ปัจจุบันต้าเหลียงของพวกเขามิได้สร้างสัมพันธ์อันดีกับต้าเฉียนถึงขนาดที่ทำให้อีกฝ่ายบอกความลับเรื่องการเก็บเกี่ยวผลผลิตสูงอย่างไร้เงื่อนไขดังนั้นเขาจึงได้แต่ลองผิดลองถูกทว่าเช่นนี้มีแต่จะผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ชาวบ้านลำเค็ญยิ่งขึ้นความกดดันนี้ทำให้เขาหายใจไม่ออก“เสด็จน้าห่วงใยไพร่ฟ้าจริงแท้”เสียงใสแว่วเข้ามาในห้อง ทำให้เหลียงเทียนอี้ชะงักไปเล็กน้อยจึงรีบเงยหน้ามองไปเห็นเพียงมีคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างประตูมิใช่ใครอื่น ฉินอวิ๋นฟานนั่นเอง“เห็นเสด็จน้าขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางเหมือนหนักอกหนักใจ คาดว่าต้องเจอเรื่องลำบากอะไรกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเดินเข้ามาพร้อมยิ้มบาง“ฟานเอ๋อร์ เจ้ามาได้ยังไง?”เหลียงเทียนอี้พับม้วนกระดาษบนโต๊ะเก็บอย่างแนบเนียน สลัดความหม่นหมองที่ปกคลุมอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ แล้วเปลี่ยนรอยยิ้มขัดเขิน “มีธุระอะไรหรือ?”เนื่องจากกดดันเกินไป เหลียงเทียนอี้จึงไม่ได้สังเกตท่าทีของตัวเอง เขายังคงเย็นชาปฏิเสธคนอื่นนอกพันลี้เช่นเดิมฉินอวิ๋นฟานเห็นดังนั้นจึงทำหน้าหนักใจ พร้อมกันนั้นก็เข้าใจจิตใจของอีกฝ่ายด้วยมิสู้บอกว่านี่อาจเป็นเพราะนิสัยของเหลียงเทียนอี้ อยู่ในราชวงศ์
“ดูท่าเจ้าฉินอวิ๋นฟานนี้ไม่ดื่มสุราคารวะจะดื่มสุราลงทัณฑ์”เรือนใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองหลวงต้าเหลียงเหลียงจ้านอิงนั่งเดินหมากอย่างผ่อนคลายอยู่ในศาลาส่วนที่เล่นอยู่กับเขาก็คือตัวเขาเองหนึ่งคนแบ่งออกเป็นสองมุม ต่อสู้กับตัวเอง“เข้าหาเสด็จพี่บ่อยครั้งเช่นนี้ ไม่ใส่ใจกับคำพูดเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด”เหลียงจ้านอิงลงหมากตัวหนึ่งแล้วเริ่มคิดการดำเนินงานขั้นต่อไปและที่ยืนรอฟังคำสั่งอยู่ด้านหลังเขาในเวลานี้ ก็คือคนชุดดำสองคนที่ตักเตือนฉินอวิ๋นฟานเมื่อคืนฮัวอวี่ถงคือหนึ่งในนั้น“เมื่อคืนพวกเจ้าแน่ใจนะว่าพูดชัดเจนแล้ว?”เหลียงจ้านอิงไม่ได้หันหลัง แต่เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาชายชุดดำด้านหลังประสานมือตอบ “เรียนท่านอ๋อง พวกเราบอกชัดเจนแล้วขอรับ ขอเพียงฉินอวิ๋นฟานไม่ใช่คนโง่ ต้องเข้าใจความหมายแน่ขอรับ”“หึ! เช่นนั้นก็น่าสนุกแล้ว!”เหลียงจ้านอิงดันหมากออกไปอีกตัวหนึ่ง เริ่มคลึงคางที่ปกคลุมไปด้วยเครา “บางที เขาอาจไม่รู้ความร้ายแรงของเรื่องก็เป็นได้”ก่อนหน้านี้ไม่นาน สายของเขามารายงานหลังจากฉินอวิ๋นฟานออกจากโรงเตี๊ยมก็ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ต้าเหลียงในวังทันทีต่อให้ไม่รู้เนื้อหาการสนท
“แต่ เสี่ยวฮัวต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่ง จะใช้ไพ่ตายง่าย ๆ ไม่ได้ เพราะยิ่งเก็บนาน ลึก อานุภาพจะยิ่งร้ายแรง ถ้าใช้มันเสียก่อนกลับเสียอานุภาพเดิมของมัน เข้าใจหรือไม่?”เหลียงจ้านอิงยกมือขยับหมากบนกระดานรุกฆาตการต่อสู้กับตัวเองครั้งนี้ เขาชนะฮัวอวี่ถงได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะพูด “เสี่ยวฮัวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”“ดังนั้นไม่ต้องรีบร้อน จับตาดูความเคลื่อนไหวของฉินอวิ๋นฟานให้ดี ถ้าเขาพบปะกับเหลียงเทียนอี้จริง ก็ค่อยดำเนินการขั้นต่อไปก็ยังไม่สาย...”ว่าแล้วเหลียงจ้านอิงก็ฉายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถึงเวลาก็ให้เขาลำบากสักหน่อย ลดทอนประกายคมของเขา”มาถึงต้าเหลียงก็เท่ากับมาถึงถิ่นของเขาที่นี่ไม่ใช่ต้าเฉียน เกิดเรื่องที่นี่ กองหนุนจะไม่มีทางมาถึงในทันทีแน่...แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับฉินอวิ๋นฟานอย่างโจ่งแจ้งเหมือนกันไม่ว่าอย่างไร ฉินอวิ๋นฟานก็คือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียน มีฐานะสูงส่งต่อให้เป็นแคว้นรั้งท้ายแล้วอย่างไร หลังจากฉินอวิ๋นฟานพัฒนาในระยะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกำลังทางทหารหรือทางเศรษฐกิจก็รุดหน้าอย่างรวดเร็วทั้งนั้น และยังมีแนวโน้มว่าจะล้ำหน้า!ดังนั้นการเดินในแต่ละก้าวหลังจากนี้ต้อ
ครั้นกล่าวจบ เหลียงเทียนอี้ก็ทำหน้าเศร้าหมอง สีหน้าแดงซ่าน เส้นผมยุ่งเหยิง ดูภาพรวมแล้วเหมือนกับนักโทษที่ถูกกักขังอยู่ในเรือนจำ เนื้อตัวแผ่กลิ่นอายเก็บกดกลัดกลุ้มเขาปรายตามาเล็กน้อย สายตาเหม่อลอยถ้อยคำที่ออกมาจากปากของเขาเมื่อครู่ประหนึ่งเมฆดำมวลหนึ่งที่ปกคลุมอยู่ทั่วห้องหนังสือใหญ่“ปัญหายาก?”ฉินอวิ๋นฟานนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “คือปัญหาอันใดถึงทำให้เสด็จน้าเครียดถึงเพียงนี้? มิสู้ลองบอกมา บางทีข้าอาจมีวิธีก็ได้?”ถึงขั้นทำให้เสด็จน้าผู้ทำงานได้อย่างมีสติเป็นระเบียบที่เสด็จตาบอกมีสภาพเช่นนี้ได้...คาดว่าต้องเป็นปัญหายากที่เกี่ยวกับความเป็นความตายแน่“นี่...”เหลียงเทียนอี้นั่งลง ถอนหายใจหนัก ๆ อยากจะพูดแต่ก็ส่ายหน้าเงียบไปอีกวิธีการของเหลียงเทียนจื้อชั่วช้านัก บวกกับความกดดันจากภายนอก ทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออกปัญหายากในตอนนี้ทำให้เขาไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใครดี“เสด็จน้า อย่างไรพวกเราก็มีสายเลือดเดียวกัน อีกอย่างเสด็จตาก็ให้ข้ามาหาท่านโดยเฉพาะ เห็นท่านอย่างนี้แล้ว ข้าก็รู้สึกทุกข์ใจเหมือนกัน”เห็นเหลียงเทียนอี้เศร้าสร้อยเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานมิได้ละความพยายาม ยิ่งไม่จ
ด้วยเหตุนี้เหลียงเทียนอี้จึงปวดเศียรเวียนเกล้า ลำบากใจมาก“เฮ้อ...”เหลียงเทียนอี้ถอนหายใจหนัก ๆ “เพราะเรื่องนี้ หลายวันนี้ข้าไปมากรมราชทัณฑ์หลายรอบ กระทั่งอยากไปหาแม่นางตั่วเอ๋อร์เพื่อทำความเข้าใจกับเหตุที่เกิด แต่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”“แม้เฉินเหมี่ยนจะมีนิสัยรักสนุกไปบ้าง ไม่สำรวมอยู่บ้าง คอแข็งใช้ได้ ดังนั้นข้ามักรู้สึกแปลก ๆ จึงอยากทำความเข้าใจว่าขณะนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”รู้จักมานานหลายปี ทำไมเขาจะไม่รู้นิสัยน้องชายภรรยาของตัวเอง แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ผิดปกติ“ท่านพ่อตาก็เป็นขุนนางในราชสำนักเหมือนกัน เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของต้าเหลียง บุตรชายเพียงคนเดียวเก้ารุ่น พยายามแทรกแซงเรื่องนี้มาตลอด ต้องการใช้ผลประโยชน์และอำนาจในหน้าที่ซื้อเส้นสาย ฝืนปกป้องเฉินเหมี่ยน แต่เช่นนี้กลับทำให้ยิ่งทำก็ยิ่งยุ่ง...”“ตอนนี้กรมราชทัณฑ์กำลังหาทางเอาตัวคน แต่พ่อตาไม่ยอมถอย แทบจะแตกหักกันอยู่แล้ว...”“ตอนนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตทั้งเมืองหลวง ชาวบ้านก็กำลังรอดูเรื่องขบขัน”เหลียงเทียนอี้ยิ่งพูดก็ยิ่งท้อแท้ ทั้งคนราวกับกำลังจะพังทลาย อารมณ์เศร้าหมองปราศจากความสดใส “ข้าไม่รู้จะทำยังไง
วัตถุพยานครบ หลักฐานเด่นชัดแน่นหนา หากคนอื่นเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้รู้ว่ามีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังแล้วจะทำอะไรได้?เรื่องนี้รู้กันทั่ว สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งต้าเหลียง ทำให้เหลียงเทียนอี้ลำบากใจนักจะทางไหนก็ยากจะเลือกแม้จะรู้ว่านี่คงเป็นหลุมพรางที่องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อทำอยู่ข้างหลัง แต่เขาก็ไม่สามารถขอคำอธิบายกับเหลียงเทียนจื้อได้ในห้องหนังสือคือบรรยากาศนิ่งงันไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฉินอวิ๋นฟานจึงเอ่ยปากช้า ๆ“เสด็จน้าอย่าเพิ่งกลุ้มใจกับเรื่องนี้เลย ให้ข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียก่อน”เมื่อได้ยินดังนั้น เหลียงเทียนอี้ชายตามองมา แววตาล่องลอยรวมศูนย์ในที่สุด ถามด้วยใบหน้าสับสน “ฟานเอ๋อร์ ที่นี่คือต้าเหลียง เจ้าจะตรวจสอบยังไง?”“เบื้องหลังเรื่องนี้โยงใยหลายฝ่าย แล้วยังมีเหลียงจ้านอิงถือหางอยู่อีก ถ้า...”“ข้ารู้ดีว่าควรทำยังไง”ไม่เปิดโอกาสให้เหลียงเทียนอี้มากนัก ฉินอวิ๋นฟานพูดขัดเลยว่า “เสด็จน้าแค่ปรับอารมณ์ให้ดีก็พอ ข้าย่อมมีวิธีทำความเข้าใจกับปัญหา”“อนาคตท่านคือประมุขของบ้านเมืองคนหนึ่ง จะให้เรื่องเล็กน้อยควบคุมอารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด”หลังจากฉินอวิ๋นฟานทิ้งคำพูด
ฉินอวิ๋นฟานเชิดหน้าเดินอาด ๆ สาวเท้าเข้าห้องโถงของโรงแรมผู้จัดการโรงแรมออกมาต้อนรับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ข้างตัวซ้ายขวายังมีพนักงานต้อนรับรูปร่างดีนูนเว้าสมส่วนอีกสองคนแต่ยามนี้ฉินอวิ๋นฟานไม่มีอารมณ์จะโอภาปราศรัยกับพวกนาง ละสายตาออกจากตัวของพวกนางแล้วก็เดินตรงเข้าไปการจะตรวจสอบเรื่องหนึ่ง หรืออาจพูดว่าการจะล้างมลทินเรื่องหนึ่ง องค์กรข่าวสารคือสิ่งจำเป็น!องครักษ์เสื้อแพรก็คือส่วนสำคัญในนั้น!สาเหตุหนึ่งที่เปิดสาขาทั่วแคว้นในตอนแรกก็เพื่อแทรกซึมอิทธิพลเหล่านี้ทุกซอกทุกมุมก่อตัวเป็นสายข่าวพิเศษ ควบคุมเส้นสายของคนส่วนใหญ่นี่จึงจะเป็นหนึ่งในจุดประสงค์ที่แท้จริงของฉินอวิ๋นฟาน“รัชทายาท”ในตอนที่ฉินอวิ๋นฟานกำลังเลี้ยวมุมไปทางโถงใหญ่ จู่ ๆ ก็มีเสียงหวานดังมาจากข้างหลังแขนของเขาถูกสัมผัสเบา ๆ ฉินอวิ๋นฟานยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกฉุดเข้ามุมด้านข้างไปแล้ว“รัชทายาทไม่ต้องตกใจ ข้าเอง”คนที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจเล็กน้อย!ไม่นึกว่าจะได้เจอกับหยางมี่ที่โรงแรมห้าดาวของต้าเหลียง!“เจ้าอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”ฉินอวิ๋นฟานกะพริบตา ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดสตรีตรงหน้าที่มีท่
ลิฟต์แรงงานมนุษย์เพิ่งเปิดออก พรมสีแดงที่ปูตลอดระเบียงทางเดินก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าหยางมี่เดินบิดเอวนำอยู่ข้างหน้า ฉินอวิ๋นฟานรับกับกลิ่นหอม เดินตามตลอดระเบียงทางเดินจนไปถึงหน้าห้องสุดท้ายจึงจะหยุดลงก๊อก ๆ ๆ...หลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้นก็มีเสียงขานรับจากข้างใน“เข้ามาเถอะ”คือเสียงผู้หญิง ทุ้มต่ำและเย็นชา มีความกดดันและแรงดึงดูดที่ไม่ทราบสาเหตุ“รบกวนแล้ว”หยางมี่พยักหน้าและผลักประตูเปิดออกสายลมเย็นลอดออกมาจากช่องแคบเล็ก เผยให้เห็นห้องหรูหรากว้างขวางเงาสวยสายหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างบานใหญ่ กำลังรับกับแสงแดด ภายใต้ดวงอาทิตย์อันอบอุ่น เค้าโครงนั้นแทบจะเป็นเส้นอ่อนช้อยสวยงามประหนึ่งงานศิลปะสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทำให้ฉินอวิ๋นฟานมองแวบเดียวก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ให้ตายเถอะ!จะสวยเกินไปแล้ว!“เช่นนั้นข้าน้อยไม่รบกวนพวกท่านแล้ว”หยางมี่กล่าวและหมุนตัวออกไปอย่างรู้สถานการณ์ นางรู้ว่าตัวเองบรรลุภารกิจแล้ว สถานะของนางในเวลานี้ไม่มีคุณสมบัติจะฟังเรื่องที่พวกเขาจะคุยกัน นางออกจากห้องไปพร้อมปิดประตูกระแสลมหยุดนิ่ง ภายในห้องโอ่อ่าเหลือเพียงพวกเขาสองคนกลิ่นหอมที่ชวนให้หัวใจคนหวั่น
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ