“เอ่อ เจ้าจะเอาแค่จอหงวนแดงหรือ?”อู่จ้านพูดด้วยใบหน้าที่ไม่เข้าใจ “เสี่ยวฟาน ก่อนจะมีอู่เหลียงเย่เรา จอหงวนแดงคือเหล้าขาวที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้าเฉียนจริง แต่จอหงวนแดงในตอนนี้ยอดขายน้อยนิดจนน่าสงสาร ทำกำไรอะไรให้เราไม่ได้ เอามันไปก็ไม่มีประโยชน์”นับจากอู่เหลียงเย่แจ้งเกิดบนโลกใบนี้ ธุรกิจสุราของทั้งต้าเฉียนก็กลับตาลปัตร แม้ราคาของอู่เหลียงเย่จะสูงจนทะลุจักรวาล แต่ก็ยังมีคนทุ่มสุดตัวเพื่อซื้อมัน ล้ำค่ายิ่งนักจอหงวนแดงของภัตตาคารเซิ่งหลงกลายเป็นสินค้าคงค้างขายไม่ออก ยอดขายยังไม่ถึงร้อยละหนึ่งในอดีต แทบจะถึงขั้นล้มละลายแล้วรับช่วงสุราเช่นนี้มิเท่ากับหาเรื่องให้ขาดทุนหรือ?“ต้องมีประโยชน์สิ สำหรับข้า จอหงวนแดงก็คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในภัตตาคารเซิ่งหลงแล้ว”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะเล็กน้อยและพูด “อาจ้าน ในเมื่อท่านรู้ว่าจอหงวนแดงคือเหล้าที่ขายดีที่สุดของต้าเฉียนในสมัยก่อน แล้วทำไมยอดขายมันถึงลดลงล่ะ? นั่นเป็นเหตุจากอู่เหลียงเย่ทั้งหมด!”เห็นใบหน้าฉินอวิ๋นฟานมีความมั่นใจล้นทะลัก หัวของอู่จ้านพลันมึนตึบเล็กน้อย ในความเป็นจริงก็ด้วยเหตุนี้มิใช่หรือ? หรือว่ายังจะมีเหตุอื่นอีก? อู่จ้านพิจา
“ฉะนั้น นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ข้าคิดจะเอาจอหงวนแดงอย่างไรเล่า โรงเก็บเหล้านารีแดงของตระกูลมู่หรงถูกอู่เหลียงเย่แทนที่หมดแล้ว และเหล้าจอหงวนแดงดีกว่านารีแดงจริง ๆ”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยต่อ “ดังนั้นข้าจึงคิดจะเอาจอหงวนแดง ขายให้ชาวบ้านในราคาไหละห้าอีแปะ ให้พวกเขาได้ดื่มเหล้าเลิศรสในวันวานบ้าง”“เอ่อ ไหละห้าอีแปะ? ราคานี้มันจะขาดทุนเอานะ!”อู่จ้านใบหน้าฉงน จอหงวนแดงคือยอดสุรารสเลิศในอดีต คือน้ำสุราที่ขุนนางคหบดีตลอดจนราชนิกุลดื่ม ที่ตั้งราคาไว้ที่ห้าตำลึง ก็เพื่อไม่ให้ประชาชนคนทั่วเอื้อมถึงถ้าลดราคาจอหงวนแดงเหลือห้าอีแปะจะไม่เหมือนกัน ประชาชนส่วนใหญ่จะพอดื่มได้บ้างเป็นบางครั้ง เพียงแต่การทำเช่นนี้จะต้องจ่ายในราคาสูงมาก“อาจ้าน ท่านรู้ไหมว่าทำไมข้าถึงตั้งราคาต่ำสุดของอู่เหลียงเย่สูงเช่นนี้?”ฉินอวิ๋นฟานยกมุมปากเล็กน้อยและพูด“ก็มีแต่เจ้าที่หมักอู่เหลียงเย่ได้ไง ราคาก็ต้องเอาเจ้าว่า มันผูกขาดนี่นะ ต่อให้พวกเขาไม่พอใจก็ไม่กล้าพูดอะไรกระมัง?”อู่จ้านตอบ“ท่านพูดถูกครึ่งเดียว”ฉินอวิ๋นฟานส่ายหน้าพูด “ที่ข้าตั้งราคาอู่เหลียงเย่สูงเช่นนี้ ความคิดในตอนแรกก็คือเพื่อปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน ความเ
ฟ้ามืดลงทุกที เทศกาลโคมไฟอยู่ระหว่างการเตรียมงานตามขั้นตอน เห็นท้องถนนไกล ๆ ประดับประดาไปด้วยโคมไฟสารพัดรูปแบบ รวมไปถึงโคมดอกไม้ขอพรที่ลอยอยู่กลางทะเลสาบ ฉินอวิ๋นฟานระบายยิ้มน้อย ๆถ้าทั้งราชวงศ์ต้าเฉียนบนล่างเป็นภาพสวยงามปรองดองเช่นนี้ได้ ปราศจากการคดโกงหลอกลวง ปราศจากความเหลื่อมล้ำในความรวยจนเด่นชัด ปราศจากการหาผลประโยชน์บีบคั้น เช่นนั้นจะดีสักแค่ไหน“พี่อวิ๋นฟาน อาการของท่านยังไม่หายดี กลางคืนอากาศเย็น พวกเราอย่าไปร่วมสนุกเลยนะ?”ในขณะที่ฉินอวิ๋นฟานกำลังเหม่อลอย มู่หรงจิ่นถือเสื้อคลุมมาคลุมอยู่บนตัวของฉินอวิ๋นฟาน ทั้งสองสี่สายตาประสาน เต็มไปด้วยความรักลึกซึ้งไม่นานมานี้ นี่มิใช่ชีวิตที่ฉินอวิ๋นฟานเคยใฝ่ฝันหรือ? รักใคร่และพยายามด้วยกันกับคนที่รักที่สุด เข้างานเลิกงานด้วยกัน ดูพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกด้วยกัน เพลิดเพลินกับความงดงานบนแดนดินนี้ด้วยกันแต่สถานการณ์ในเวลานี้ไม่อนุญาตให้เขาผ่อนคลาย ในฐานะที่เป็นองค์ชายผู้ทะลุมิติมา เขาได้แต่ก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังหนึ่งก้าวคือเหวลึกหมื่นจั้ง แม้แต่คนที่รักที่สุดข้างตัวก็จะปกป้องไม่ได้ได้แต่พูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับชะตากำหนด ม
“โอ้โฮ สะพานลายนี้สวยจังเลย”พอมู่หรงจิ่นเห็นทางเดินเชื่อมต่อที่ห้อยโคมไฟทั้งทะเลสาบก็ตื่นเต้นจนมือโบกเท้ารำ กระดี๊กระด๊าเหมือนเด็กสาว ฉินอวิ๋นฟานกลับจูงมือหยกของนางอยู่ด้านข้าง ร่วมชมทิวทัศน์สวยงามนี้ด้วย“นั่นสิเจ้าคะ คุณหนู คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ เทศกาลโคมไฟของปีนี้จะพิเศษกว่าปีก่อน ๆ สะพานลอยนี้ยิ่งเพิ่มดอกไม้บนลายผ้าทอ แต่งแต้มสีสันให้กับทั้งทะเลสาบ”เสี่ยวจวี๋ก็พูดด้วยความตื่นเต้นอยู่ด้านข้างด้วยการอารักขาของฉินอวิ๋นฟานในครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ชัดเจน ไม่เพียงแต่มีอู่จ้านอยู่ด้วย หลัวเหิงที่ร่างกายฟื้นฟูแปดเก้าส่วนก็อยู่ด้วย ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เซี่ยงเทียนเวิ่นคุ้มครองอยู่ข้างกายเขา อารักขาระวังภัยตลอดเวลา“จิ่นเอ๋อร์ ได้ยินว่าอีกเดี๋ยวจะมีการแสดง พวกเราไปดูที่โรงแรมเถอะ ถึงตอนนั้นเราจะได้ชมไปพลางดูการแสดงไปพลางไม่เสียเวลา”ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ฉินอวิ๋นฟานจึงเอ่ยปากสบาย ๆ“ได้!”ภายใต้การนำของฉินอวิ๋นฟาน ไม่นานพวกเขาก็มาถึงโรงแรมห้าดาวต้าเฉียน ขณะที่พวกเขาอยู่ห่างประตูโรงแรมไม่ถึงห้าสิบเมตร ผู้หญิงท่วงทำนององอาจห้าวหาญเดินพกพาลมคนหนึ่งสะท้อนเข้าม่านตาของฉินอวิ๋นฟานมองอ
พอฉินอวิ๋นฟานรับถุงหอมมาก็สำรวจมันด้วยความแปลกใจ เป็นถึงองค์หญิงสามแห่งต้าเยียน กลับพกถุงหอมเก่า ๆ นี่ นี่ทำให้ฉินอวิ๋นฟานอดรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้จากภายนอก แม้ถุงหอมจะเก่าไปบ้าง หากกลิ่นยังคงเดิม ถุงหอมมีเงื่อนเชียนเชียน[1]น่ารักห้อยอยู่ ตรงกลางของเงื่อนปักตัวอักษรสีแดงน่ารักคำว่า ‘เฉิน’ เห็นได้ชัดว่าเงื่อนเชียนเชียนนี้อาจมีความหมายพิเศษกับองค์หญิงสามแห่งต้าเยียนมาก“ผู้หญิงที่แต่งตัวสูงส่งคนนั้นก็คือองค์หญิงสามของต้าเยียน? แต่ทำไมนางถึงปรากฏตัวในงานเทศกาลโคมไฟของต้าเฉียนล่ะ?”มู่หรงจิ่นมองทางฉินอวิ๋นฟานด้วยความประหลาดใจ มิน่าเมื่อกี้ฉินอวิ๋นฟานมองตาไม่กะพริบเลย พอรู้ตัวตนของผู้หญิงก็เห็นได้ชัดว่าพี่อวิ๋นฟานไม่ตกใจ แต่เหมือนกำลังคาดหวังอะไรอยู่ หรือว่าพี่อวิ๋นฟานรู้แต่แรกแล้ว?“จิ่นเอ๋อร์ ช่วงก่อนมิใช่มีการประลองด้านบุ๋นบู๊หรือ?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเรียบ“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ พี่อวิ๋นฟานในตอนนั้นแสดงทักษะฝีมือสะกดข่มทุกด้าน ใช้ความสามารถเหนือขั้นได้ที่หนึ่ง แถมโคลงกลอนและกลอนคู่ที่ท่านแต่งยังได้รับการสรรเสริญในหมู่ชาวบ้านเป็นวงกว้าง”มู่หรงจิ่นพูดด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ“ดังนั้นเมื
“เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มชั่วร้าย ไม่ได้อธิบายใด ๆเห็นฉินอวิ๋นฟานทำท่าลึกลับอย่างนี้ พลันกระตุ้นต่อมอยากรู้ของมู่หรงจิ่นขึ้นมาทันที หรือว่าพี่อวิ๋นฟานเตรียมเรื่องประหลาดใจใหญ่ให้นางหรือ?มู่หรงจิ่นในตอนนี้ทั้งตื่นเต้นทั้งจิตใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะพี่อวิ๋นฟานเป็นคนที่ชอบทำแบบแปลกแนวดังคาด ทันทีที่พวกเขามาถึงหน้าห้องสุดพิเศษห้องหนึ่ง ฉินอวิ๋นฟานก็หยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็เปิดประตูออกเบา ๆ ห้องเพรสซิเดนสูทหรูหราอลังการงานสร้างห้องหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า“โอ้โฮ...”ทันทีที่เห็นห้องที่มีลักษณะเอกลักษณ์ตรงหน้า มู่หรงจิ่นก็ทึ่งจนอ้าปากหวอทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ การตกแต่งของทั้งห้องทำให้นางตาโตฉับพลัน ร้องอุทานออกมาโดยตรงในตอนที่ออกแบบโรงแรม ฉินอวิ๋นฟานยังจงใจทำตามความปรารถนาของตัวเองอย่างหนึ่ง โดยการแบ่งชั้นแปดออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือเขตวิไอพีเหนือระดับ อีกส่วนหนึ่งคือห้องเพรสซิเดนสูทสุดหรูนี้และห้องเพรสซิเดนสูทนี้มีเอกลักษณะเฉพาะมาก ไม่เพียงแต่มีพื้นที่ทำงาน ยังมีอุปกรณ์เร้าอารมณ์ เตียงน้ำยิ่งเป็นส่วนประกอบมาตรฐาน และนี่คือพื้นที่ของเขา หากไม่ได้รับการอนุญา
“ไม่สนท่านแล้ว!”มู่หรงจิ่นอายขั้นสุด เบือนหน้าแล้วเดินไปทางอื่น ฉินอวิ๋นฟานคว้าตัวนางกลับมา ฉินอวิ๋นฟานในเวลานี้ใกล้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่เต็มทนแล้ว อารมณ์เช่นนี้บรรยากาศเช่นนี้ เหมาะสมทำอะไรสักหน่อยอย่างยิ่ง!“กระต่ายขาวตัวน้อยน่ารักของข้า เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือของข้าหรอก!”ฉินอวิ๋นฟานกอดมู่หรงจิ่นแล้วจูบหน้าผากของนางหนัก ๆ แม้ตอนนี้เขาอยากทำอะไรสักหน่อยมาก ๆ แต่เทศกาลโคมไฟอันยิ่งใหญ่จะเริ่มขึ้นแล้ว ด้วยพลังการรบของเขา สองชั่วยามไม่พอแน่ คิดแล้วก็ช่างเถอะ มิเช่นนั้นจะเสียงานใหญ่เข้าจริง ๆ“ไอ้หยา พี่อวิ๋นฟาน เทศกาลโคมไฟจะเริ่มแล้วนะ ทุกคนกำลังรอท่านอยู่ข้างล่างแน่ะ”มู่หรงจิ่นเขินจัด“ก็ได้!”ฉินอวิ๋นฟานได้แต่ปล่อยตัวมู่หรงจิ่นด้วยใบหน้าทุกข์ระทมหลังจากม่านราตรีมาถึง ฉินอวิ๋นฟานและคนอื่น ๆ ก็มาถึงท้องถนนที่ครึกครื้นแห่งนี้ ในมือของผู้ใหญ่และเด็กต่างถือโคมไฟรูปแบบต่าง ๆ ฉลองเทศกาลนี้กันอย่างคึกคัก“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าร่วมเทศกาลโคมไฟทุกปี หรือไม่เจ้าก็บรรยายเทศกาลนี้กับพวกเราหน่อยเถอะ พวกเราจะได้เตรียมใจเอาไว้”ฉินอวิ๋นฟานจูงมือของมู่หรงจิ่นและพูดเสียงอ่อนนุ่ม“อื้ม!”มู่หรงจิ่
มู่หรงจิ่นยิ้มสวย “การเปิดงานเทศกาลโคมไฟของทุกปีจะเริ่มจากการแสดงของหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียงก่อน เพื่อเฉลิมฉลองและอวยพรให้ฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะแสดงให้แบบไม่คิดเงินสามเพลง แสดงการบรรเลงเพลงหนึ่ง แสดงการร่ายรำหนึ่ง และแสดงการตีกลองอีกหนึ่ง”“เมื่อการแสดงตีกลองเริ่มขึ้น ก็หมายถึงเทศกาลโคมไฟได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว”“อย่างนี้นี่เอง!”ฉินอวิ๋นฟานพยักหน้าด้วยความพอใจ สมกับที่เป็นหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียง ทำการค้าเก่งจริง ๆ ถึงกับรู้จักใช้วิธีการเช่นนี้ทำโฆษณาให้ตัวเองเสียด้วยพอการตีกลองจบลง ที่ทำให้ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจอย่างหนักคือการปรากฏตัวของหวงต้าหยวน!เห็นเพียงนางถือโทรโข่งในมือแล้วพูดว่า “เพื่อฉลองการเปิดงานเทศกาลโคมไฟในปีนี้ หอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียงเจาะจงเชิญแม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงปรมาจารย์ด้านดนตรีคนดังมาบรรเลงเพื่อทุกท่านเพลงหนึ่ง”“อะไรนะ?! ให้แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงปรมาจารย์ด้านดนตรีคนดังมาบรรเลงเพลงด้วยตัวเอง? ครั้งนี้หอวั่งเจียงทุ่มทุนจริง ๆ!”“ก็นั่นนะสิ คนดังของหอวั่งเจียงไม่ธรรมดานะ ต่อให้เจ้ามีเงินก็ไม่แน่ว่าจะได้พบพวกนางสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ