พฤติกรรมของหลี่เฉินที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้านั้น ไม่เพียงแต่ทำให้หลิ่วปินเฉิงตกใจ แต่แม้กระทั่งซูเจิ้นถิงที่อยู่ข้างหลังหลี่เฉินก็ไม่คาดคิดมาก่อนและถัดจากหลี่เฉิน ซูผิงเป่ยที่เพิ่งถูกแย่งดาบไปก็กลัวจนแข้งขาอ่อนแรงแม้ว่าหลี่เฉินจะเป็นรัชทายาท หรือเป็นรัชทายาทที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่รัชทายาทมีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้นนี่คือค่ายเป่ยต้าหน่วยองครักษ์อวี่หลิน มีทหารทั้งหมดแปดพันนาย ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหลิ่วปินเฉิงที่นี่ บารมีของหลิ่วปินเฉิงนั้นยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าหลี่เฉินผู้เป็นรัชทายาทที่ไร้บารมีหรืออิทธิพลในกองทัพเสียอีกถ้าเผื่อว่าดาบนี้ฟาดลงไป ซูผิงเป่ยถึงขั้นหวาดระแวงว่าทหารแปดพันนายนี้จะก่อกบฏทันที ทหารเหล่านี้ยิ่งกังวลว่าตัวเองจะถูกรัชทายาทจัดการเช่นเดียวกับหลิ่วปินเฉิงหรือไม่ และบางทีอาจก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ตอนนี้ซูผิงเป่ยอยากเอาดาบของตัวเองคืนจริงๆ เกลี้ยกล่อมองค์รัชทายาทให้สงบอารมณ์ลง...แต่ว่า เวลานี้เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด ซูเจิ้นถิงก็เดินไปอยู่ข้างๆ ซูผิงเป่ยอย่างเงียบเชียบ“หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องพารัชทายาทเสด็จออกจาก
“ปกป้ององค์รัชทายาท!”ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเห็นการกบฏตรงหน้า ซูผิงเป่ยรู้สึกชาไปทั้งตัว เขาตะโกนแทบจะโดยสัญชาตญาณเมื่อใดที่ค่ายเป่ยต้าก่อกบฏจริงๆ เหล่าทหารที่โกรธแค้นจนเลือดขึ้นตา หลังจากที่ที่สังหารรัชทายาทแล้ว ไม่มีทางที่จะตระหนี่ถี่เหนียวไม่เข่นฆ่ากลุ่มพวกตัวเองแน่นอนอย่างไรก็ตายอยู่แล้ว มิสู้ลากคนลงหลุมด้วยดีกว่าซูผิงเป่ยที่อยู่ในฐานะทายาทของเทพสงคราม เขาก็เติบโตขึ้นมาในค่ายทหาร รู้ดีว่าทหารหัวโตป่าเถื่อนเหล่านี้ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเพียงใดพลั่กๆ องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเข้ามาในที่เกิดเหตุทันที ขณะเดียวกันก็ชักอาวุธออกมาปกป้องหลี่เฉินที่อยู่ตรงกลาง เผชิญหน้ากับแม่ทัพทหารในค่ายเป่ยต้าทุกคนโดยไม่ละสายตาที่แม่ทัพทหารในค่ายเป่ยต้ารู้สึกกระวนกระวายตื่นเต้นจนถึงขีดสุดก็เพราะการตายของหลิ่วปินเฉิง เมื่อองครักษ์อวี่หลินเคลื่อนไหว พวกเขาที่เดิมทีเป็นเหมือนนกตื่นกลัวกลับกลายเป็นตื่นเต้นฮึกเหิมอาวุธขององครักษ์เสื้อแพรและอาวุธของแม่ทัพทหารของค่ายเป่ยต้าปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงโลหะกระทบกันบาดแก้วหูอย่างรุนแรง องครักษ์เสื้อแพรไม่กล้าลงมือ และแม่ทัพทหารของค่ายเป่ยต
หลังจากพูดประโยคที่สี่ ทหารทั่วไปส่วนใหญ่ก็ทิ้งอาวุธให้หลี่เฉินโดยอัตโนมัติจากนั้นหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าทหารยศสูงหัวแข็งที่เหลืออยู่ หลี่เฉินเหลือบมองอย่างเย็นชาคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาโดยตรงของหลิ่วปินเฉิง และยังเป็นขุมพลังหลักของค่ายเป่ยต้าอีกด้วย“พวกเจ้า จะติดตามหลิ่วปินเฉิงที่ตายแล้วจนถึงที่สุดจริงๆ งั้นหรือ”คำพูดของหลี่เฉินแต่ละคำ ทำให้หลายคนตื่นรู้ทหารยศสูงเหล่านี้ หลายคนเริ่มมีสีหน้าลังเลและยุ่งยากใจพวกเขารู้ว่าเมื่อใดที่ตัวเองก้าวไปอีกก้าวนั้นหมายความว่าอย่างไรแต่พวกเขายิ่งกว่าว่าจะถูกหลี่เฉินชำระบัญชีในเวลานี้ ซูเจิ้นถิงเดินไปอยู่ข้างๆ ของหลี่เฉินอย่างเงียบเชียบ เขามองไปที่ทหารยศสูงเหล่านั้น แล้วพูดว่า “พวกเจ้าเจ้ารู้จักข้าหรือไม่”ทหารยศสูงหลายคนประสานมือคำนับทันทีว่า “ทายาทของเทพสงคราม แม่ทัพซู ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก”ซูเจิ้นถิงพยักหน้าและกล่าวว่า “พวกเจ้ายังจำข้า ยังจำเทพสงครามได้ งั้นก็วางอาวุธลงเถิด”“ท่านพ่อได้จากไปแล้ว แต่ถ้าเขาอยู่ในสวรรค์ ไม่มีวันอยากเห็นอาวุธของทหารต้าฉินไม่มุ่งเป้าไปยังศัตรู คนป่าเถื่อน โจร แต่มุ่งเป้าไปยังรัชทายาท
คำพูดนี้ของหลี่เฉิน ทำให้ทหารยศสูงทั้งสิบเอ็ดคนตกตะลึงพรึงเพริด พวกเขามองหลี่เฉินด้วยสีหน้าที่ทั้งตกใจและโกรธ ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนเดียวที่เหลืออยู่ในหมู่พวกเขากล่าวว่า “องค์รัชทายาทรับปากแล้ว ว่าจะไม่สืบสาวราวเรื่องต่อ! หรือว่าองค์รัชทายาทคิดจะกลับคำพูด!?”ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ก็เผยให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาทั้งสิบเอ็ดคนกังวลมากที่สุด แต่ละคนเป็นเหมือนนกที่หวาดกลัว มองหลี่เฉินอย่างปวดร้าวหลี่เฉินโบกมือ แล้วพูดเนิบๆ “ข้าพูดคำไหนคำนั้น ย่อมไม่กลืนน้ำลายตัวเองอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะมาพูดอะไรกับพวกเจ้ามากมายขนาดนี้หรือ”หลังจากได้ยินคำนี้ สีหน้าของทั้งสิบเอ็ดคนก็ดูดีขึ้นมาก“เรื่องราวบานปลายมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าทุกคนคงรู้ว่า ถ้าเป็นช่วงที่ข้าเพิ่งสังหารหลิ่วปินเฉิงไป พวกเจ้าอาจจะมีโอกาสที่จะก่อการกบฏและฆ่าข้า แต่ตอนนี้ พวกเจ้าไม่มีโอกาสใดๆ แล้ว”หลี่เฉินบั่นคอหลิ่วปินเฉิงด้วยความโกรธ ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะถึงขั้นนี้ แต่ก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างน้อยศักดิ์ศรีของเขา ก็หยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของผู้คนแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นคนกำหนดใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย อันได้
“องค์รัชทายาทตรัสถูกต้องแล้ว”คำพูดเหล่านี้ กลับเป็นซูเจิ้นถิงที่เป็นคนพูดเขาเหลือบมองลูกชายที่ยังคงเบิกตาโพลงด้วยความสับสน ถอนหายใจเบาๆ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกันแท้ๆ เหตุใดถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้“ถ้าเป็นในยามปกติ เจ้าสามารถดึงมาเป็นพวก ทำให้แตกแยก และค่อยๆ เข้ายึดค่ายเป่ยต้าได้ เจ้าได้รับการสนับสนุนจากองค์รัชทายาท สิ่งที่ต้องสิ้นเปลืองก็มีแค่เวลาเท่านั้น”“แต่ในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ หากต้องการควบคุมค่ายเป่ยต้าในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็ทำได้เพียงรีบตัดปัญหาวุ่นวายทิ้งอย่างเด็ดขาด พวกเขาสิบเอ็ดคนนั้นย่อมกอดกันกลมอยู่แล้ว ประกอบกับหลิ่วปินเฉิงที่เพิ่งตาย พวกเขาจะต่อต้านเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าทำได้เพียงเลียนแบบวิธีการของรัชทายาทที่ตัดหัวหลิ่วปินเฉิงด้วยโทสะ ทำให้ทุกคนหวาดกลัวด้วยการฆ่า”คำอธิบายของซูเจิ้นถิง ทำให้หลี่เฉินคิดจากใจว่าขิงแก่ยังเผ็ดหลี่เฉินพูดกับซูผิงเป่ยว่า “จะมีความเสี่ยงสูงเกินไปก็ใช่ แต่อย่าลืม เจ้าเป็นหลานชายของเทพสงคราม มีบิดาของเจ้าหนุนหลัง มีข้าคอยสนับสนุน ไม่ต้องกลัวสิ่งใด”“แต่การฆ่าก็ต้องใส่ใจรายละเอียดด้วย ต้องฆ่าด้วยวิธีใดถึงจะปลอด
เขาอิ๋นซานนี้ปรากฏตรงหน้าหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้าของหลี่เฉินเผยรอยยิ้มโล่งอกพลางเอ่ยว่า “ในที่สุดก็เอาเหรียญเงินเหล่านี้กลับมาได้อย่างปลอดภัย!”“เกิดภัยพิบัติติดต่อกันนานหลายปี เงินส่วนนี้สามารถบรรเทาส่วนติดขัดของราชวังได้ชั่วคราวแล้ว” ซูเจิ้นถิงกล่าว“หาคนไปส่งข่าวให้กรมครัวเรือน สั่งให้กรมครัวเรือนส่งคนมาจัดแจงเงินเหล่านี้เข้าคลัง และต้องขนเงินทั้งหมดเข้าพระคลังภายในวันนี้”หลังจากหลี่เฉินสั่งการเสร็จสรรพ ก็มีคนเริ่มยุ่งขึ้นมาส่วนหลี่เฉิน หลังจากที่เขาจัดการเรื่องภายในค่ายเป่ยต้าแล้ว ก็เดินทางกลับตำหนักบูรพาหลี่เฉินเพิ่งก้าวเท้าออกจากพื้นที่ค่ายเป่ยต้า หน่วยสอดแนมของกองกำลังแต่ละฝ่ายก็รีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในค่ายเป่ยต้าให้กับหัวหน้าแต่ละฝ่ายของตนทันทีจ้าวเจี้ยนเยี่ยที่เป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์อวี่หลินได้รับข่าวเป็นคนแรกๆจ้าวเจี้ยนเยี่ยที่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ประดุจเสาเหล็กลุกตัวขึ้นพรวดจากกระโจมของตน เบิกตากว้างกล่าวว่า “หลิ่วปินเฉินตายแล้ว!?”หน่วยสอดแนมที่มารายงานรีบตอบ “ข้าน้อยเห็นเองกับตา มิบังอาจพูดปด องค์รัชทายาทปลิดชีวิตหลิ่วปินเฉินในดาบเดียว บัดนี้ร่างศพย
จ้าวชิงหลานที่กำลังพักกลางวันอยู่ในพระตำหนักได้ยินว่าหลี่เฉินมาเข้าเฝ้า ก็ลนลานในบัดดลหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่จะต้องเจอหน้ากับหลี่เฉิน ก็ไม่มีสักครั้งที่ไม่ถูกเขารังแก จ้าวชิงหลานกลัวแล้วหลังจากครุ่นคิดแล้ว จ้าวชิงหลานจึงได้สั่งการให้ขันทีในตำหนักคนหนึ่งว่า “เจ้าไปทูลองค์รัชทายาทว่าข้าเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ ให้เขาไม่ต้องเข้าเฝ้า กลับไปที่ตำหนักบูรพาเถอะ”ขันทีผู้นั้นลำบากใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรรัชทายาทก็อยู่ข้างนอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนออกไปปฏิเสธรัชทายาทเช่นนี้แล้วจะต้องเจอกับอะไรทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฮองเฮาจึงทำได้เพียงตอบตกลงเมื่อมาถึงข้างนอก หลี่เฉินมองขันทีที่กำลังถ่ายทอดคำพูดของฮองเฮาอย่างตั้งใจตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นยกเท้าขึ้นเตะเขาไปทีหนึ่ง“ข้ามาเข้าเฝ้าฮองเฮา นางจะไม่มาพบข้าได้อย่างไร สุนัขรับใช้อย่างเจ้าบังอาจมาขัดขวางนั้นหรือ? ไสหัวไป!”หลังจากเตะขันทีแล้ว หลี่เฉินก็เดินเข้าไปในตำหนักเฟิ่งสี่โดยตรง ไม่แม้แต่จะเห็นแก่กฎระเบียบของตำหนักเลยจ้าวชิงหลานมองดูรัชทายาทที่เข้ามาบุ่มบ่ามพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่อยากพบเจ้า เ
“ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ฮองเฮายังไม่คุ้นชินอีกหรือ?”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานทั้งโกรธทั้งอายนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามือที่เดิมแนบติดอยู่ที่ส่วนโค้งมนของนางนั้นยิ่งอยู่ยิ่งเหิมเกริมจ้าวชิงหลานจับแขนของหลี่เฉินเอาไว้ จากนั้นความตั้งใจแรกของจ้าวชิงหลานคือสะบัดฝ่ามือที่กำลังเล่นตุกติกนี้ออกไปแต่ทว่าขณะที่ใช้แรงต่อต้านนั้น จ้าวชิงหลานพบว่าไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือพลัง ก็ไม่สามารถสู้หลี่เฉินที่หนุ่มและแข็งแกร่งได้เลย“อ๊าก!”จ้าวชิงหลานกรีดร้อง หงายหลังล้มลงไปโดยควบคุมไม่อยู่หลี่เฉินเห็นดังนั้น ก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวคอดของจ้าวชิงหลานไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าศีรษะของจ้าวชิงหลานกลับพุ่งไปที่มุมโต๊ะ หลี่เฉินจึงกอดจ้าวชิงหลานไว้แล้วกลิ้งไปที่พื้นโดยไม่คิดมากทั้งสองกอดเข้าด้วยกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหลายตลบจ้าวชิงหลานเพียงแค่รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน ร่างกายของนางถูกหลี่เฉินกอดเอาไว้ อ่อนนุ่ม และไม่บาดเจ็บอะไรทว่าจ้าวชิงหลานกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าว เพราะริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นถูกหลี่เฉินฉวยโอกาสจูบเข้าแล้ว!สำหรับสตรีแล้วนั้น การจูบเป็นเรื่องที่มีความหมายมากจ้าวชิงห