เมื่อนึกถึงเมื่อสิบเก้าปีก่อน สถานการณ์ในราชสำนักต้าเฉียนเพิ่งจะมั่นคง แคว้นเหมียวซีเจียงส่งนักการสังคีตรูปโฉมงดงามอย่างยิ่งมาคนหนึ่ง ฉินอ้าวลุ่มหลงหัวปักหัวปำ เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของอดีตฮ่องเต้ต้าเฉียนหลังจากทั้งสามจับเข่าคุยกันหนึ่งคืน นักการสังคีตรูปโฉมงดงามผู้นั้นก็ถูกฉินอ้าวประเคนให้กับอดีตฮ่องเต้ต้าเฉียนประการนี้จึงทำให้ขุนนางระดับสูงในขณะนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก ต่างคนต่างพูดไปต่าง ๆ นานา ขณะนั้นไท่ซั่งหวงระโหยโรยแรง ไม่มีกะจิตกะใจสนใจราชสำนัก และไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ด้วยและนักการสังคีตผู้เลอโฉมผู้นี้ก็คือมารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายหกฉินอวิ๋นกว่าง เจ้าหกเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ฉินอ้าวก็เลือกถอนตัวออกจากราชสำนัก เห็นว่าฉินอ้าวบีบให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์จึงจำต้องถอนตัวออกจากการเมืองเวลานี้พอนึกถึง มากน้อยยังรู้สึกขวัญผวาอยู่บ้าง การที่จู่ ๆ ฉินอ้าวก็กระโดดออกมาร่วมชิงบัลลังก์ ทั้งยังให้ถังเจิ้นไห่ผู้เป็นพ่อตาขององค์ชายหกควบคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง เห็นชัดว่ากำลังจะผลักดันเจ้าหกหรือว่า... ข่าวลือในตอนนั้นจะเป็นความจริง?“ไม่ว่าจริงหรือเท็จ เฮ่อชินอ๋องก็แสดงท่าทีชัดเ
“ภายใต้ความยากลำบากเช่นนี้ พวกเรานอกจากจะต้องให้ความสำคัญกับความสามารถที่สุด ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสดีที่จะได้พิสูจน์ตัวเอง หากชนะ จะสามารถยืนอยู่ในราชสำนักได้อย่างมั่นคง หากแพ้ บาดแผลทั่วร่าง เกรงจะมีอันตรายถึงชีวิต!”เมื่อได้ฟังถ้อยคำฮึกเหิมของฉินอวิ๋นฟาน ทุกคนพาลเลือดร้อนพลุ่งพล่าน แววตาเต็มไปด้วยความเร่าร้อน นับจากนาทีที่พวกเขาเลือกติดตามฉินอวิ๋นฟานก็หมายถึงไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้วท่ามกลางศึกชิงบัลลังก์อันโหดร้ายและดุเดือดเช่นนี้ หากไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ก็คือร่างแหลกเหลว พวกเขาถูกมัดติดกับชะตาชีวิตของฉินอวิ๋นฟานนานแล้ว หนึ่งรุ่งร่วมโรจน์ หนึ่งร่วงร่วมดับ“ความเป็นความตายมีอะไรน่ากลัว? สามารถสร้างความรุ่งเรืองร่วมกับรัชทายาทคือเกียรติของข้าน้อยแล้ว!”หานซิ่นกล่าวด้วยสายตามุ่งมั่น “ในตอนที่รัชทายาทดึงข้าน้อยออกมาจากความอับจนหนทาง ข้าน้อยก็สาบานเอาไว้แล้ว อยู่คือคนของรัชทายาท ตายคือผีของรัชทายาท! ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดสั่นคลอนจิตใจของหานซิ่นได้!”“รัชทายาท ที่พวกเราสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้ จะรักตัวกลัวตายหรือ? พวกเราคือคนที่จะร่วมสร้างงานใหญ่กับรัชทายาท มีหรือจะกลัวพายุที่ยังไม่เห็น
“รัชทายาท ท่านวางใจได้เลย ข้าน้อยหวังอันสือจะพยายามอย่างสุดความสามารถแน่นอน จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาดขอรับ!”หวังอันสือตื้นตันจนน้ำตานองหน้า เขาไม่ได้รู้จักมักจี่กับฉินอวิ๋นฟานเท่าใดนัก ฉินอวิ๋นฟานกลับเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้ คว้าตำแหน่งสำคัญขนาดนี้มาให้เขาท่ามกลางความกดดันมหาศาลในอดีต เขามีเพียงอุดมการณ์มิอาจลงมือทำ ภายใต้แรงกดดันของเซียวเทียนติ่งและคนอื่น ๆ เขาจนด้วยหนทาง ได้แต่ตามหลู่เซียงหลิงและคนอื่น ๆ ไปสอนหนังสือ และได้รู้นิสัยใจคอวิสัยทัศน์ของฉินอวิ๋นฟานด้วยเหตุนี้“หวังอันสือ เจ้าให้คำสัญญาอันใดกับข้าก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือความสามารถของเจ้าจะสามารถปฏิรูประบบการศึกษาของต้าเฉียนได้หรือไม่”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “เป้าหมายของข้าชัดเจนมาก นั่นก็คือทำลายกฎระเบียบเดิม ๆ แล้วสร้างระบบขึ้นมาใหม่ ระบอบศักดินารวมอำนาจซึ่งฝังรากหยั่งลึกของต้าเฉียนสมควรสิ้นสุดลงได้แล้ว!”ซี้ด...ผู้ติดตามจงรักภักดีของฉินอวิ๋นฟานรู้นิสัยของฉินอวิ๋นฟานดี เมื่อได้ยินถ้อยคำล้มล้างซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความเผด็จการของฉินอวิ๋นฟานอีกครั้ง ก็พากันสูดลมเย็นเข้าปาก รู้สึกทึ่งอย่างหนักระบบศักดินารวมอำนาจคือร
แต่ความร่ำรวยและการเลื่อนระดับต้องทำให้ผู้มีอำนาจมากมายริษยาและไม่พอใจแน่ มดปลวกในสายตาของพวกเขาลืมตาอ้าปากแล้ว สามารถส่งเสียงหัวเราะบันเทิงใจแล้ว พวกเขาต้องไม่พอใจแน่ในฐานะที่เป็นชนชั้นสูงมีอำนาจ การหลอกลวงชาวบ้านและการกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอคือการหนุนให้ฐานะและอำนาจของพวกเขาเด่นชัด ทันทีที่เสียสิ่งเหล่านี้ไป พวกเขาต้องรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปทั่ว “เจ้ากรมโยธา?!”เมื่อลิ่งหูเสี่ยวได้ยินก็อึ้งจังงังอยู่กับที่ กระทั่งไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย เจ้ากรมโยธาคือหนึ่งในหกกรมของต้าเฉียน มีฐานะและอำนาจสูงสุดของต้าเฉียนคนส่วนมากเพียรพยายามทั้งชีวิตก็ยังมิอาจขึ้นถึงตำแหน่งรองเจ้ากรม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตำแหน่งเจ้ากรมโยธา เพื่อให้ได้ตำแหน่งขุนนางระดับหนึ่งซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดนี้ บรรดาขั้วอิทธิพลใหญ่แย่งกันจนหัวร้างข้างแตกนึกไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานกลับได้มาง่าย ๆ เช่นนี้? อีกทั้งหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนี้ยังตกอยู่บนบ่าของเขาอีก“ถูกต้อง เจ้ามีประสบการณ์เรื่องการก่อสร้างพื้นฐานในการปฏิรูปการเกษตรมากที่สุด และมีสิทธิ์ออกเสียงมากที่สุด การปฏิรูปการเกษตรครั้งนี้คืองานสำคัญยิ่งของเรา ข้าวางใจที่จะมอ
“เรียนรัชทายาท ความจริงข้าน้อยได้ฝึกคนมีความสามารถและสังเกตสาขาเครือเหิงไท่ตามเมืองต่าง ๆ แล้ว หากจำเป็น น่าจะใช้งานพวกเขาได้ทันทีขอรับ”หานซิ่นเอ่ยปากเสียงเบา“อื่ม ไม่เลว ข้าพอใจกับการมองภาพรวมของเจ้าเสมอมา”ฉินอวิ๋นฟานพยักหน้าด้วยความพอใจและพูดว่า “ลิ่งหูเสี่ยว พอเจ้ารับตำแหน่งแล้วจะต้องสร้างคลังเสบียงสองแห่งตามเมืองต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด เตรียมไว้สำหรับรับมือภัยธรรมชาติทั้งหลาย”“พวกเจ้าร่วมด้วยช่วยกัน ให้คนที่เชื่อถือได้จำนวนหนึ่งเข้าไปทำงาน ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุกับคลังเสบียง เพราะธัญพืชคือรากฐานแห่งชีวิต จะเกิดปัญหาใด ๆ ไม่ได้เด็ดขาด”ลิ่งหูเสี่ยวรับรองเดี๋ยวนั้น “รัชทายาทโปรดวางใจ เกี่ยวกับการสร้างคลังเสบียงและการกักตุน ข้าน้อยลิ่งหูเสี่ยวมั่นใจว่าศึกษามา มอบเรื่องนี้ให้ข้าน้อยทำ ข้าน้อยรับรองว่าจะเก็บธัญพืชได้สิบปีโดยมิเกิดปัญหาขอรับ”“อีกอย่าง มีสหายหานซิ่นออกนโยบายรวมถึงได้รับการรับรองจากวรยุทธ์ของพี่หลิวเป้ย คลังเสบียงทั้งหลายต้องอยู่รอดปลอดภัยอย่างแน่นอน นอกเสียงจากจะมีคนจงใจ”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะเสียงเย็น “พวกเจ้าพยายามทำงานในหน้าที่ให้ดีก็พอ สำหรับแผนชั่วพวกนั้นจะไม่มี
ทว่าอย่างไรอดีตฮ่องเต้ก็ถือว่าขยันหมั่นเพียรในการทรงงาน จะอนุญาตให้เรื่องต่ำช้าเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ฉินอวิ๋นฟานในใจเต็มไปด้วยความฉงน“เฮ้อ!”หวังอันสือถอนหายใจหนัก ๆ ทีหนึ่งก่อนจะเอ่ย “อิทธิพลของตระกูลใหญ่ในต้าเฉียนยิ่งใหญ่นัก ทั้งยังฝังรากหยั่งลึก แรกเริ่มเดิมทีอดีตฮ่องเต้ก็ให้ความสำคัญกับการสอบอยู่หรอก มีนโยบายลงมา พวกเขาก็ถือว่าเคารพดี แต่ด้วยเวลาผ่านพ้น ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยน”“โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่ห้าปีมานี้ หากไม่มีเส้นสายและเงินทองสนับสนุน เช่นนั้นคนทั่วไปไม่มีทางสอบติด ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถเพียงไรก็เปล่าประโยชน์”“ดังนั้นการสอบจอหงวนในหลายปีนี้จึงสกปรกมืดมัวยิ่งนัก กระทั่งถึงขั้นว่าติดป้ายราคา ข้าน้อยเคยยื่นเรื่องไปหนหนึ่ง แต่นอกจากจะหายต๋อม ยังถูกจางหยิงชุนข่มขู่อีก”“หากมิใช่เพราะบิดามารดาเฒ่าในบ้านขายเรือนของบรรพบุรุษ ใช้เงินพันตำลึงขอให้จางหยิงชุนยกโทษให้ เกรงว่าข้าน้อยคงต้องตายแน่แล้ว เพื่อให้บิดามารดาสุขสงบในบั้นปลายชีวิต ข้าน้อยจึงได้แต่เลือกเก็บเอาไว้ในใจ อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว”“หากมิใช่รัชทายาทลงทุนลงแรงสนับสนุนสำนักศึกษาประชาชน ข้าน้อยคงต้องเหมือ
“เอ่อ...”ฉินอวิ๋นฟานมองไปทางหลู่เซียงหลิวด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาถามเสียงแผ่วเบา “เซียงหลิง เจ้า เจ้าจะร่วมอะไรหรือ?”“ฮึ! ขะ ข้า ข้าต้องการเล่นงานคนเลวด้วย!”หลู่เซียงหลิงทำปากจู๋ หน้าตาเข้มแข็ง นึกถึงความอนาถที่ประสบในสมัยก่อน หัวใจก็เจ็บจี๊ดขึ้นมา ถึงเรื่องนี้จะทำให้สัมพันธ์ของนางกับฉินอวิ๋นฟานก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่นางก็ยังฝังใจกับความอัปยศในวันนี้อยู่ดี“หา เจ้า เจ้าแน่ใจหรือ?”เห็นหลู่เซียงหลิงกระเง้ากระงอด ฉินอวิ๋นฟานมุมปากพลันกระตุก หวังให้แม่นางน้อยผู้นี้เล่นงานหลี่เถี่ย กลัวแต่จะไม่ไหว นางเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง เคยเจอกับทัณฑ์ทรมานเช่นนั้นที่ไหน? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสั่งให้คนข้างล่างไปทำถ้าให้นางไปเล่นงานสาวเลวอย่างหลี่เถี่ย กลัวแต่จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสุดยอดของเจ้าบัดซบหลี่เถี่ยไม่ว่า!“แน่ใจ! เดิมสำนักศึกษาหลวงก็ควรเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการศึกษาของศิษย์ทั้งหลาย ควรสะอาดบริสุทธิ์ คนเยี่ยงหลี่เถี่ยไม่คู่ควรจะอยู่ในสำนักศึกษาหลวงสักนิด!”หลู่เซียงหลิงพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจเห็นเช่นนี้ฉินอวิ๋นฟานก็ทำหน้าเหยเก เขารู้ว่าหลู่เซียงหลิงเป็นแม่นางร่าเริงสดใสที่ชอบเล่นพิเรนทร์
เมื่อนั้นหวังอันสือจึงฉุกคิดได้ เขามองไปทางฉินอวิ๋นฟาน ในดวงตาคือความประหลาดใจเป็นล้นพ้น ที่แท้รัชทายาทก็ใช้ร่างกายถอนพิษ! เขารีบอธิบาย “ขออภัยด้วยรัชทายาท ข้าน้อยพูดมากไปแล้ว ไม่ควรเรียกแม่นางเซียงหลิงแล้ว...”“ไม่เป็นไร ข้าไม่สนใจเรื่องยุ่งยากพวกนั้นหรอก และไม่ชอบระเบียบพิธีการอะไรด้วย”ฉินอวิ๋นฟานโบกมือพูด “ภารกิจสำคัญในตอนนี้คือตั้งปณิธาน เสริมสร้างคุณลักษณะและศีลธรรมเพื่อทำตามลิขิตสวรรค์ เปิดศักราชใหม่! แม้พวกเจ้าจะได้รับลาภยศสรรเสริญ ได้อำนาจประมาณหนึ่ง แต่! นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะได้มาเปล่า ๆ และไม่ใช่เหตุผลที่พวกเจ้าจะอยู่เฉย แต่ศึกจริงเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น!”“จำไว้! ต้องยึดมั่นในอุดมการณ์ ไม่ว่าเมื่อไรก็ต้องมีจิตในเมตตาต่อสรรพสัตว์ ผู้อ่อนแอคือเส้นต่ำสุดของบ้านเมือง การพิทักษ์ผู้อ่อนแอยิ่งเป็นมโนธรรมของชาติ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะรักษามันไว้ให้ดี!”“ขอรับ!” ทุกคนเปล่งเสียงพร้อมเพรียง“หวังอันสือ การสอบจอหงวนในครั้งนี้คือโอกาสพิสูจน์ตัวเอง แม้การสอบเมื่อก่อนหน้านี้จะเน่าเฟะ แต่ไม่ได้หมายถึงภายภาคหน้าจะเป็นเช่นนี้ จะทำให้ผู้ศึกษาที่มีอุดมการณ์เหล่านั้นมองเห็นความหวังได้หรื
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ