“ชดเชยหลี่เถี่ยตั้นสามพันตำลึงเป็นค่ารักษาพยาบาลและเยียวยาจิตใจ จากนั้นก็ขอโทษกับหลี่เถี่ยตั้นอย่างจริงจัง!”ฉินอวิ๋นฟานพูดแบบไม่คิดจากเนื้อแท้ของเรื่องเป็นแค่ความขัดแย้งธรรมดาเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง ไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องจัดการอย่างเข้มงวด และฉินอวิ๋นฮุยยังมีสถานะพิเศษ ถ้าเขาเอาความต่อไป น่ากลัวว่าต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน“สามพันตำลึงยังไงก็ได้ ค่ารักษาพยาบาลข้าก็ยังพอเข้าใจ แต่ค่าเยียวยาจิตใจนี่มันอะไรกัน?”ฉินอวิ๋นฮุยถามด้วยใบหน้าสับสน“เอ่อ มันคือ มันคือ...”อยู่ ๆ ก็ถูกฉินอวิ๋นฮุยถามมาอย่างนี้ ฉินอวิ๋นฟานจึงคิดขึ้นได้ว่านี่คือความเคยชินทางความคิดในยามปกติของเขา ดังนั้นจึงหลุดปากพูดออกไป ลืมคิดไปว่าที่นี่ไม่มีค่าเยียวยาจิตใจฉินอวิ๋นฟานรีบอธิบาย “ก็คือ ก็คือ... ใช่ ท่านเกือบทำลูกชายของเขาตายแล้ว ไม่สมควรชดใช้หรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะข้าช่วยเหลือทัน สามพันตำลึงยังไม่พอชดใช้เลย”“อ้อ ที่แท้ก็หมายความเช่นนี้!”แม้ฉินอวิ๋นฟานจะพยายามอธิบายออกไปแบบข้าง ๆ คู ๆ แต่ฉินอวิ๋นฮุยก็ยังกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ จากท่าทางของฉินอวิ๋นฟาน รู้สึกว่าเขาไม่ได้พูดความจริง เพื่อเขี่ยดาวพิฆาตตัวนี้ไปให้เร็วที
ยามใดที่ขุนนางพวกนี้มาหารือด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส นั่นหมายถึงว่าพวกเขากำลังจะเผชิญกับลมมรสุมพายุกระหน่ำอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่เขาสรุปได้จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา“เอาไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ!”ฉินอวิ๋นฮุยตบบ่าหลี่เถี่ยตั้นพลางหัวเราะ “ถ้าอยากจะขอบคุณ เจ้าก็ขอบคุณน้องเจ็ดข้าให้มากเถอะ เป็นเขาที่ทำให้ข้าตระหนักถึงความผิดของตัวเอง และการขอโทษเจ้าต่อหน้าทุกคนก็เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว”ครั้นได้ยินคำพูดนี้ หลี่เถี่ยตั้นมองไปทางฉินอวิ๋นฟานด้วยสีหน้าปั้นยาก เขาไม่เข้าใจเลยว่าองค์ชายรองมีจุดมุ่งหมายอะไรกันแน่ ความกลัวในใจไต่ระดับถึงจุดสูงสุดนานแล้ว สูญเสียความสามารถในการพิจารณาโดยสิ้นเชิง“เอาไปเถอะ ต่อไปก็ใช้ชีวิตให้มีความสุข นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มน้อย ๆ พลางพูดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของฉินอวิ๋นฮุยอยู่เหนือความคาดหมายของฉินอวิ๋นฟานมาก ทีแรกเขายังคิดจะข่มฉินอวิ๋นฮุยสักหน่อย ไม่นึกว่าคนข้างตัวจะชี้แนะ แก้ไขได้อย่างง่ายดายกระทั่งว่ายังให้ฉินอวิ๋นฮุยแสดงฝีมือ ได้ชื่อเสียงมาเสียอย่างนั้นเขาจำต้องยอมรับว่าคนผู้นี้คือยอดฝีมือแผนสูง......หลังจากผ่านเ
“ประหลาด ฉินอวิ๋นฟานผู้นี้ประหลาดนัก ต่อไปเจ้าต้องจับตามองให้มาก”เยียนจ้านเทียนกล่าวด้วยสีหน้าสงบ “เฉินเอ๋อร์ชอบเอาชนะแต่เล็ก นิสัยเหมือนข้า การมอบเมืองอู่โจวให้ในครานี้ถือเป็นการฝึกฝนนางครั้งหนึ่งแล้วกัน ให้นางมีประสบการณ์กับงานระหว่างบ้านเมืองมากหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ!”หลี่เหลียนอิงค้อมตัวเอ่ยนับจากนาทีที่ฉินอวิ๋นฟานออกเดินทาง ข่าวก็แพร่สะพัดไปตามแคว้นต่าง ๆ เหมือนติดปีก ราชวงศ์ต้าเซี่ยคือแคว้นใหญ่อันดับสองรองจากราชวงศ์ต้าเยียน นอกจากจะมีกองทัพที่น่าสะพรึงกลัว ยังมีอาณาบริเวณใหญ่ที่สุดในโลก บ้านเมืองเข้มแข็งประชามั่งมี“ฝ่าบาท สายสืบรายงานว่าองค์ชายทั้งสามของต้าเฉียนต่อสู้กันหนักหน่วงมาตลอด ต่างมีความคิดเป็นของตนเอง ในตอนที่พักในเมืองปินโจว ระหว่างสามพี่น้องเกิดความขัดแย้งอย่างหนัก ยังดีที่องค์ชายรองระงับได้ มิเช่นนั้นผลที่ตามมายากจะจินตนาการพ่ะย่ะค่ะ”ในห้องทรงพระอักษรของราชวงศ์ต้าเซี่ย จักรพรรดิราชวงศ์ต้าเซี่ยจีซื่อซวินหยุดงานในมือ ฟังการรายงานจากขันทีเฒ่าที่อยู่ด้านข้าง ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิเหนือขั้นอันดับสองของโลก จีซื่อซวินย่อมมีสติปัญญาและฝีมือเหนือคนเป็นธรรมดาเขาเอ่ยปาก
“เสด็จอาไท่ซันวิเคราะห์มีเหตุผล!”เหมียวชิงอีคิ้วมัดเป็นปมแน่น“ระยะนี้กระหม่อมวิเคราะห์ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในปีกว่านี้อย่างละเอียดรอบหนึ่ง พบว่าเรื่องเมืองอู่โจวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ร้ายแรงกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก”เหมียวไท่ซันพูดหน้าเครียด “หนึ่งปีกว่าก่อน จักรพรรดิต้าเยียนเพิ่งประชวรหนัก เมืองอู่โจวก็เกิดเรื่องสินค้าต้าเยียนถูกปล้น การเจรจาไม่สำเร็จ ต้าเยียนโจมตีอย่างหนัก ยึดเมืองอู่โจว ส่วนต้าเฉียนกลับไม่มีวิธีตอบโต้ใด ๆ ทรงคิดว่านี่คือความบังเอิญหรือ?”“เมืองอู่โจวไม่ใหญ่ แต่มันกลับมีความพิเศษมาก เชื่อมต่อกับต้าเฉียน แคว้นเหมียว ต้าเยียน ต้าเซี่ยและเหมิงกู่ห้าแคว้น แคว้นใหญ่ล้วนตั้งสมาคมการค้าที่เมืองอู่โจวเกือบจะทั้งหมด เพียงพอให้เห็นความสำคัญทางชัยภูมิ”“การที่จู่ ๆ ต้าเยียนก็ลงมือกับเมืองอู่โจว มันแค่เพราะความขัดแย้งเรื่องหนึ่งหรือ? กระหม่อมกลับไม่เชื่อ จากปฏิกิริยาของราชวงศ์หนานเจียง กระหม่อมสันนิษฐานว่าที่ต้าเยียนทำเช่นนี้มีแค่ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเป้าหมายทางกลยุทธ์”ครั้นได้ฟังการวิเคราะห์ของเหมียวไท่ซัน เหมียวชิงอีสีหน้าปั้นยากอย่างหนัก นับจากเมืองอู
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของราชวงศ์ต้าเหลียงพิเศษสุด เห็นเพียงจักรพรรดิต้าเหลียงเหลียงหลงจีนอนอยู่บนเตียงมังกร สีหน้าซีดขาว ดูเหมือนร่างกายอ่อนแอมาก“คิดไม่ถึงจริง ๆ หลานชายน้อยของข้าจะร้ายกาจเช่นนี้ ช่างทำให้คนนึกไม่ถึงโดยแท้”บนเตียงมังกร เหลียงหลงจีฝืนยิ้มเล็กน้อย ชื่นชมหลานชายที่ไม่เคยปะหน้าผู้นี้นัก!“นั่นสิเสด็จพ่อ หลานอวิ๋นฟานโตแล้วจริง ๆ นอกจากจะไม่โง่งมอีก ยังฉลาดหลักแหลมนัก ลูกไม้แพรวพราวไม่มีสิ้นสุด ควบคุมองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต้าเฉียนอยู่ในกำมือ หัวการค้ายิ่งทำให้คนมองไม่เห็นฝุ่น อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเราจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”รัชทายาทต้าเหลียงเหลียงเทียนอี้ก็ชมเชยฉินอวิ๋นฟานหลานชายคนนี้อย่างไม่ปกปิดเหมือนกัน“นั่นสิเพคะเสด็จพ่อ ถ้าพี่หญิงใหญ่บนสวรรค์รับรู้ ต้องภูมิใจกับหลานชายคนเล็กคนนี้ของหม่อมฉันแน่นอน เขาได้เรื่องแล้ว พี่หญิงใหญ่หลับสนิทสักที”ข้างเตียง องค์หญิงสิบสามเอ่ยปากอย่างปริ่มใจ“นั่นสิ ครอบครัวจากไปทีละคน เหมือนสายลมใบไม้ร่วง”เหลียงหลงจีใบหน้าอารมณ์อ่อนไหวเศร้าหมอง เขาพูดลอย ๆ ขึ้นว่า “เวลานี้ร่างกายข้าแย่ลงทุกที อยากเจอคนรู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ พี่ใหญ่ของพ
“ไม่ ถ้าเจ้าคิดอย่างนี้ นั่นคือผิด ผิดมหันต์!”เหลียงหลงจีเอ่ยเสียงหนัก “เจ้าเคยคิดหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์ต้าเฉียนที่ซับซ้อนอย่างนี้ และต่อสู้กันดุเดือดอย่างนี้ อวิ๋นฟานไม่มีขั้วอำนาจที่สามารถพึ่งพิง แต่ต่อสู้กับสององค์ชายเพียงลำพัง ซ้ำสะกดองค์ชายสององค์ได้โดยสมบูรณ์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้”“อวิ๋นฟานไปเมืองอู่โจวในครั้งนี้ อย่างนี้ต้องอยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งเดือน เจ้ารีบออกเดินทางไปเมืองอู่โจว อย่าพลาดโอกาสดีนี้ เขาอาจนำพาผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงให้กับพวกเราก็ได้”เหลียงหลงจีกล่าวด้วยสายตามุ่งมั่นจากมุมมองของจักรพรรดิ ฝีมือที่ฉินอวิ๋นฟานแสดงออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใด ราชวงศ์ใด ล้วนเป็นตัวตนระดับยอดพีระมิดท่ามกลางการแข่งขันในราชวงศ์ ความสามารถส่วนบุคคลและวิธีการสำคัญอย่างยิ่งยวด ฉินอวิ๋นฟานแสดงฝีมือและความมั่นใจได้ในภาวะวิกฤตนี้ แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและจะไม่มีอีกในภายหลัง อนาคตของต้าเหลียงจะเป็นเช่นไร ฉินอวิ๋นฟานอาจเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งจริง ๆ“เพคะ เสด็จพ่อ หม่อมฉันทราบแล้ว หม่อมฉันจะออกเดินทางไปเมืองอู่โจวเดี๋ยวนี้เพคะ!”เหลียงจื่อฝูไม่กล้าทำให้เสียเวลาแม้แต่น้อย
จวนเจ้าเมืองอู่โจว หลังจากฟังการรายงานอย่างละเอียดของเซี่ยมู่ไป๋แล้ว ใบหน้าพริ้มเพราของเยียนอวี่เฉินก็มีน้ำค้างแข็งแผ่ขยายเต็มไปหมด ในแววตาอัดแน่นไปด้วยความแค้น ไม่ยินยอม และความเหลือเชื่อ“อาจารย์เซี่ย ท่านแน่ใจหรือว่าฉินอวิ๋นฟานจงใจเล่นงานเราเพราะเรื่องสัญญาเดิมพัน?”เยียนอวี่เฉินถามยืนยันอีกครั้งแบบไม่ตายใจ “เฮ้อ! องค์หญิงสาม ข้าหรือจะกล้าล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้!”เซี่ยมู่ไป๋ถอนหายใจหนักและเอ่ย “ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน คำพูดที่เราเตรียมเมื่อก่อนหน้านี้ไม่เกิดผลเลย เขาไม่คล้อยตามสักนิด ยังไงก็จะยึดตามหลักเหตุผล ข้าก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน” ในฐานะที่เซี่ยมู่ไป๋เป็นนักวรรณกรรมผู้ยิ่งใหญ่ มีพื้นฐานด้านบุ๋นล้ำเลิศ ไม่คิดว่าเขาจะพูดไม่ออกต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน ทำให้เขาแค้นใจนัก กระทั่งรู้สึกสิ้นกำลัง“ฉินอวิ๋นฟาน เจ้ามันบ้า ไม่รู้จักดีชอบ สุราเคารพไม่กินจะกินสุราลงทัณฑ์!”เยียนอวี่เฉินเดือดดาลสุดขีด โมโหจนกระทืบเท้าอยู่กับที่ ตะคอกอยู่ในห้องโถงอย่างบ้าคลั่ง ในฐานะที่เป็นองค์หญิงสามผู้สูงส่งของต้าเยียน นางเคยรับกับความเหยียดหยามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?ทั้งที่นางกำลังให้โอกาสฉินอวิ๋นฟานอยู่แท้
หลัวเทียนเป้าถูกเยียนอวี่เฉินถามกลับจนพูดไม่ออก หลัวเทียนเป้าย่อมชัดเจนในกำลังของต้าเยียนดี แต่การทัดทานห้าแคว้นด้วยกำลังของหนึ่งแคว้น คือเรื่องที่เป็นไปไม่ค่อยได้!ก็ขณะที่พวกเขากำลังว้าวุ่น คำพูดหนึ่งของซือหม่าเจาทำให้พวกเขาฉุกคิดขึ้นได้ทันที!เห็นเพียงซือหม่าเจาพูดอ้อมแอ้ม “เอ่อ คือว่า องค์หญิงสาม จะเป็นไปได้หรือไม่ ความจริงฉินอวิ๋นฟานมองแผนการของเราออกแต่แรกแล้ว เขาแค่แกล้งทำเป็นปฏิเสธคนอยู่นอกพันลี้ จงใจรักษาระยะห่างกับเรา“หือ? ซือหม่าเจา เจ้าพูดต่อมาสิ!”พอเยียนอวี่เฉินได้ฟังก็สนใจขึ้นมาทันที หรือว่าฉินอวิ๋นฟานมีความลับที่พูดยากอะไร?“เช่นนี้ขอรับ ข้าน้อยคือพ่อค้าคนหนึ่ง จะใช้เวลาส่วนมากกับการคิดปัญหาด้วยความคิดของพ่อค้า และจุดเด่นใหญ่ของพ่อค้าก็คือแสวงหากำไร รองลงมาก็คือไร้เล่ห์ไร้ธุรกิจ”ซือหม่าเจาอธิบาย “และฉินอวิ๋นฟานก็คืออัจฉริยะทางการค้าคนหนึ่ง ภาพพิมพ์เขียวทางธุรกิจของเขาเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีก ทำให้สมาคมการค้าอย่างเราต้องละอายใจนัก ดังนั้นข้าน้อยกำลังคิด เขาเป็นคนฉลาดขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ความน่ากลัวของต้าเยียนที่พึ่งพิงนี้”“ในฐานะที่เป็นพ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ