“อย่างนี้นี่เอง!”เมื่อนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงเข้าใจ มิน่าในสมองของเขาจึงมีความฝันอันเลือนรางหนึ่งมาโดยตลอด เด็กหญิงวัยหกเจ็ดขวบอุ้มเขาทั้งวัน ปลอบโยนเขา เรียกเขาว่าเสี่ยวฟานฟาน...ที่แท้เหลียงจื่อฝูก็คือเด็กหญิงคนนั้น หรือก็คือเสด็จน้าสิบสามของเขา มิน่าตอนที่นางเห็นเขาถึงไม่รู้สึกห่างเหินสักนิด ซ้ำยังกล้าแกล้งเขาเช่นนี้อีก“จริงสิ เจ้าห้ามถามเรื่องการแต่งงานและลูกกับนางเด็ดขาด นี่คือข้อห้ามของนาง”อู่จ้านรีบเตือน“หา? นางอายุมากขนาดนั้นแล้ว น่าจะแต่งงานนานแล้วมิใช่หรือ? มีอะไรที่ถามไม่ได้กัน? ในฐานะที่เป็นเด็ก จะเป็นห่วงเป็นใยถามหน่อยไม่ได้เลย?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วถาม“ไม่ได้!”อู่จ้านปฏิเสธเด็ดขาด“เอ่อ... หรือว่ายังมีอะไรพิเศษอีก?”อู่จ้านสะกิดต่อมอย่างรู้ของฉินอวิ๋นฟานอีกครั้ง เมื่อเติบโตระดับหนึ่ง การแต่งงานไม่ใช่เรื่องธรรมดามากหรือ? ทำไมถึงถามไม่ได้?ทุกครั้งที่เจอผู้ใหญ่ เรื่องนี้คือเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงในการสนทนา แต่อาจ้านกลับบอกว่าห้ามพูดถึง?“ข้าจะบอกเจ้าแล้วกัน เจ้าต้องรู้กาลเทศะเล่า!”อู่จ้านเล่าแบบระมัดระวังมาก “ที่นางจะยี่สิบหกแต่ยังอยู่ตัวคนเดียว นั่นเพราะว่าน
“ก๊อก ๆ ๆ...”ก็ขณะที่ฉินอวิ๋นฟานกำลังคุยเรื่องเหลียงจื่อฝูกับอู่จ้าน จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จวนเจ้าเมืองมีการป้องกันอย่างแน่นหนา ทั้งยังมียอดฝีมือจากตระกูลเซี่ยงมากถึงสิบคน คนทั่วไปจะไม่สามารถเข้าใกล้ห้องของฉินอวิ๋นฟานได้ การที่มีคนเคาะประตูกะทันหัน จะต้องเป็นคนสนิทอู่จ้านเพิ่งเปิดประตูก็เห็นเซียวหยาง หลิวเป้ยและหานซิ่นยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางตึงเครียด อู่จ้านรีบถาม “ดึกอย่างนี้แล้ว พวกเจ้าสามคนมีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือ?”“ถูกต้อง พี่อู่ ท่านดูนี่สิ!”หลิวเป้ยไม่กล้ารีรอ รีบยื่นกระดาษแถบถึงตรงหน้าอู่จ้านทันที ครั้นอู่จ้านเห็นตัวอักษรบนนั้น ใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน เขาพูดขึ้น “รีบเชิญเข้าห้องเร็วเถอะ!”“มีอะไรหรือ? ทำไมถึงเครียดอย่างนั้นล่ะ?”เห็นเซียวหยาง หลิวเป้ย หานซิ่นหน้าตาเคร่งเครียด ฉินอวิ๋นฟานจึงขมวดคิ้วถาม“เสี่ยวฟาน เจ้าดูนี่สิ!”อู่จ้านรีบส่งกระดาษแถบให้ฉินอวิ๋นฟานทันที ครั้นฉินอวิ๋นฟานเห็นเนื้อหาในนั้นแล้ว คิ้วก็มัดเป็นปมพูดว่า “ระวังองค์ชายใหญ่? ใครส่งเจ้านี่มาน่ะ? คงไม่ได้เล่นสนุกกระมัง?”“เป็นเด็กคนหนึ่งส่งมาขอรับ คนข้างหลังไม่รู้ว่าไปไหนนานแล้ว แต่พวกเร
“แหม เป็นเด็กเป็นเล็กรู้จักเอาใจห่วงคนแล้ว น้าสิบสามไม่ได้รักคนผิดจริง ๆ”เหลียงจื่อฝูยิ้มพรายพลางพูด “ในเมื่อฟานเอ๋อร์ห่วงใยพี่สาวเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าก็มาคุ้มครองความปลอดภัยอยู่ข้างตัวข้าดีกว่า นอกจากเจ้า ข้าไม่เชื่อใครทั้งนั้น เป็นอย่างไร?”“เอ่อ...”ฉินอวิ๋นฟานศิโรราบต่อการกระเซ้าเย้าแหย่ของเหลียงจื่อฝูอีกครั้ง แม่นี่ดูไม่เหมือนคนดีเลยแฮะ ยั่วคนโจ่งแจ้ง ยังจะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?ถ้าไม่ใช่เพราะมีสายเลือดเดียวกัน รับรองว่าจะจับนางมาเผด็จศึกแน่ ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อท้องน้อยที่กำลังร้อนรุ่มและอารมณ์ที่กำลังพุ่งกระฉูด“เอ่อคือ... เสด็จน้าสิบสาม ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังกับท่านอยู่นะ”ฉินอวิ๋นฟานหน้าตาบูดบึ้ง“ฮี่ ๆ พอเจ้าจริงจังขึ้นมาก็น่ารักเชียว หน้าเริ่มแดงแล้วนะ”เหลียงจื่อฝูหัวเราะเย้าแหย่ “ข้ายังมีธุระต้องทำจะไปสมาคมการค้าต้าเหลียง และข้าก็มีองครักษ์คุ้มครองโดยเฉพาะอยู่แล้ว น่าจะไม่มีปัญหา แต่... ถ้าเกิดเรื่องในถิ่นของเจ้า เจ้าต้องรับผิดชอบข้านะ”เหลียงจื่อฝูทิ้งลูกหยอดเอาไว้คำหนึ่งก่อนจะหมุนตัวจากไป มอบเค้าโครงสรีระสมบูรณ์แบบไว้ให้ ฉินอวิ๋นฟานเห็นแล้วพาลให้หัวใจคันยิบ
พอหลิวเป้ยเตือนสติเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็คิดขึ้นมาได้ทันที พี่ใหญ่มีทหารส่วนมากอยู่ในมือ พ่อตาของเขาคือแม่ทัพฝ่ายขวาระดับหนึ่งของราชสำนัก ท่านผู้เฒ่าตระกูลเริ่นคืออดีตแม่ทัพใหญ่ระดับหนึ่งของต้าเฉียน เรียกได้ว่ามีกำลังอยู่ในต้าเฉียนน่ากลัวอย่างยิ่งยวดผู้ที่สามารถใช้ทหารก่อกบฏได้ ทั้งต้าเฉียนก็มีแต่พี่ใหญ่และขั้วอิทธิพลเบื้องหลังของเขาเท่านั้น มิน่าเมื่อวานถึงได้รับกระดาษแถบลึกลับแผ่นนั้น ดูท่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพี่ใหญ่ แต่ทำไมถึงปิดข่าวมิดชิดอย่างนี้นะ ทำไมเขาถึงไม่ระแคะระคายอะไรเลย?“เสี่ยวฟาน ข้ามักรู้สึกว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่ธรรมดา”เวลานี้อู่จ้านมีสีหน้ากังวลเหมือนกัน กว่าพวกเขาจะสร้างผลงานได้สักหน่อย ก่อตั้งขุมกำลังเล็ก ๆ ของตัวเอง หรือต้องจบลงทั้งอย่างนี้แล้ว?“ถ้าบอกว่าเมืองหลวงยังสั่นสะเทือนหนักขนาดนี้ เรื่องนี้ต้องร้ายแรงกว่าที่พวกเราคิดแน่ และต้องอยู่เหนือขอบเขตความสามารถของเราด้วย”ฉินอวิ๋นฟานพูดหน้าขรึม “ที่พวกเราต้องทำในเวลานี้คือจัดการงานในเมืองอู่โจวให้เรียบร้อยก่อน ขอเพียงพี่ใหญ่อยู่ที่นี่ ทุกอย่างยังเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเกิดก่อกบฏในเมืองหลวงจริง เรื่องนี้จะไม่ใช่เ
“อ้อ? เจ้าหอหวงก็มาแล้วหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้ว ตอกย้ำข้อสันนิษฐานของตัวเองมากกว่าเดิม ไม่ทันได้คิดอะไรมาก เขาเอ่ยเสียงหนัก “นำทาง!”เพิ่งถึงห้อง หวงต้าหยวนคลี่ยิ้มจาง ๆ ให้ นางหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูด “รัชทายาท ไม่นึกว่าเราจะได้พบกันเร็วอย่างนี้นะ”“เจ้าหอหวง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะโอภาปราศรัย คิดว่าเจ้าน่าจะรู้เรื่องในเมืองหลวงแล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานพูดหน้าเข้ม“นอกจากข้าจะรู้ ที่เมืองหลวงเตรียมการป้องกันก็รู้ไปทั่วแล้วเหมือนกัน ที่ข้ามาเมืองอู่โจวด้วยตัวเองก็เพื่อจะบอกกับท่าน ไท่ซั่งหวงลงมือแล้ว”หวงต้าหยวนกล่าวอย่างจริงจัง“อ้อ? เสด็จปู่ของข้าลงมือแล้ว? หรือว่ามีคนจะก่อกบฏจริง?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วจนย่นยู่ บนใบหน้าคือความวิตก นี่คือผลลัพธ์ที่เขาไม่อยากเห็นที่สุด ไม่นึกว่าสุดท้ายก็ยังกลายเป็นความจริงไปได้?“พอเมื่อคืนรู้ข่าวก็ตรงดิ่งมาเมืองอู่โจวในคืนนั้นเลย”หวงต้าหยวนพูดลงน้ำหนักเสียง “สำหรับการก่อกบฏที่ท่านกล่าวถึง ข้ากลับไม่ได้ข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องเลย จากประสบการณ์หลายปีของข้า อาจมีโอกาสเกิดการก่อกบฏจริง แต่น่าจะไม่ใช่สิ่งที่การเตรียมการมานาน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกะทั
ฉินอวิ๋นฟานเป็นคนละเอียดรอบคอบเหมือนกัน หลังจากหวงต้าหยวนวิเคราะห์เช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมากเช่นกัน พร้อมกันนั้นก็รู้สึกทึ่งกับฝีมือร้ายกาจของเสด็จปู่ด้วยในเมื่อนี่คือบททดสอบพวกเขาสามคน เช่นนั้นไท่ซั่งหวงไม่จำเป็นต้องเตือนเขา อีกอย่าง ภาพรวมในเมืองหลวงอยู่ในกำมือของเสด็จปู่หมด ยิ่งไม่ต้องเตือนเขาไปกันใหญ่สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนก็ยิ่งทดสอบความสามารถของคนคนหนึ่งในเมื่อเสด็จปู่ต้องการเลือกองค์ชายผู้เยี่ยมยอดที่สุดขึ้นครองราชย์ เขาจะไม่บอกใบ้อะไรใครทั้งนั้น แล้วใครกันที่เตือนเขาอยู่ข้างหลัง?“หรือเพราะช่วงนี้ข้าทำความดีมากเกินไป มีคนทำใจเห็นข้าประสบเคราะห์ไม่ได้ ก็เลยตั้งใจเตือนข้าสักหน่อย?”ยามนี้ฉินอวิ๋นฟานสบายใจขึ้นมาก ในเมื่อคิดแล้วแต่ไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ไม่คิดมันเสียเลย อย่างไรมีคนช่วยเหลืออยู่ข้างหลังก็คือเรื่องดี ที่อีกฝ่ายไม่ยินดีเปิดเผย ย่อมต้องมีเหตุผล สืบสาวราวเรื่องไปก็ไม่มีความหมาย“แต่ข้าได้แต่พูดว่า คนที่มีความสามารถเช่นนี้มีน้อยเพียงหยิบมือ แล้วอีกฝ่ายต้องประทับใจท่านมากแน่ มิเช่นนั้นจะไม่เสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงมาเตือนท่าน”หวงต้าหยวนเอ่ย“เจ้าพูดไม่ผิด คนที
ยามนี้ฉินอวิ๋นฟานเบิกบานใจยิ่งนัก เขาพูดอย่างฉับไวว่า “ว่ามาเถอะ เจ้าอยากให้ข้าตอบแทนเจ้ายังไง? แม้ต้องมอบตัวถวายใจข้าก็จะไม่ปฏิเสธ!”เห็นฉินอวิ๋นฟานทุบอกรับประกัน หวงต้าหยวนทำหน้าแขยง เจ้าหมอนี่จะไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง? ข้าช่วยท่านถึงขนาดนี้ ท่านกลับไม่ตายใจ ยังอยากได้ตัวข้าอีก?นางยอมรับว่าตัวเองชื่นชอบฉินอวิ๋นฟานอยู่ไม่น้อย ชื่นชมความสามารถและความเก่งกาจของฉินอวิ๋นฟานมาก แต่นางหวงต้าหยวนก็ไม่ได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน? จะสมัครใจอยู่ใต้ร่างบุรุษคนหนึ่งอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร?“ทำไม? ท่านไม่กลัวว่าใต้ผ้าปิดหน้าผืนนี้จะเป็นใบหน้าอัปลักษณ์อย่างหาที่เปรียบมิได้หรือ?”หวงต้าหยวนพูดพลางทำหน้ายั่วยุ“เอ่อ...”ครั้นได้ฟังคำพูดนี้ ฉินอวิ๋นฟานสะอึกทันที เรื่องอย่างการเปิดกล่องสุ่มเช่นนี้มีความเสี่ยงสูง เปิดผิดชีวิตเปลี่ยนทันที ไม่มีทางให้หันหลังกลับ ก็หวงต้าหยวนเป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ เสียที่ไหน!ปากพล่อยก็แล้วไปเถอะ อย่าแกว่งตีนหาเสี้ยน มิเช่นนั้นหากไปถึงขั้นที่แก้ไขไม่ได้ นั่นจะได้จบเห่จริง ๆ แล้ว“ข้าแค่ล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้น!”ฉินอวิ๋นฟานฉีกยิ้ม “ว่ามาเถอะ เจ้ามีความต้องการอะไรก็พูดมาได้
หวงต้าหยวนจ้องฉินอวิ๋นฟานอยู่นาน รู้สึกทึ่งอย่างหนัก แม้ผ่านไปนานแล้วแต่จิตใจยังมิอาจสงบ หากคำพูดนี้ออกมาจากปากของคนอื่น นางจะไม่เชื่อเด็ดขาดสำหรับผู้รวมอำนาจ สร้างภาพลักษณ์จอมปลอม ตั้งตัวละครขึ้นมา เป็นนกสองหัว แลกเปลี่ยนสกปรกต่าง ๆ นานาลับหลัง เป้าหมายที่แท้จริงก็เพื่อทำความปรารถนาที่จะปกครองให้สำเร็จทันทีที่บรรลุเป้าหมายก็จะเผยธาตุแท้อันชั่วช้าโสมมในพริบตาทว่าถ้อยคำนี้กลับออกมาจากปากของฉินอวิ๋นฟาน นางจึงเชื่อสนิทใจนับจากฉินอวิ๋นฟานรับเมืองจัวที่เป็นดังนรกบนดินมา เขาก็ทำคำปฏิญาณของตัวเองให้สำเร็จมาโดยตลอด ทั้งยังทำเพื่อประโยชน์ของปวงประชา ยอมมีปากเสียงกับฝูงขุนนางในราชสำนัก กระทั่งควักกระเป๋าตัวเองเพื่อลดภาระของชาวบ้านเขาก็คือชายที่การพูดตรงกับการกระทำ หรือนี่ก็คือมนตร์เสน่ห์ของเขา?ใครจะสงสัยคนที่ทำงานเพื่อประชาชนจากใจจริงได้?“ที่ท่านขายเกลือบริโภคไปทั่วโลก ความจริงแล้วก็เพื่อช่วยชาวบ้านพวกนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชาวแคว้นไหน ที่ท่านให้ความสำคัญจริง ๆ ก็คือสภาพแวดล้อมในการอยู่รอดของผู้อ่อนแอ”แม้หวงต้าหยวนจะเป็นคนพูดออกมาเอง และเข้าใจจิตใจมหาสมุทรรวมร้อยนทีนั้นของฉินอวิ๋
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ