หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดครึ่งเดือน องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังและองค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยต่างม้วนเสื่อกลับไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ ออกจากเมืองอู่โจวอย่างซมซานในท้ายที่สุด เยียนอวี่เฉินและองค์ชายแคว้นต่าง ๆ ก็ทยอยจากไปด้วยเช่นกัน ฉินอวิ๋นฟานควบคุมเมืองอู่โจวได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทำสัญญายึดเมืองอู่โจวกลับคืนมาที่ให้ไว้เมื่อสี่เดือนก่อนสำเร็จ ยามนี้เขาชื่อเสียงดังกระฉ่อน เป็นที่จับตามองของทุกคนเพื่อคุมสถานการณ์เมืองอู่โจวให้มั่นคง ฉินอวิ๋นฟานยังยุ่งงวดอยู่ที่นั่นอีกสิบวันเต็ม ๆ ครั้นสะสางการงานทุกอย่างเสร็จ จัดการอย่างเหมาะสมแล้ว อาการบาดเจ็บของอู่จ้านก็หายดีกว่าครึ่ง เมื่อนั้นเขาจึงเตรียมตัวออกเดินทางขณะฉินอวิ๋นฟานเตรียมตัวจะออกเดินทาง เหลียงจื่อฝูมาถึงข้างตัวเขาและพูดขึ้นว่า “เสี่ยวฟาน สถานการณ์เมืองหลวงต้าเฉียนซับซ้อน เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ” “อีกสามเดือนเจ้าก็ต้องเดินทางไปรับตัวเยียนอวี่เฉินที่ต้าเยียนแล้ว เรียกได้ว่าอันตรายหมื่นส่วน ข้าในฐานะที่เป็นคนบ้านมารดาเจ้า ถึงเวลาจะนำของขวัญแสดงความยินดีของต้าเหลียงไปสู่ขอที่ต้าเยียนกับเจ้าด้วย”“เสด็จน้าสิบสาม...”ได้รับความห่วงใยจากเหลียงจื่อ
“พูด!”เยียนจ้านเทียนสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงดังกังวาน กล่าวออกมาจากปากหนึ่งคำ“ทูลฝ่าบาท องค์หญิงสามนำผู้อาวุโสเซี่ย คุณชายตระกูลหลัวและคนอื่น ๆ ไปส่งมอบที่เมืองอู่โจว ครึ่งเดือนให้หลัง ไม่เพียงแต่สูญเสียอำนาจการควบคุมเมืองอู่โจวโดยสิ้นเชิง ยังล่วงเกินรัชทายาทต้าเฉียนฉินอวิ๋นฟานอีก”ขุนนางผู้นั้นเอ่ยเสียงหนัก “สุดท้ายทำให้หลัวเทียนเป้าถูกฉินอวิ๋นฟานสังหาร ทั้งยังถูกฉินอวิ๋นฟานควบคุมอยู่ในกำมือ ร่วมมือกับแคว้นใหญ่ต่าง ๆ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต้าเยียนรอบด้าน ตัดสัมพันธ์ทางการค้ากับต้าเยียนเด็ดขาด เรื่องนี้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงยิ่งนัก ฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท รัชทายาทต้าเฉียนฉินอวิ๋นฟานรังแกคนเกินไปแล้ว พฤติกรรมต่ำทรามเช่นนี้ แทบจะเป็นการท้าทายประกาศศึกกับต้าเยียนเราอย่างโจ่งแจ้ง ต้าเยียนเราเคยต้องรับความแค้นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร? กระหม่อมเสนอว่าส่งทหารไปเมืองอู่โจวทันที เพื่อประกาศศักดาของต้าเยียนเราพ่ะย่ะค่ะ” “ฝ่าบาท ฉินอวิ๋นฟานร่วมมือกับบรรดาแคว้นใหญ่กีดกันทางเศรษฐกิจทุกด้านของต้าเยียน ละเมิดขอบเขตของต้าเยียนเราแล้ว นี่คือการจงใจเล่นงานต้าเยียน แล้วต้าเย
หลัวเทียนหลางและคนอื่น ๆ หันไปมอง เห็นเพียงอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ต้าเยียนหลิวอี้ซือก้าวออกมากะทันหัน เขายืนอยู่ด้านหน้าของท้องพระโรง เอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง พลังแก่กล้าปะทะใบหน้ามาเห็นหลิวอี้ซือออกมาหาเรื่องกะทันหัน หลัวเทียนหลางหน้าตาเคร่งขรึม พูดอย่างไม่พอใจมากว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี ที่ท่านพูดหมายความว่ายังไง? เห็นตระกูลหลัวข้าเป็นอุปสรรคจริงหรือ?”การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอัครมหาเสนาบดีหลิวอี้ซือทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาราชวงศ์ต้าเยียนแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนำโดยรัชทายาทต้าเยียนเยียนอวี้หลง และตระกูลหลัวซึ่งเป็นตระกูลขุนศึกชื่อดังคือผู้พิทักษ์จงรักภักดีต่อรัชทายาท ส่วนอัครมหาเสนาบดีคือผู้พิทักษ์จงรักภักดีต่อองค์ชายรองแห่งต้าเยียนเยียนอวี้จิ่งจักรพรรดิต้าเยียนเยียนจ้านเทียนกำลังอยู่ในช่วงชายฉกรรจ์ ดังนั้นศึกชิงบัลลังก์ยังไม่เด่นชัดนัก แต่กลุ่มผลประโยชน์ใหญ่ต่าง ๆ เริ่มก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนของตัวเองแล้วขอเพียงรัชทายาทยังไม่ขึ้นบัลลังก์ ไม่ว่าองค์ชายองค์ไหนก็ยังมีโอกาสครองตำแหน่งสูงสุดนั้น ดังนั้นตระกูลหลัววางมาดใหญ่โตในราชสำนักมากเกินไป อัครมหาเสนา
ทุกคนในที่นี้ต่างอยากรู้นักว่าขณะนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แดนแห่งราชวงศ์ต้าเยียน ผู้นำตระกูลหลัวหลัวอิงสงที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วมุ่น ความฉงนปราดผ่านดวงตาเล็กน้อย การที่จู่ ๆ หลิวอี้ซือก็ก้าวออกมาทำให้เขาเกิดความรู้สึกกระวนกระวายอย่างหนึ่งในราชสำนักแห่งนี้ น้อยคนนักที่กล้าหือกับตระกูลหลัว ต่อให้มีบางคนไม่พอใจตระกูลหลัวก็ไม่กล้าตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตระกูลหลัวต่อหน้าผู้คน!เห็นเพียงหลิวอี้ซือเอ่ยเสียงหนัก “องค์หญิงสาม ข้าอยากถามท่านสักหน่อย ในตอนนั้นหลัวเทียนเป้าเป็นคนเสนอเรื่องกีดกันทางธุรกิจและวางแผนทลายรังโจรไม่ผิดกระมัง?”เยียนอวี่เฉินไม่เข้าใจว่าหลิวอี้ซือต้องการพูดอะไรกันแน่ ดังนั้นนางจึงได้แต่ตอบตามความจริง “อัครมหาเสนาบดีหลิว แม่ทัพหลัวเป็นผู้วางแผนการทั้งหมดจริง อย่างไรเสีย เขาเป็นคนยึดเมืองอู่โจวมา มิหนำซ้ำเขายังมีความเข้าใจต่อเมืองอู่โจวที่สุด และแผนการที่เขาเสนอก็ได้รับความเห็นชอบจากข้า ผู้อาวุโสเซี่ยและคนอื่น ๆ แล้ว”เยียนอวี่เฉินเป็นคนมีจิตเมตตา หลัวเทียนเป้าย่อมมีความผิด หากเขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตระกูลหลัวผมขาวส่งผมดำน่าเวทนาพอแล้ว นางไม่อยากให้ตระก
ซี้ด...เมื่อหลิวอี้ซือกล่าวคำพูดพวกนี้ออกมาก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นสูดลมเย็นเข้าปากเป็นแถว สีหน้าเปลี่ยนเป็นอีหลักอีเหลื่อ ‘สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน’ คำนี้มิใช่คำที่พูดไปเรื่อยได้ นี่ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องต้องห้ามของราชวงศ์ ยิ่งเป็นเรื่องต้องห้ามระหว่างนายบ่าวเดิมตระกูลหลัวมีฐานะสูงส่งในราชวงศ์ต้าเยียน ทั้งยังกุมทหารจำนวนมากอยู่ในมือ แต่ไหนแต่ไรมาทำงานเอิกเกริกแข็งกร้าว ในตอนที่หลัวเทียนเป้าสลับแขกเป็นเจ้าบ้านต่อหน้าองค์หญิงสามต้าเยียน ไม่ฟังคำสั่ง ต้องทำให้คนนึกภาพเชื่อมโยงถึงบางอย่างแน่ยามนี้ สายตาที่ทุกคนมองมายังหลิวอี้ซือคือความตกตะลึงถึงที่สุด สมกับที่เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ต้าเยียน ผู้นำขุนนางบุ๋น วาจาคมคาย ความคิดละเอียด น่ากลัวยิ่งนัก!“ทะ ท่าน...!”ถูกอัครมหาเสนาบดีหลิวอี้ซือใส่ความ หลัวเทียนหลางเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟฉับพลัน แม้จะอยู่ในท้องพระโรงก็ยังโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก แต่ขณะที่เขาจะโต้ตอบ แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แดนหลัวอิงสงก็ก้าวออกมา เขารู้ว่าบุตรชายมิใช่คู่ต่อสู้ของจิ้งจอกเฒ่าหลิวอี้ซือขืนเขาไม่ก้าวออกมาและปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไป เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อตระกูลหลัวพวกเข
“ทูลฝ่าบาท หากจะแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไปจริง ๆ จะต้องวิเคราะห์เรื่องนี้เชิงลึก ค้นหาต้นตอของปัญหาจึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”หลิวอี้ซือไม่คิดจะปล่อยตระกูลหลัวไปง่าย ๆ เพราะนี่คือโอกาสดียากพบพานที่จะกดตระกูลหลัวลงได้ ต่อให้ไม่สามารถทำอะไรตระกูลหลัว แต่ก็ต้องให้อีกฝ่ายถลอกปอกเปิกสักหน่อย“อื่ม อัครมหาเสนาบดีคือผู้นำของขุนนางฝ่ายบุ๋น ความคิดอ่อนไหวว่องไว เหมาะแก่การเริ่มวิเคราะห์ปัญหายิ่งนัก”เยียนจ้านเทียนเอ่ยราบเรียบครั้นได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้ หลิวอี้ซือจึงกระหยิ่มยิ้มย่องพูด “แม้ตระกูลหลัวจะชดใช้เรื่องนี้ในราคาสูงแล้ว แต่ก็มิอาจปฏิเสธความผิดของพวกเขา”“ท่าน...!”เห็นหลิวอี้ซือยังกัดตระกูลหลัวไม่ปล่อย หลัวอิงสงแค้นใจนัก เขายอมรับบทลงโทษต่อหน้าทุกคนแล้ว และฝ่าบาทก็อภัยโทษให้แล้ว หลิวอี้ซือกลับกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยหลิวอี้ซือมองหลัวอิงสงแวบหนึ่งจึงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ในการทลายรังโจรอีกครั้ง ตระกูลหลัวทำผิดพลาดร้ายแรงหนึ่งเรื่องหนึ่ง หากตระกูลหลัวไม่ให้คำอธิบายต่อเรื่องนี้ เกรงว่าวันนี้คงยากจะจบด้วยดี!”เมื่อหลิวอี้ซือกล่าวคำพูดนี้ออกมา ทั้งท้องพระโรงก็มีเสียงเซ็งแซ่ทันที การที่หลิวอี้ซือมีท
เมื่อหลิวอี้ซือกล่าวจบ ทั้งท้องพระโรงพลันฮือฮาดังระงม!“อะไรนะ?! หลัวเทียนเป้าถึงกับใช้ขั้วอิทธิพลยุทธภพลอบสังหารฉินอวิ๋นฟาน?!”“สวรรค์! หลัวเทียนเป้าจะกล้าเกินไปแล้ว! นี่ นี่คือเรื่องต้องห้ามของทุกราชวงศ์ การต่อสู้ระหว่างแว่นแคว้น ทันทีที่ใช้ขั้วอิทธิพลยุทธภพจะเท่ากับท้าทายขีดจำกัดของราชวงศ์ใหญ่ทั้งหลาย นี่มิเท่ากันผลักต้าเยียนลงหลุมหรือ?!”“มิน่าฉินอวิ๋นฟานถึงได้จับมือกับทุกแคว้นแล้วคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกีดกันต้าเยียน เห็นชัดว่าพฤติกรรมของหลัวเทียนเป้าทำให้ทุกแคว้นไม่พอใจ”......เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในราชสำนักทำให้ใบหน้าหลัวอิงสงเปลี่ยนเป็นสีตับหมูฉับพลัน เรื่องนี้แม้แต่เขาเองก็เพิ่งจะรู้เอาตอนท้าย แต่ตอนที่เขารู้ ทุกอย่างก็สายไปแล้วเห็นหลัวอิงสงน้ำท่วมปาก หลิวอี้ซือได้ใจมาก เขากล่าวต่อ “เพราะความดื้อรั้นทระนงตนของบุตรชายคนที่สี่ของตระกูลหลัวหลัวเทียนเป้า สุดท้ายทำให้ต้าเยียนเราต้องสูญเสียอย่างหนัก แม่ทัพผู้เฒ่าหลัว ข้าใส่ความท่านหรือไม่?”กับการบีบคั้นทุกฝีก้าวของหลิวอี้ซือ หลัวอิงสงพูดแย้งไม่ออกสักคำ ใช่ว่าเขาไม่อยากแย้ง แต่เขาจะแย้งตอนนี้ไม่ได้แม้ตระกูลกลัวจะได้รับความไว้วา
ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปโน้มน้าวแคว้นต่าง ๆ หากสถานการณ์ไม่สู้ดี เป็นไปได้มากว่าฝ่าบาทอาจเปิดสงครามกับต้าเฉียนในตอนที่ฉินอวิ๋นฟานมาต้าเยียน และใช้สิ่งนี้ในการขย่มขวัญแคว้นต่าง ๆ......เวลานี้ฉินอวิ๋นฟานกำลังอยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวง และแผนการชั่วร้ายที่จะเล่นงานเขากำลังก่อตัว!“ทูลไท่ซั่งหวง พรุ่งนี้รัชทายาทก็จะเดินทางกลับถึงเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”ในตำหนักเหยียนเหนียน ไท่ซั่งหวงนอนอยู่บนเก้าอี้อย่างพึงพอใจอารมณ์ดี ดื่มด่ำกับแสงตะวันอย่างผ่อนคลาย ในตอนนี้เอง เฉาเจิ้งฉุนมาถึงข้างตัวเขาและพูดเตือนอย่างระวัง“ฟานเอ๋อร์ทำดีมาก สามารถควบคุมเมืองอู่โจวได้ในเวลาหนึ่งเดือน และทำคำสัญญาของเขาในตอนนั้นให้เป็นจริงได้ ช่างน่ายินดียิ่งนัก!”ไท่ซั่งหวงไม่ปกปิดความยินดีบนใบหน้าของเขาสักนิด นับจากสถาปนาแคว้นต้าเฉียน แม้จักรพรรดิทุกองค์ต่างมีวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่ยอดฝีมือในการใช้อำนาจและความสามารถในการปกครองบ้านเมือง กลับไม่เป็นดังปรารถนาการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินอวิ๋นฟานและการแสดงสติปัญญาและวิธีการเหนือคนของเขาทำให้ไท่ซั่งหวงปลาบปลื้มไม่หยุด กระทั่งทำให้เขาเห็นความหวังอีกอย่างหนึ่
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ