พฤติกรรมของหลี่เฉินที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้านั้น ไม่เพียงแต่ทำให้หลิ่วปินเฉิงตกใจ แต่แม้กระทั่งซูเจิ้นถิงที่อยู่ข้างหลังหลี่เฉินก็ไม่คาดคิดมาก่อนและถัดจากหลี่เฉิน ซูผิงเป่ยที่เพิ่งถูกแย่งดาบไปก็กลัวจนแข้งขาอ่อนแรงแม้ว่าหลี่เฉินจะเป็นรัชทายาท หรือเป็นรัชทายาทที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่รัชทายาทมีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้นนี่คือค่ายเป่ยต้าหน่วยองครักษ์อวี่หลิน มีทหารทั้งหมดแปดพันนาย ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหลิ่วปินเฉิงที่นี่ บารมีของหลิ่วปินเฉิงนั้นยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าหลี่เฉินผู้เป็นรัชทายาทที่ไร้บารมีหรืออิทธิพลในกองทัพเสียอีกถ้าเผื่อว่าดาบนี้ฟาดลงไป ซูผิงเป่ยถึงขั้นหวาดระแวงว่าทหารแปดพันนายนี้จะก่อกบฏทันที ทหารเหล่านี้ยิ่งกังวลว่าตัวเองจะถูกรัชทายาทจัดการเช่นเดียวกับหลิ่วปินเฉิงหรือไม่ และบางทีอาจก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ตอนนี้ซูผิงเป่ยอยากเอาดาบของตัวเองคืนจริงๆ เกลี้ยกล่อมองค์รัชทายาทให้สงบอารมณ์ลง...แต่ว่า เวลานี้เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด ซูเจิ้นถิงก็เดินไปอยู่ข้างๆ ซูผิงเป่ยอย่างเงียบเชียบ“หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องพารัชทายาทเสด็จออกจาก
“ปกป้ององค์รัชทายาท!”ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเห็นการกบฏตรงหน้า ซูผิงเป่ยรู้สึกชาไปทั้งตัว เขาตะโกนแทบจะโดยสัญชาตญาณเมื่อใดที่ค่ายเป่ยต้าก่อกบฏจริงๆ เหล่าทหารที่โกรธแค้นจนเลือดขึ้นตา หลังจากที่ที่สังหารรัชทายาทแล้ว ไม่มีทางที่จะตระหนี่ถี่เหนียวไม่เข่นฆ่ากลุ่มพวกตัวเองแน่นอนอย่างไรก็ตายอยู่แล้ว มิสู้ลากคนลงหลุมด้วยดีกว่าซูผิงเป่ยที่อยู่ในฐานะทายาทของเทพสงคราม เขาก็เติบโตขึ้นมาในค่ายทหาร รู้ดีว่าทหารหัวโตป่าเถื่อนเหล่านี้ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเพียงใดพลั่กๆ องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเข้ามาในที่เกิดเหตุทันที ขณะเดียวกันก็ชักอาวุธออกมาปกป้องหลี่เฉินที่อยู่ตรงกลาง เผชิญหน้ากับแม่ทัพทหารในค่ายเป่ยต้าทุกคนโดยไม่ละสายตาที่แม่ทัพทหารในค่ายเป่ยต้ารู้สึกกระวนกระวายตื่นเต้นจนถึงขีดสุดก็เพราะการตายของหลิ่วปินเฉิง เมื่อองครักษ์อวี่หลินเคลื่อนไหว พวกเขาที่เดิมทีเป็นเหมือนนกตื่นกลัวกลับกลายเป็นตื่นเต้นฮึกเหิมอาวุธขององครักษ์เสื้อแพรและอาวุธของแม่ทัพทหารของค่ายเป่ยต้าปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงโลหะกระทบกันบาดแก้วหูอย่างรุนแรง องครักษ์เสื้อแพรไม่กล้าลงมือ และแม่ทัพทหารของค่ายเป่ยต
หลังจากพูดประโยคที่สี่ ทหารทั่วไปส่วนใหญ่ก็ทิ้งอาวุธให้หลี่เฉินโดยอัตโนมัติจากนั้นหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าทหารยศสูงหัวแข็งที่เหลืออยู่ หลี่เฉินเหลือบมองอย่างเย็นชาคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาโดยตรงของหลิ่วปินเฉิง และยังเป็นขุมพลังหลักของค่ายเป่ยต้าอีกด้วย“พวกเจ้า จะติดตามหลิ่วปินเฉิงที่ตายแล้วจนถึงที่สุดจริงๆ งั้นหรือ”คำพูดของหลี่เฉินแต่ละคำ ทำให้หลายคนตื่นรู้ทหารยศสูงเหล่านี้ หลายคนเริ่มมีสีหน้าลังเลและยุ่งยากใจพวกเขารู้ว่าเมื่อใดที่ตัวเองก้าวไปอีกก้าวนั้นหมายความว่าอย่างไรแต่พวกเขายิ่งกว่าว่าจะถูกหลี่เฉินชำระบัญชีในเวลานี้ ซูเจิ้นถิงเดินไปอยู่ข้างๆ ของหลี่เฉินอย่างเงียบเชียบ เขามองไปที่ทหารยศสูงเหล่านั้น แล้วพูดว่า “พวกเจ้าเจ้ารู้จักข้าหรือไม่”ทหารยศสูงหลายคนประสานมือคำนับทันทีว่า “ทายาทของเทพสงคราม แม่ทัพซู ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก”ซูเจิ้นถิงพยักหน้าและกล่าวว่า “พวกเจ้ายังจำข้า ยังจำเทพสงครามได้ งั้นก็วางอาวุธลงเถิด”“ท่านพ่อได้จากไปแล้ว แต่ถ้าเขาอยู่ในสวรรค์ ไม่มีวันอยากเห็นอาวุธของทหารต้าฉินไม่มุ่งเป้าไปยังศัตรู คนป่าเถื่อน โจร แต่มุ่งเป้าไปยังรัชทายาท
คำพูดนี้ของหลี่เฉิน ทำให้ทหารยศสูงทั้งสิบเอ็ดคนตกตะลึงพรึงเพริด พวกเขามองหลี่เฉินด้วยสีหน้าที่ทั้งตกใจและโกรธ ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนเดียวที่เหลืออยู่ในหมู่พวกเขากล่าวว่า “องค์รัชทายาทรับปากแล้ว ว่าจะไม่สืบสาวราวเรื่องต่อ! หรือว่าองค์รัชทายาทคิดจะกลับคำพูด!?”ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ก็เผยให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาทั้งสิบเอ็ดคนกังวลมากที่สุด แต่ละคนเป็นเหมือนนกที่หวาดกลัว มองหลี่เฉินอย่างปวดร้าวหลี่เฉินโบกมือ แล้วพูดเนิบๆ “ข้าพูดคำไหนคำนั้น ย่อมไม่กลืนน้ำลายตัวเองอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะมาพูดอะไรกับพวกเจ้ามากมายขนาดนี้หรือ”หลังจากได้ยินคำนี้ สีหน้าของทั้งสิบเอ็ดคนก็ดูดีขึ้นมาก“เรื่องราวบานปลายมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าทุกคนคงรู้ว่า ถ้าเป็นช่วงที่ข้าเพิ่งสังหารหลิ่วปินเฉิงไป พวกเจ้าอาจจะมีโอกาสที่จะก่อการกบฏและฆ่าข้า แต่ตอนนี้ พวกเจ้าไม่มีโอกาสใดๆ แล้ว”หลี่เฉินบั่นคอหลิ่วปินเฉิงด้วยความโกรธ ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะถึงขั้นนี้ แต่ก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างน้อยศักดิ์ศรีของเขา ก็หยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของผู้คนแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นคนกำหนดใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย อันได้
“องค์รัชทายาทตรัสถูกต้องแล้ว”คำพูดเหล่านี้ กลับเป็นซูเจิ้นถิงที่เป็นคนพูดเขาเหลือบมองลูกชายที่ยังคงเบิกตาโพลงด้วยความสับสน ถอนหายใจเบาๆ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกันแท้ๆ เหตุใดถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้“ถ้าเป็นในยามปกติ เจ้าสามารถดึงมาเป็นพวก ทำให้แตกแยก และค่อยๆ เข้ายึดค่ายเป่ยต้าได้ เจ้าได้รับการสนับสนุนจากองค์รัชทายาท สิ่งที่ต้องสิ้นเปลืองก็มีแค่เวลาเท่านั้น”“แต่ในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ หากต้องการควบคุมค่ายเป่ยต้าในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็ทำได้เพียงรีบตัดปัญหาวุ่นวายทิ้งอย่างเด็ดขาด พวกเขาสิบเอ็ดคนนั้นย่อมกอดกันกลมอยู่แล้ว ประกอบกับหลิ่วปินเฉิงที่เพิ่งตาย พวกเขาจะต่อต้านเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าทำได้เพียงเลียนแบบวิธีการของรัชทายาทที่ตัดหัวหลิ่วปินเฉิงด้วยโทสะ ทำให้ทุกคนหวาดกลัวด้วยการฆ่า”คำอธิบายของซูเจิ้นถิง ทำให้หลี่เฉินคิดจากใจว่าขิงแก่ยังเผ็ดหลี่เฉินพูดกับซูผิงเป่ยว่า “จะมีความเสี่ยงสูงเกินไปก็ใช่ แต่อย่าลืม เจ้าเป็นหลานชายของเทพสงคราม มีบิดาของเจ้าหนุนหลัง มีข้าคอยสนับสนุน ไม่ต้องกลัวสิ่งใด”“แต่การฆ่าก็ต้องใส่ใจรายละเอียดด้วย ต้องฆ่าด้วยวิธีใดถึงจะปลอด
เขาอิ๋นซานนี้ปรากฏตรงหน้าหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้าของหลี่เฉินเผยรอยยิ้มโล่งอกพลางเอ่ยว่า “ในที่สุดก็เอาเหรียญเงินเหล่านี้กลับมาได้อย่างปลอดภัย!”“เกิดภัยพิบัติติดต่อกันนานหลายปี เงินส่วนนี้สามารถบรรเทาส่วนติดขัดของราชวังได้ชั่วคราวแล้ว” ซูเจิ้นถิงกล่าว“หาคนไปส่งข่าวให้กรมครัวเรือน สั่งให้กรมครัวเรือนส่งคนมาจัดแจงเงินเหล่านี้เข้าคลัง และต้องขนเงินทั้งหมดเข้าพระคลังภายในวันนี้”หลังจากหลี่เฉินสั่งการเสร็จสรรพ ก็มีคนเริ่มยุ่งขึ้นมาส่วนหลี่เฉิน หลังจากที่เขาจัดการเรื่องภายในค่ายเป่ยต้าแล้ว ก็เดินทางกลับตำหนักบูรพาหลี่เฉินเพิ่งก้าวเท้าออกจากพื้นที่ค่ายเป่ยต้า หน่วยสอดแนมของกองกำลังแต่ละฝ่ายก็รีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในค่ายเป่ยต้าให้กับหัวหน้าแต่ละฝ่ายของตนทันทีจ้าวเจี้ยนเยี่ยที่เป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์อวี่หลินได้รับข่าวเป็นคนแรกๆจ้าวเจี้ยนเยี่ยที่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ประดุจเสาเหล็กลุกตัวขึ้นพรวดจากกระโจมของตน เบิกตากว้างกล่าวว่า “หลิ่วปินเฉินตายแล้ว!?”หน่วยสอดแนมที่มารายงานรีบตอบ “ข้าน้อยเห็นเองกับตา มิบังอาจพูดปด องค์รัชทายาทปลิดชีวิตหลิ่วปินเฉินในดาบเดียว บัดนี้ร่างศพย
จ้าวชิงหลานที่กำลังพักกลางวันอยู่ในพระตำหนักได้ยินว่าหลี่เฉินมาเข้าเฝ้า ก็ลนลานในบัดดลหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่จะต้องเจอหน้ากับหลี่เฉิน ก็ไม่มีสักครั้งที่ไม่ถูกเขารังแก จ้าวชิงหลานกลัวแล้วหลังจากครุ่นคิดแล้ว จ้าวชิงหลานจึงได้สั่งการให้ขันทีในตำหนักคนหนึ่งว่า “เจ้าไปทูลองค์รัชทายาทว่าข้าเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ ให้เขาไม่ต้องเข้าเฝ้า กลับไปที่ตำหนักบูรพาเถอะ”ขันทีผู้นั้นลำบากใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรรัชทายาทก็อยู่ข้างนอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนออกไปปฏิเสธรัชทายาทเช่นนี้แล้วจะต้องเจอกับอะไรทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฮองเฮาจึงทำได้เพียงตอบตกลงเมื่อมาถึงข้างนอก หลี่เฉินมองขันทีที่กำลังถ่ายทอดคำพูดของฮองเฮาอย่างตั้งใจตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นยกเท้าขึ้นเตะเขาไปทีหนึ่ง“ข้ามาเข้าเฝ้าฮองเฮา นางจะไม่มาพบข้าได้อย่างไร สุนัขรับใช้อย่างเจ้าบังอาจมาขัดขวางนั้นหรือ? ไสหัวไป!”หลังจากเตะขันทีแล้ว หลี่เฉินก็เดินเข้าไปในตำหนักเฟิ่งสี่โดยตรง ไม่แม้แต่จะเห็นแก่กฎระเบียบของตำหนักเลยจ้าวชิงหลานมองดูรัชทายาทที่เข้ามาบุ่มบ่ามพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่อยากพบเจ้า เ
“ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ฮองเฮายังไม่คุ้นชินอีกหรือ?”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานทั้งโกรธทั้งอายนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามือที่เดิมแนบติดอยู่ที่ส่วนโค้งมนของนางนั้นยิ่งอยู่ยิ่งเหิมเกริมจ้าวชิงหลานจับแขนของหลี่เฉินเอาไว้ จากนั้นความตั้งใจแรกของจ้าวชิงหลานคือสะบัดฝ่ามือที่กำลังเล่นตุกติกนี้ออกไปแต่ทว่าขณะที่ใช้แรงต่อต้านนั้น จ้าวชิงหลานพบว่าไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือพลัง ก็ไม่สามารถสู้หลี่เฉินที่หนุ่มและแข็งแกร่งได้เลย“อ๊าก!”จ้าวชิงหลานกรีดร้อง หงายหลังล้มลงไปโดยควบคุมไม่อยู่หลี่เฉินเห็นดังนั้น ก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวคอดของจ้าวชิงหลานไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าศีรษะของจ้าวชิงหลานกลับพุ่งไปที่มุมโต๊ะ หลี่เฉินจึงกอดจ้าวชิงหลานไว้แล้วกลิ้งไปที่พื้นโดยไม่คิดมากทั้งสองกอดเข้าด้วยกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหลายตลบจ้าวชิงหลานเพียงแค่รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน ร่างกายของนางถูกหลี่เฉินกอดเอาไว้ อ่อนนุ่ม และไม่บาดเจ็บอะไรทว่าจ้าวชิงหลานกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าว เพราะริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นถูกหลี่เฉินฉวยโอกาสจูบเข้าแล้ว!สำหรับสตรีแล้วนั้น การจูบเป็นเรื่องที่มีความหมายมากจ้าวชิงห
ในการควบคุมอำนาจทางการเงิน มีคนหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ไม่ต้องสงสัย คนคนนั้นคือ จ้าวเสวียนจีหลี่เฉินโยนบัญชีของกำนัลของเหอคุนลงข้างตัว พลางเรียกวั่นเจียวเจียวเข้ามาด้วยเสียงดัง “มาแต่งตัวให้ข้า”ในเมืองหลวง ณ จวนจ้าวหลังจากออกจากตำหนักบูรพา จ้าวเสวียนจีได้สั่งคนไปตามจางปี้อู่ และฟู่อวี้จือ สองขุนนางร่วมตำแหน่งมหาเสนาบดีในคณะเสนาบดีไม่นานหลังจากที่จ้าวเสวียนจีเดินทางกลับถึงจวนจ้าว สองคนก็รีบร้อนมาถึงฟู่อวี้จือและจางปี้อู่พบกันที่หน้าประตู ทั้งสองสบตากัน แต่กลับไม่เห็นหวังเถิงฮ่วนจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยในไม่ช้า จ้าวเสวียนจีก็เรียกทั้งสองเข้ามายังห้องหนังสือ“ผู้อาวุโส วันนี้ตำหนักบูรพามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”ฟู่อวี้จือถามถึงเรื่องเย่ลู่ฉีหมิงที่ถูกสังหารแม้เมืองหลวงจะใหญ่และผู้คนมากมาย แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่สามารถปิดบังสองขุนนางอาวุโสได้ พวกเขาทราบข่าวอย่างรวดเร็วว่าเย่ลู่ฉีหมิงเกิดเรื่อง แต่รายละเอียดนั้นพวกเขายังไม่รู้ เนื่องจากจ้าวเสวียนจีและหวังเถิงฮ่วนเป็นผู้ไปตำหนักบูรพาจ้าวเสวียนจีจิบชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่มีคำตอบ ก็คือคำตอบของตำหนั
“เข้าใจแล้วก็ออกไปได้”เหอคุนค่อยๆ ยกตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์ชาย กระหม่อมขอทูลลา”หลังจากเหอคุนก้าวออกจากคลังเก็บของ หลี่เฉินหันไปสั่งเฉินทง “ให้ทางซูหางรีบส่งข้อมูลของเหอคุนมา ข้าต้องการ”เฉินทงเข้าใจในทันที ว่าเหอคุนคนนี้กำลังจะกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของตำหนักบูรพาดูจากสวีฉังชิงก็รู้แม้ตำแหน่งยังคงเดิม แต่ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาท อำนาจที่พวกเขาถืออยู่ได้ขยายตัวไม่รู้กี่เท่าอดีตพวกเขาเป็นเพียงข้าราชการชายขอบในกรมครัวเรือนและกระทรวงโยธาธิการ บัดนี้แม้แต่เสนาบดีทั้งสองกรมยังต้องทำงานภายใต้สีหน้าของพวกเขาเหอคุนเองก็เช่นกันผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก และไม่มีอำนาจมากมายแต่ตำหนักบูรพาในตอนนี้มีผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเพียงแค่คนเดียว หน้าที่แรกที่เขาได้รับ คือการรวบรวมและจัดการของกำนัลจากขุนนางที่องค์รัชทายาททรงให้ความสนใจอย่างมาก หากเขาสามารถทำงานนี้ได้ดี เส้นทางอำนาจของเหอคุนก็จะเปิดโล่งจนไม่มีใครหยุดยั้งได้ต้องตีสนิทสักหน่อยแล้วล่ะเฉินทงคิดไปถึงความเป็นไปได้หลายอย่างในเสี้ย
เงินเดือนขุนนางส่วนใหญ่มักถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์ในยุคสมัยศักดินา เศรษฐกิจมีความผันผวนน้อยกว่าในสังคมสมัยใหม่ เพราะใช้เงินโลหะและทองคำเป็นมาตรฐาน ทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินฝืดเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเมื่อเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้รุนแรงดังนั้น รัฐบาลในสมัยนั้นจึงแทบไม่ปรับเปลี่ยนเงินเดือนขุนนาง หากมีการปรับเปลี่ยนก็มักจะเป็นการปรับในอัตราที่น้อยมากเพราะเงินเดือนขุนนางถือเป็นภาระสำคัญในงบประมาณของราชสำนักอย่างรุนแรงเช่นในราชวงศ์ต้าฉิน เมื่อปีที่ผ่านมา ราชสำนักต้องจ่ายเงินเดือนขุนนางรวมทั้งสิ้น 45 ล้านตำลึงเงิน แต่รายได้จากภาษีของทั้งปีนั้นมีเท่าใด?ไม่ถึง 20 ล้านตำลึงเงินนี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาค้างจ่ายเงินเดือนขุนนางอย่างแพร่หลายแม้ในปีที่ฝนฟ้าดี ไม่มีปัญหาภัยพิบัติ การจ่ายเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นภาระหนักหนาสำหรับราชสำนักยิ่งไปกว่านั้น การปรับเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎบรรพบุรุษ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของราชวงศ์ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่สิ่งที่จะปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆแค่ภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ราชสำนักล่มสลายได
"ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมา 4 ปี เจ้าทุจริตไปเท่าไหร่?"คำถามของหลี่เฉินตรงไปตรงมาและเฉียบขาดทำให้เหอคุนที่เดิมก็ประหม่าอยู่แล้วเหงื่อแตกซึมไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบด้วยความกลัวว่า “โรงทอผ้า โรงย้อม และพ่อค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ล้วนส่งสินบนให้กรมทอผ้ามาโดยตลอดทุกฤดูกาล”“ในตอนแรกยังมีความลับลมคมในบ้าง แต่สองปีมานี้กลับกลายเป็นเรื่องที่เปิดเผยมากขึ้น กรมทอผ้าเองก็ยอมรับว่าเป็นรายได้ประจำทุกไตรมาส”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระหม่อมได้รับสินบนจนแทบนับไม่ถ้วน หากนับเป็นเงินก็ประมาณ 4-5 แสนตำลึงเงิน”เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ แม้แต่เฉินทงยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาตกใจ4-5 แสนตำลึงเงิน!นี่มันอะไรกัน!?เฉินทงในฐานะขุนนางของหน่วยบูรพา แม้มีเงินเดือนรวมเบี้ยเลี้ยงและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ได้เพียงปีละ 300 กว่าตำลึง หากเป็นขุนนางระดับเดียวกันที่ไม่มีเบี้ยเลี้ยงพิเศษ อาจได้ไม่ถึง 200 ตำลึงต่อปีด้วยซ้ำแต่เหอคุน ซึ่งเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้เวลา 4 ปีโกงเงินได้ 4 ล้านกว่าตำลึงเงิน เฉลี่ยปีละหนึ่งล้านตำลึงเงินความแตกต่างมหาศา
ต่อหน้าคำกล่าวอย่างซื่อสัตย์และจริงใจของเหอคุน หลี่เฉินกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆเขาเพียงใช้บัญชีของกำนัลตีลงบนฝ่ามือช้าๆ เหมือนกำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับเหอคุนเช่นไรขณะที่เหอคุนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แม้แต่การหายใจก็ต้องควบคุมจังหวะ เกรงว่าจะทำให้หลี่เฉินที่อยู่ตรงหน้าขุ่นเคืองความเงียบและความกดดันที่มองไม่เห็นดำเนินไป จนกระทั่งเฉินทงเดินเข้ามาทำลายความเงียบนี้“องค์ชาย กระหม่อมได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเดินเข้ามาในคลัง เฉินทงคำนับหลี่เฉินก่อน กล่าวต่อเมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากหลี่เฉิน โดยไม่ชายตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่แม้แต่น้อย “เหอคุนดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมานานกว่า 4 ปี ตามกฎของกรมขุนนาง ปีนี้เขาจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อตัดสินว่าจะต่ออายุงาน ปรับย้าย หรือถูกลดตำแหน่ง”“หลายเดือนก่อน สหายร่วมถิ่นของเหอคุนชื่อโจวรุ่ย ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมขุนนางและอยู่ในกลุ่มสนับสนุนคณะเสนาบดี ถูกสวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนกล่าวหาและถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมและประหารชีวิต เมื่อโจวรุ่ยล้มลง เหอคุนก็ไร้ผู้สนับสนุนในราชสำนัก กระหม่อมได้ตรวจสอบผลก
ในมือถือบัญชีรายการของกำนัลที่เหอคุนส่งมาเมื่อช่วงเช้า หลี่เฉินเหลือบตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า พลางกล่าวเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ”หลังจากเหอคุนลุกขึ้น หลี่เฉินก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงรอยยิ้ม “ใครๆ ก็ว่าปีเดียวเป็นเจ้าเมือง ได้เงินหมื่นตำลึง ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเป็นเรื่องพูดเล่น แต่ครั้งนี้ เจ้าเปิดหูเปิดตาให้ข้าเห็นแล้วจริงๆ”“บัญชีของกำนัลที่เจ้าส่งมา มูลค่ารวมเกินสองล้านตำลึงได้อย่างง่ายดาย ต้นปะการังนั้น ข้าก็ได้ดูแล้ว ถือเป็นสมบัติหายากอย่างแท้จริง ของล้ำค่าเช่นนี้ ในพระราชวังหลวงยังไม่มี เจ้าเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยกว่าข้าที่เป็นองค์รัชทายาทเสียอีก”ใบหน้าเหอคุนซีดลงเขารับรู้ถึงอันตรายที่แฝงในน้ำเสียงเรียบเย็นขององค์รัชทายาทหากตอบผิดแม้แต่น้อย ศีรษะของเขาอาจหลุดจากบ่าในทันทีแต่คำถามเช่นนี้ เขาเตรียมคำตอบไว้ตั้งแต่ตัดสินใจกระทำการเสี่ยงนี้แล้วเหอคุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนก้มศีรษะกล่าวตอบ “กราบทูลองค์ชาย หากข้ารับราชการคนใดมีอำนาจอยู่ในมือบ้างเล็กน้อย การทุจริตก็กลายเป็นเรื่องง่ายมาก และกระหม่อมกล้ากล่าวว่า ในราชสำนักต้าฉินทุกว
เหอคุน ชายวัย 38 ปีเขาเป็นจิ้นซื่อในปีที่หกแห่งรัชศกต้าสิง จากนั้นผ่านการคัดเลือกและถูกส่งไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการและนายอำเภอในเขตซูหาง ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีที่เก้าแห่งรัชศกเดียวกัน ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าแห่งซูหางระดับห้าขั้นแรกการกลับมารายงานหน้าที่ที่เมืองหลวงในครั้งนี้ เหอคุนได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานสำหรับงานอภิเษกขององค์รัชทายาทตำหนักบูรพา เขาจึงตัดสินใจลงมือทันทีเหอคุนดำรงตำแหน่งในกรมทอผ้าซูหางมาหลายปีและรู้ว่ากำลังจะครบวาระ ขณะเดียวกัน เขาก็สูญเสียผู้สนับสนุนในราชสำนักไป เมื่อผู้สนับสนุนของเขาขัดแย้งกับสวีฉังชิง รองเสนาบดีกรมครัวเรือนฝ่ายซ้าย ซึ่งอยู่ฝ่ายตำหนักบูรพาและถูกปลดจากตำแหน่งในสภาพการณ์เช่นนี้ เส้นทางราชการของเหอคุนตกอยู่ในความเสี่ยง เขาอาจถูกส่งไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือถูกละเลย ดังนั้น เขาจึงกัดฟันส่งสิ่งของและของกำนัลล้ำค่าที่เขาได้มาจากตำแหน่งนี้เกือบทั้งหมดไปยังตำหนักบูรพาเหอคุนรู้ดีว่าการกระทำครั้งนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยงทางการเมือง เพราะสวีฉังชิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำหนักบูรพา ขณะที่เขาเคยอยู่ฝ่ายคณะเสนาบดีใน
"องค์ชาย บ่าวจะนวดจุดไท่หยางให้นะเพคะ"วั่นเจียวเจียวเดินเบาๆ เข้ามาข้างกายหลี่เฉิน พลางพูดและยื่นนิ้วเรียวยาวดุจหยกขึ้นไปกดเบาๆ ที่ขมับทั้งสองข้างของหลี่เฉินและเริ่มนวดอย่างนุ่มนวลหลี่เฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาปิดตารับสัมผัสนั้นและกล่าวชมว่า “ฝีมือเจ้าชำนาญขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”วั่นเจียวเจียวเผยรอยยิ้มบาง กล่าวด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “องค์ชายทรงพอพระทัย บ่าวก็ดีใจแล้วเพคะ”ในขณะที่หลี่เฉินปิดตา วั่นเจียวเจียวใช้ดวงตามองสำรวจใบหน้าของเขาอย่างละเอียด ราวกับต้องการจารึกทุกอณูของบุรุษตรงหน้าไว้ในส่วนลึกของจิตใจ“เมื่อช่วงเช้า มีคนชื่อเหอคุนมาส่งของกำนัลเพคะ”คำพูดของวั่นเจียวเจียวทำให้หลี่เฉินลืมตาขึ้น“ของกำนัล?”วั่นเจียวเจียวพยักหน้า “ใช่เพคะ องค์ชายมิใช่กำลังจะอภิเษกสมรสหรอกหรือ ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่าด้วยเหตุที่ฝ่าบาททรงประชวร และสถานการณ์ยังไม่สงบ พิธีอภิเษกจึงต้องเลื่อนออกไป แต่เมื่อกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานได้ก่อนเพคะ”“เมื่อเช้านี้ ขุนนางที่ชื่อเหอคุนผู้นั้นบอกว่ามาเข้าเฝ้ากรมครัวเรือนตามหน้าที่ แต่ตามระเบียบ อีกสองวันก็ต้องกลับไปประจำที่
"มิอาจไม่ระวัง"หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “จ้าวเสวียนจีดูแลราชสำนักมานานหลายปี สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คืออิทธิพลของเขาในราชสำนัก แต่ในกองทัพล่ะ?”“แม้แต่ต้วนจิ่นเจียงที่เคยควบคุมกรมยุทธนาการอย่างแน่นหนา ยังมิอาจกันเขาได้ทั้งหมด คนเช่นจ้าวเสวียนจี เป็นไปได้หรือที่จะไม่ทิ้งไพ่ลับไว้?”“หากถึงจุดที่มิอาจรักษาสถานการณ์ได้ เขาอาจกล้าก่อกบฏก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าหลี่เฉินฉายแววเหี้ยมเกรียม กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สำหรับข้าหรือจ้าวเสวียนจี ต่างก็เหมือนกันทั้งนั้น เรื่องใหญ่นี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของแผ่นดินราชวงศ์ ไม่มีโอกาสแก้ตัว หากพลิกโต๊ะเมื่อใดก็มีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ย่อมไม่มีคำว่าเสียใจ ดังนั้นเราต้องมั่นใจว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จะสามารถใช้กำลังทหารปกป้องอำนาจจักรพรรดิได้!”อำนาจจักรพรรดิและอำนาจทหาร แม้จะคล้ายกัน แต่ซูเจิ้นถิงก็เข้าใจทันทีถึงความหมายที่แท้จริงของหลี่เฉินเขาพยักหน้าและกล่าวว่า “กระหม่อมทราบแล้ว เรื่องนี้กระหม่อมจะถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกเมื่อกลับไป”หลี่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหันไปมองซูผิงเป่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ไม่มี