“จะมีปัญหาหรือไม่ ยังต้องดูที่เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป!”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วพูด “จริงสิ พวกท่านพอรู้สถานการณ์รายละเอียดของพวกกองโจรหรือไม่?”“รู้ พวกเขาคือกลุ่มจางหมาจื่อ กองโจรที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกเมืองอู่โจว!” หลิวเป้ยตอบ “แต่ไหนแต่ไรจางหมาจื่อมักทำงานประเจิดประเจ้อ ทั้งยังโหดเหี้ยมถึงที่สุด ปกติพอปล้นเสร็จมักจะทิ้งคำพูดท้าทาย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เป็นพวกจางหมาจื่อแน่นอน!”“อ้อ? จางหมาจื่อ?”เมื่อได้ยินชื่อนี้สีหน้าของฉินอวิ๋นฟานก็แปลกประหลาดไปในทันที นี่ไม่ใช่ชื่อพระเอกเรื่องคนท้าใหญ่ในตอนนั้นหรอกหรือ? เขาคือคนดีที่ปล้นคนรวยช่วยคนจน ไม่เกรงกลัวอิทธิพลเลยนะ!“ถูกต้อง! ในสมาคมการค้าต่าง ๆ ของเมืองอู่โจว หากพูดถึงจางหมาจื่อทุกคนจะเปลี่ยนสีหน้าทันที! คนผู้นี้มีโจรลูกสมุนกล้าตายหลายพันคนเต็ม ๆ ปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านเฮยเฟิงป่าลึกทึบของเมืองอู่โจว เป็นกองโจรที่ดุร้ายและแข็งแกร่งที่สุดในแถบนี้”หลิวเป้ยเอ่ย“อ้อ? หลายปีอย่างนี้แล้ว ไม่มีคนกำราบพวกเขาได้เลยหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ก็แค่กองโจรกลุ่มเดียว คิดจะทลายรังใช้กำลังแค่ปรบมือมิใช่หรือ? ทำไมถึงปล่อยใ
“รัชทายาท ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่”ก็ขณะที่ทุกคนกำลังวิเคราะห์และอนุมานสถานการณ์ จู่ ๆ เซียวหยางกลับพูดข้อสงสัยฉินอวิ๋นฟานตอบอย่างอยากรู้เล็กน้อย “ตอนนี้พวกเรากำลังวิเคราะห์และอนุมานอยู่ มีอะไรก็ว่ามาเถอะ ไม่จำเป็นต้องอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ”“เช่นนี้ขอรับ ในเมื่อองค์ชายใหญ่ต้องสงสัยมาก และยังอาจมีเจตนาก่อกบฏ นี่คือเรื่องต้องห้ามของราชวงศ์ ทว่าจากสภาพการณ์ปัจจุบัน ไท่ซั่งหวงน่าจะทรงทราบข้อมูลประมาณหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงควบคุมเมืองหลวงอย่างเข้มงวด”เซียวหยางขมวดคิ้วมุ่น ถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่ทำไมไท่ซั่งหวงไม่ลงมือกับองค์ชายใหญ่โดยตรงเล่า? แม้จะเป็นคำสั่งลับก็สามารถให้พวกเรารวมทหารกับองค์ชายรอง ควบคุมตัวองค์ชายใหญ่น่าจะง่ายดังพลิกฝ่ามือกระมัง?”ครั้นได้ฟังข้อสงสัยของเซียวหยาง ฉินอวิ๋นฟานกลับหัวเราะ ถ้าบอกว่าเมื่อกี้เขามั่นใจกับการสันนิษฐานของตัวเองห้าส่วน หลังจากเซียวหยางพูดให้คิด เขากลับมั่นใจเจ็ดส่วน“เซียวหยาง จะว่าไปแล้วเจ้าถามได้ดีมาก กลับทำให้ข้าเข้าใจประเด็นสำคัญข้อหนึ่งขึ้นมา”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มพูด “เจ้ากับพวกหลิวเป้ยไม่เคยเป็นขุนนางมาก่อน และแทบไม่เคยสัม
“ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าแอบซื้อตัวโจรกลุ่มหนึ่ง หรือไม่ก็ส่งคนที่ไว้ใจได้เข้าไปอยู่กับพวกกลุ่มโจร จากนั้นก็วางแผนให้ดี จัดการพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียว!”หลิวเป้ยดวงตาเป็นประกาย “รัชทายาทแผนยอด ข้าน้อยเติบโตอยู่ในเมืองจัวตั้งแต่เล็ก มีเส้นสายสัมพันธ์กว้างขวาง เคยรู้จักสหายไม่เลวคนหนึ่ง เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เห็นว่าเขาเคยสนิทสนมกับคนหนึ่งในองค์กรโจร ไม่อย่างนั้น.... ให้ข้าน้อยลองไปหยั่งเชิงหน่อยไหมขอรับ?”“อ้อ ถ้าเป็นเช่นนี้ได้จะยิ่งดี จะเข้าไปอยู่ในวงศัตรูได้เร็วขึ้น ได้แผนที่บนภูเขาและสถานการณ์โดยรวมเร็วยิ่งขึ้น”พอฉินอวิ๋นฟานได้ฟัง นี่มิใช่ข่าวดีสุดยอดมิใช่หรือ? ถ้าทุกอย่างราบรื่นดี การจะทลายรังโจรพวกนี้ไม่ง่ายดังพลิกฝ่ามือ?“หานซิ่น เลี้ยงทหารพันวันใช้ทหารหนึ่งครา อาวุธลับของเราสมควรได้ใช้แล้ว”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “สถานการณ์ในภูเขาซับซ้อนมาก มีตัวแปรเยอะ พวกเราต้องกำจัดพวกเขาด้วยความเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด ”“รับทราบ! ข้าน้อยจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้ขอรับ!”หลังจากมอบหมายงานเสร็จก็เป็นเวลายามสี่ ฉินอวิ๋นฟานหายง่วงแล้ว ดวงจันทร์คล้อยไปทางทิศตะวันตก เทียบเท่ากับตีสี่โดยประมาณใ
ฉินอวิ๋นฟานกลั้นลมหายใจ สังเกตทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในห้อง ใต้ท้องน้อยร้อนรุ่มยากจะทานทนนานแล้ว พร้อมกันนั้นเขาได้เห็นตัวตนสตรีหินของเสด็จน้าสิบสามแจ่มแล้วว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่“ที่แท้สถานการณ์สตรีหินของเสด็จน้าสิบสามไม่ได้ร้ายแรงนี่ ก็แค่ผนังด้านนอกค่อนข้างหนา ลักษณะแบบนี้ผ่าตัดนิดหน่อยก็กลับมาเป็นปกติได้ แต่ทำได้แต่เรื่องระหว่างชายหญิงนะ มีลูกไม่ได้”ฉินอวิ๋นฟานตกใจพูด “อย่าใช้แตงกวา ใช้มะเขือสิ! นางใช้ได้แต่นิ้วเท่านั้น! เฮ้อ! บาปก๊รรมบาปกรรม! ถ้าแหกม่านประเพณีลงมือช่วยนางเองได้จะดีสักแค่ไหน! ”ฉินอวิ๋นฟานถ้ำมองครึ่งชั่วยามเต็ม ๆ ดูจนเมื่อยตาแล้ว ขืนดูอีกต่อไปต้องควบคุมตัวเองไม่อยู่แน่ เขาจึงได้แต่ซอยเท้าย่องออกไปเสียโบราณกล่าว ดูให้ตายอินทรีย์หิวโซ ที่พูดถึงก็คือฉินอวิ๋นฟานในตอนนี้นี่แหละ! ฉินอวิ๋นฟานออกมาแล้วก็หันกลับไปมองอีกทีอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นจึงลาลับเมื่อตะวันไขแสง ฉินอวิ๋นฟานก็พาอู่จ้านและคนอื่น ๆ ตรงดิ่งไปยังเครือต้าเฉียนเหิงไท่ กินอาหารเช้าระหว่างทาง ในใจหวานชื่น แต่เขารู้ดี มรสุมกำลังจะมาถึง ถึงเวลาแสดงฝีมือเด็ดขาดของเขาแล้วดังคาด ในตอนที่เขาเพิ่งถึงเครือต้า
วิธีการของฉินอวิ๋นฟานทำให้หัวใจของพวกเขาอบอุ่นใจยิ่งนัก พร้อมกันนั้นก็สลายวิกฤตของพวกเขาด้วย“รัชทายาทต้าเฉียน ที่ท่านว่ามาเป็นความจริงหรือ?!”หนานกงเซิ่งยังเหลือเชื่อเล็กน้อย สอบถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง อย่างไรก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของทุกคนในตระกูล และพวกเขาก็คือพ่อค้า ย่อมให้ความสำคัญต่อสัจจะของฉินอวิ๋นฟาน“ต้าเฉียนเราเพิ่งได้เมืองอู่โจว จะตระบัดสัตย์เสียความน่าเชื่อถือได้หรือ?”ฉินอวิ๋นฟานพูดจริงจัง “ข้าฉินอวิ๋นฟานรักษาคำพูดเสมอ จะล้อเล่นกับเรื่องสำคัญเช่นนี้กับพวกท่านได้ยังไง? พวกท่านไปคิดคำนวณให้ดีเถอะ ข้าฉินอวิ๋นฟานจะรับผิดชอบทั้งหมด!”“จริงสิ เงินชดเชยคนที่ถูกสังหาร ข้าฉินอวิ๋นฟานก็จะจ่ายให้เป็นสามเท่า และข้าขอสัญญาอย่างจริงจังกับพวกท่านว่า ข้าจะกวาดล้างกองโจรให้หมดภายในหนึ่งเดือน คืนสภาพแวดล้อมการค้าขายที่ปลอดภัยให้กับทุกท่าน!”เมื่อได้รับการการันตีจากฉินอวิ๋นฟาน ทุกคนต่างดีใจลิงโลดมือโบกเท้ารำ การเหมาความรับผิดชอบของฉินอวิ๋นฟาน ทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจยิ่งนักทีแรกพวกเขายังคิดว่าต้องขอท่านปู่ร้องท่านย่า คุกเข่าอ้อนวอนฉินอวิ๋นฟานคืนความเป็นธรรมให้กับพวกเขา แต่ฉินอวิ๋น
“อ้อ? ไม่ยอม? ไหนข้าดูหน่อยสิว่าใครกันที่กำแหงขนาดนี้ กล้าโวยวายต่อหน้าข้าผู้เป็นรัชทายาท?”ก็ขณะที่สมาชิกของบรรดาสมาคมการค้าโดยมีต้าเยียนเป็นผู้นำกำลังชุมนุมเอะอะโวยวายอยู่หน้าเครือต้าเฉียนเหิงไท่ ฉินอวิ๋นฟานสองมือไพล่หลัง สายตาคมกริบ ย่างเท้ามาถึงตรงหน้าทุกคน!เมื่อทุกคนเห็นฉินอวิ๋นฟานวางอำนาจเช่นนี้ ความโอหังไฟเร่าร้อนลดฮวบลงไปกว่าครึ่ง โดยเฉพาะซือหม่าเจาที่ติดต่อกับราชวงศ์ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่ต่าง ๆ การก้มหัวค้อมเอว บริการเยี่ยมสุนัขคือท่าทีที่เขาต้องมีในชีวิตประจำวันแม้ฉินอวิ๋นฟานไม่ใช่นายของเขา กลับเป็นราชนิกุลผู้สูงส่งมีอำนาจ ฐานะและชื่อเสียงโด่งดัง ต่อให้เขาโวยวายหนักอย่างไร แต่เมื่อฉินอวิ๋นฟานปรากฏตัวอย่างทรงอำนาจแล้ว เขามักหดหัวตามนิสัย“ฉิน ฉินอวิ๋นฟาน เมื่อคืนนี้สินค้าของสมาคมเราหลายสมาคมถูกปล้นในพื้นที่ดูแลเมืองอู่โจว มีคนถูกฆ่าตั้งหลายคน ไม่ว่ายังไงต้าเฉียนของเจ้าก็ต้องให้คำอธิบายกระมัง?!”ซือหม่าเจาแววตาวูบไหว น้ำเสียงสั่นเครือ พูดแบบขลาด ๆ“ก็ ก็นั่นนะสิ ฉินอวิ๋นฟาน แต่ละปีสมาคมการค้าใหญ่ของพวกเราจ่ายภาษีให้ต้าเฉียนพวกเจ้าไม่น้อย พวกเจ้ามีความรับผิดชอบ มีหน้าท
“ในเมื่อรับกับอารมณ์เหม็น ๆ เช่นนี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไสหัวไปเถอะ เมืองอู่โจวไม่ขาดพ่อค้า!”ฉินอวิ๋นฟานทำหน้าไม่แยแส พูดเสียดสีทันที“หา...นี่...”เมื่อฉินอวิ๋นฟานพูดคำนี้ออกมา หมู่ผู้รับผิดชอบสมาคมการค้าเอ๋อรับประทาน สมองขาวโพลนไปเลย ทีแรกนึกว่าจะใช้วิธีนี้กดดันฉินอวิ๋นฟาน ให้ฉินอวิ๋นฟานถอยสักหน่อย ไม่นึกว่าฉินอวิ๋นฟานจะไล่ให้พวกเขาไสหัว คราวนี้มันไม่สนุกแล้วนะ!ผู้รับผิดชอบสมาคมการค้าทั้งหลายเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ทุกคนปราศจากความคิดโดยสิ้นเชิง ลมปากที่เพิ่งพ่นออกไปจะเก็บกลับคืนก็ไม่ได้กระมัง?“ทำไม? พวกเจ้ายังจะยืนบื้อทำไม?”ฉินอวิ๋นฟานเหยียดยิ้มมุมปาก แสยะยิ้มและพูด “ยังไม่รีบกลับไปเก็บข้าวของของพวกเจ้าแล้วไสหัวไปอีก ไว้หน้าพวกเจ้าแล้วใช่ไหม? อย่าบีบให้ข้าต้องตบพวกเจ้าออกไปนะ!”คราวนี้ซือหม่าเจาและคนอื่น ๆ งงเป็นไก่ตาแตก ยามนี้ขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก ฉินอวิ๋นฟานไม่เกรงใจพวกเขาสักนิด เห็นชัดว่าต้องการขับไล่พวกเขา ทันใดนั้นทุกคนตื่นตระหนก!“เอ่อ... รัชทายาทต้าเฉียน พวกเรา...”“หุบปาก!”หนานไป่เวยเพิ่งอ้าปากก็ถูกฉินอวิ๋นฟานตวาดกลับ ดวงตาวาวโรจน์จดจ้อง เอ่ยเสียงกร้าว “ข้าบอกให้
ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงชายร่างกำยำสวมกวานหยกม่วงบนศีรษะ คิ้วดาบตาดารา อยู่ในชุดผ้าไหมแพรพรรณคนหนึ่งกำลังเดินมาทางฉินอวิ๋นฟานพร้อมผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง แค่ดูก็รู้ว่าต้องมีฐานะสูงส่งยิ่งแน่“เสี่ยวฟาน องค์ชายใหญ่มาแน่ะ”เห็นองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังปรากฏตัวในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ อู่จ้านรู้สึกว่าการสันนิษฐานเมื่อคืนน่ากลัวว่าจะเป็นความจริง เวลานี้ไม่ว่าเสี่ยวฟานจะจัดการงานในเมืองอู่โจวอย่างไร องค์ชายใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่ง แต่เขากลับแสดงตัวออกมาแล้ว“เหอะ พี่ใหญ่คือมีป่ามีใจทะยานอยากดังคาด!”ฉินอวิ๋นฟานมองฉินอวิ๋นคังที่กำลังเดินมาหาตนเอง สายตาเหี้ยม ขณะเดียวกันก็ยืนยันการสันนิษฐานของเขาด้วย แผนชั่วทั้งหมดนี้ฉายอยู่ในหัวของฉินอวิ๋นฟานแล้ว เรื่องราวดำเนินไปรอยทางที่เขาคิดเอาไว้แทบจะทั้งหมดเริ่มจากกองโจรจางหมาจื่อก่อเรื่อง ตามด้วยสมาคมการค้าต่าง ๆ หาเรื่องด้วยเหตุผลอันสมควร ต้องการคำอธิบาย สร้างสถานการณ์และให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากนั้นพี่ใหญ่ก็เข้าฉากต่อจากนี้น่าจะเป็นฉากทลายรังโจรสินะ? พวกโจรปะทะกับทหารทางการ รัชทายาทต้าเฉียนฉินอวิ๋นฟานสู้ศึกเคราะห์ร้ายเสียชีวิต?แผนกา
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ