ความคิดอย่างหนัก ค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาทว่าคิดไปคิดมากลับค้นหาทางออกไม่เจอเห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือเขตเทวาอยู่เหนือขอบเขตการประเมินเขา ความเป็นไปได้จากการสันนิษฐานมิสามารถใช้กับคนผู้นี้ยิงปืน ยิงลูกศร กลยุทธ์คนหมู่มาก...แต่ละวิธีล้วนฉายในหัวรอบหนึ่ง แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วไม่ได้!ได้แต่อาศัยเสี่ยวติงตังที่โผล่ออกมาแบบปัจจุบันทันด่วนแล้วฉินอวิ๋นฟานสูดลมเย็นเฮือกหนึ่งแล้วตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น มองเงาหลังที่ไม่นับว่าสูงใหญ่ตรงหน้า อดสับสนในใจไม่ได้...เจ้าเด็กนี่จะรับมือกับนิรนามได้จริงสิ?ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างเรื่องความสูงหรือว่าสรีระก็เป็นรองนิรนามหมดขนาดเซี่ยงเส้าเหยียนที่ตัวโตบึกบึนฝีมือล้ำเลิศก็ยังต่อสู้กับนิรนามยากเลย หรือต้องพึ่งเจ้าเด็กนี่จริงแล้ว?ทว่าเพิ่งเกิดความคิด การต่อสู้อย่างดุเด
นิรนามเม้มริมฝีปากหัวเราะเยาะหยัน แววตาที่จ้องเสี่ยวติงตังเต็มไปด้วยความชื่นชมทว่าศัตรูก็คือศัตรู...“แต่! เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”ครั้นกล่าวจบ มือขวาของนิรนามส่งพลังรุนแรงเสมือนลมหมุนขยายวงออกจากเท้าของเขา จู่ ๆ พลองเหล็กที่กำแน่นก็ถูกยกขึ้นสูงตามเสียงเปรี๊ยะ ๆ ดังสนั่น ฝุ่นดินลอยล่อง เศษหินกระเด็นรอบทิศ“รัชทายาทระวัง!”อู่จ้านรู้สึกไม่ชอบมาพากล รีบกระโจนไปอยู่ตรงหน้าฉินอวิ๋นฟาน ใช้กายเนื้อบังเศษหินที่ดีดมาขณะเดียวกัน เงาร่างอีกสายหนึ่งถูกเหวี่ยงแรงออกมาจากฝุ่นควันคือเสี่ยวติงตัง!เขาที่เมื่อครู่ได้เปรียบชัดเจน ยามนี้กลับเสียกำลังรบไปแล้ว เสื้อผ้าตรงหน้าอกขาดวิ่น เผยกล้ามเนื้อผืนใหญ่!ทว่าสิ่งที่เห็นกลับเป็นสีแดงฉานปื้นหนึ่ง กระทั่งว่ามีเลือดซึมออกจากใต้ผิวหนังด้วยชัดเจน การตอบโต้เมื่อครู่ของนิรนามทำลายแผนการของเสี่ยวติงตังโดยสิ้นเชิง พร้อมล้มล้างความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของเขาทั้งหมด!“แค่กๆ!”เสี่ยวติงตังกุมหน้าอก หมอบอยู่กับพื้นไอโขลกการไอของทุกครั้งจะมีเลือดปนออกมากับน้ำลาย ค่อนข้างอนาถ“แย่แล้ว...”ฉินอวิ๋นฟานหัวคิ้วมัดปมแน่น มองเสี่ยวติงตังบาดเจ็บแว
“หึ ๆ ๆ...”เผชิญหน้ากับสายตานับไม่ถ้วนโดยรอบ นิรนามกลับใจเย็นมาก แล้วหัวเราะขึ้นมาเสียอย่างนั้น“ในที่สุดข้าก็รู้แล้ว ทำไมคนผู้นั้นถึงอยากกำจัดเจ้าให้ได้ เจ้าไม่เหมือนคนอื่นจริง ๆ”ดูอายุอานามน้อย ๆ หากมีความเป็นผู้ใหญ่และสุขุมอันไม่ควรแก่วัย!แม้เผชิญกับภัยคุกคามถึงแก่ความตายก็ยังหน้านิ่ง หนักแน่นดั่งภูผามิแปรเปลี่ยน!พฤติกรรมเช่นนี้กลับทำให้เขาเลื่อมใส“คนผู้นั้น?” ฉินอวิ๋นฟานหรี่ดวงตาลงน้อย ๆ “คนที่ส่งเจ้ามาคือเฮ่อชินอ๋องใช่หรือไม่?”นอกจากเฮ่อชินอ๋องฉินอ้าว เขาก็คิดความเป็นไปได้อื่นไม่ออกอีก“อ้อ?”นิรนามเลิกคิ้ว “ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนี้?”“มีอะไรยาก ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเราเพิ่งทำลายแผนการขององค์ชายรองไป ไม่ถึงครึ่งวันเจ้าก็มา ดังนั้นข้าคิดว่านอกจากเฮ่อชินอ๋องก็ไม่มีใครทำเช่นนี้ได้อีก”ทั้งราชวงศ์ต้าเฉียน คนที่อยากเล่นงานเขามีนับไม่ถ้วน ที่เรียกชื่อได้ยิ่งมากเหมือนขนวัวแต่ถ้าบอกว่ากล้าขัดคำสั่งไท่ซั่งหวง ยืนกรานจะเอาชีวิตเขาให้ได้ นอกจากฉินอวิ๋นฮุยก็เหลือแต่เฮ่อชินอ๋องฉินอ้าวเท่านั้นดังนั้นปัญหาตัวเลือกนี้จึงไม่ยากเมื่อได้ยินดังนั้น นิรนามกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เพี
จะตายไปด้วยกันจริงหรือ?เช่นนั้นเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ!มุมานะบากบั่นฝึกฝนหลายสิบปี กว่าจะทะลวงเขตเทวา กลายเป็นยอดฝีมือหนึ่งในหมื่นสำเร็จ!จะทิ้งชีวิตเพราะการดักฆ่ารัชทายาทเพียงคนเดียวได้อย่างไร!การค้านี้ไม่คุ้ม!แต่...เขาไม่มีทางให้ถอยหลังกลับแล้ว!“สอง!!!”ฉินอวิ๋นฟานประสาทตึงเครียด เปล่งเสียงต่อทั้งบริเวณเงียบเชียบ เงียบจนเหมือนไม่ได้ยินเสียงสักนิดอู่จ้าน หานซิ่นและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่อีกทางก็สับสนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน คิดไม่ตกว่าฉินอวิ๋นฟานทำแบบนี้จะได้อะไรขึ้นมาหรือคิดจะตายไปพร้อมกับอีกฝ่ายจริง?“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะให้ลูกน้องยิงจริง!”นิรนามขบฟันกรามแน่น เกิดมาเพิ่งจะถูกข่มขู่เป็นครั้งแรก จึงทำให้เขารู้สึกถูกหยามหน้าทว่าฉินอวิ๋นฟานไม่นำพา ยังคงยกมือขึ้นสูง น้ำเสียงหนักแน่น“หนึ่ง!!!”เฉกเช่นคำตัดสินสุดท้าย การนับถอยหลังมาถึงจุดสิ้นสุดปัง!วินาทีต่อมาก็คือเสียงระเบิดดังสนั่นเสียงหนึ่งมิใช่เสียงปืนยาวต่อเนื่อง และไม่มีเสียงยิงหน้าไม้เป็นแค่เสียงสั้น ๆ เสียงหนึ่งทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง รวมถึงนิรนามด้วย“อะไร?”เขายืนอึ้งอยู่กับที่
นิรนามคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เจียนจะขาดสติแล้วเขาถือพลองเหล็กอยู่ในมือ ฟาดฟันอยู่ในกลุ่มคนไม่หยุดเมื่อเผชิญกับการโจมตีจากปากกระบอกปืนเอเคสี่สิบแปดและหน้าไม้ เขามิหวั่นเกรงแม้แต่น้อย อาศัยความเร็วในการเคลื่อนที่เหนือคนและพลังแกร่งในตัวก็สามารถฝ่าออกไปได้แล้ว!“กลิ่นอายนี้น่ากลัวเกินไป!”อู่จ้านที่รับผิดชอบคุ้มกันฉินอวิ๋นฟาน เวลานี้มีเหงื่อไหลลงแผ่นหลังเหมือนกันหลังจากสัมผัสถึงเพลิงโกรธท่วมฟ้านั้นแล้ว พลันมือสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่แม้เวลานี้เขาจะไม่บาดเจ็บ แต่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของนิรนามเลย บางทีอีกฝ่ายอาจขยี้เขาตายได้ด้วยนิ้วมือเดียวด้วยซ้ำ“รัชทายาท ตอนนี้จะเอายังไงดี?”เซี่ยงเส้าเหยียนถามด้วยความร้อนรนอยู่ด้านข้างพวกเขาคุ้มกันฉินอวิ๋นฟานถอย ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถไปสกัดนิรนาม...หากเกิดสถานการณ์อย่างเมื่อครู่ เกรงว่าคงไม่โชคดีอย่างนี้แล้ว ต้องทำให้ฉินอวิ๋นฟานรอดให้ได้!“...”ฉินอวิ๋นฟานหัวคิ้วมัดปมแน่น ตัดสินใจไม่ได้ยามนี้นิรนามใกล้จะบ้าเต็มที ไม่มีใครทัดทานกลิ่นอายที่ปะทุออกมาจากตัวเขาได้!บางที หากให้ทหารฝีมือดีที่พามาหนึ่งพันคนกับทหารจากค่ายทัพหน้าหนึ่งพันคนเข้าห้ำหั่
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ