แชร์

บทที่ 436

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-02 18:00:01
ในช่วงยุคสามก๊ก แม้จะมีราชสำนักอยู่ แต่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับราชสำนักอย่างจริงจัง บรรดาอ๋องทั่วประเทศต่างยึดอำนาจในการจัดเก็บภาษี และอำนาจทางการทหารไว้ในมือ จึงไม่จำเป็นต้องมองสีหน้าของราชสำนักที่อ่อนแออีกต่อไป

อำนาจทั้งสองอย่างนี้ คือเครื่องมืออันทรงพลังที่ราชสำนักใช้ควบคุมท้องถิ่นในประเทศ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ส่วนท้องถิ่นจะแทรกแซงรากฐานของประเทศ

เจิ้งเป่าหรงไม่ซับซ้อนพอที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่หลี่เฉินจะไม่ยอมทน

ซึ่งคนที่เข้าใจจุดนี้เช่นกันก็คือท่านจิ้งจือ

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและนิ่งเงียบ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานบันกวนไห่ตั้งอยู่ในเวยไห่เว่ย ท่านจิ้งจือจึงมีปฏิสัมพันธ์มากมายกับเจิ้งเป่าหรง เขารู้ว่าเจิ้งเป่าหรงไม่ใช่ขุนนางทุจริต ตรงกันข้ามเขาเป็นขุนนางที่ดีและทำงานหนักเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ดังนั้นในบรรดาสถาบันการศึกษาทั้งสามแห่ง ท่านจิ้งจือจึงเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี่

แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ เขาไม่อาจออกความคิดเห็นได้

สำหรับผู้มีอำนาจ หลายครั้งก็ไม่ได้สนใจว่าลูกน้องของตนจะเป็นผู้ทรยศหรือว่าจงภักดี แต่พิจารณาว่าลูกน้องเหล่านั้นเป็นข้ารับใช้ที่มีความสามารถซึ่งเป็
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 437

    หลี่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้เขาไม่คิดว่าเจิ้งเป่าหรงจะมีความคิดเรื่องการเก็บภาษีคนรวยมากและเก็บคนจนน้อยเหมือนคนรุ่นหลัง หลักการนี้พูดง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำไปใช้จริงเนื่องจากคนรวยมีอำนาจควบคุมทรัพยากรมากกว่าคนจน ขุนนางคนใดก็ตามที่ต้องการจะโจมตีพวกเขา ก็ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล ในทางกลับกัน คนจนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากร้องไห้และตัดพ้อต่อสวรรค์ “แล้วครอบครัวที่ร่ำรวยในเวยไห่เว่ย ก็ปล่อยให้เจ้าทำตามใจชอบ?” หลี่เฉินถามเจิ้งเป่าหรงเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก เขากล่าวว่า “ครอบครัวของกระหม่อมเป็นคนแรกที่จ่ายภาษี และยังจ่ายมากที่สุด พวกเขาจึงไม่มีอะไรจะพูด มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่พอใจ แต่แล้วอย่างไร?”“กระหม่อมเป็นผู้ว่าราชการ ไม่มีจุดอ่อนอะไรให้จับ แม้ว่าจะเก็บภาษีเบ็ดเตล็ดมากไปหน่อย แต่เงินที่ได้ กระหม่อมก็นำมาพัฒนาเวยไห่เว่ย และเสริมการป้องกันทางชายฝั่ง ครัวเรือนที่ร่ำรวยเหล่านั้นมีทุ่งนาทะเลขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นผู้รับผลประโยชน์มากที่สุด หากกระหม่อมล้มลง และเปลี่ยนเป็นคนใหม่มาแทน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจ่ายภาษีน้อยลง แต่ค่าน้ำร้อนน้ำชาของคนให

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-02
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 438

    ตามคำเชิญของท่านจิ้งจือ หลี่เฉินและซูจิ่นพ่าก็ไปที่แท่นชมทะเลที่ลานด้านหลังของสถานบันกวนไห่แท่นชมทะเลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจตนา มันเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปกลางอากาศ ด้านล่างมีคลื่นทะเลคอยซัดเข้าหาอยู่ตลอดเวลา เมื่อนั่งบนแท่นหินก็สามารถหันหน้ารับลมทะเลฟังเสียงคลื่นได้ แม้ว่าลมจะแรงมากก็ตาม เมื่อยืนอยู่ข้างแท่นชมทะเล พิงราวบันไดและมองออกไป จู่ๆ หลี่เฉินก็หันกลับมาถามท่านจิ้งจือที่อยู่ข้างๆ ว่า “ท่านทราบไหมว่าฝั่งตรงข้ามกับทะเลปั๋วไห่ที่ท่านกับข้ายืนอยู่นั้นเป็นที่ใด?” ท่านจิ้งจือตอบง่ายๆ ว่า “หากแผนที่เดินเรือถูกต้อง ก็ควรเป็นเสียนเฉา”หลี่เฉินพยักหน้า เวยไห่เว่ยอยู่ตรงข้ามกับคาบสมุทรเสียนเฉา จุดนี้นักเรียนรุ่นหลังที่ได้เรียนความรู้ทางภูมิศาสตร์มาบ้างจะรู้เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ในยุคศักดินานั้นการที่ท่านจิ้งจือสามารถโพล่งออกมาได้อย่างสบายๆ ก็แสดงให้เห็นถึงความรอบรู้ของเขา“เป็นเสียนเฉาจริงๆ ตอนนี้ ผู้คนนับหมื่นจากต้าฉินกำลังต่อสู้เพื่อประเทศของเราบนดินแดนอีกฟากหนึ่งของทะเล” หลี่เฉินกล่าวท่านจิ้งจือขมวดคิ้วและพูดว่า “ต่อสู้เพื่อประเทศ? เกรงว่านั่นคงเป็นการต่อสู้เพื่อเสียนเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-02
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 439

    คำพูดของหลี่เฉินทำให้ท่านจิ้งจือเล็กน้อย ความขัดแย้งระหว่างความคิดของทั้งสองคนนั้น ตอนนี้เริ่มรุนแรงอย่างถึงที่สุดแล้วท่านจิ้งจือกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นั่นคือเหตุผลที่เราควรเก็บตัวและรอเวลาของเรา ฝ่าบาทได้รับการสั่งสอนจากประวัติศาสตร์ แล้วจะไม่ทราบเรื่องราวของโกวเจี้ยน เจ้าผู้ครองนครรัฐเยว่ ที่นอนฟืนแข็ง กินดีขมได้อย่างไร? การถอยหลังชั่วคราว ถือเป็นกลยุทธ์แผนขัดตาทัพเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า และนี่ก็ไม่ใช่ความขี้ขลาด”“การถอยครั้งนี้นั่นหมายความว่าผู้คนนับหมื่นหรือหลายแสนคนในต้าฉินของเราจะถูกเหยียบย่ำ แน่นอนว่าเหล่าขุนนางและบรรดาอ๋องทั้งหลายยังคงสามารถร้องรำทำเพลงอย่างสงบสุขได้ และเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งที่อยู่ด้านหลัง แต่ความทุกข์ทรมานของผู้คนบริเวณชายแดน ใครเล่าจะสงสารพวกเขาบ้าง?”“ข้าไม่ใช่เจ้าผู้ครองนครรัฐเยว่ และคนเถื่อนบนทุ่งหญ้าก็ไม่ใช่ฟู่ไจ๋ ถ้าข้ายังอดกลั้นต่อไป และปล่อยให้พวกเขาเห็นสภาพที่อ่อนแอของจักรวรรดิอย่างชัดเจน พวกเขาจะกางกรงเล็บและรีบพุ่งเข้ามาฉีกต้าฉินเป็นชิ้น ๆ”เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลี่เฉินก็หยุดพูดชั่วคราว หันกลับมามองท่านจิ้ง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 440

    อย่างไรก็ตาม ท่านจิ้งจือสามารถยืนหยัดมาได้หลายปีแล้ว ไม่ว่าจะมีคนข่มขู่และชักจูงเขามากเพียงใด เขาก็ไม่เคยหวั่นไหวในจุดยืนของเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลี่เฉินจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ สิ่งที่หลี่เฉินต้องการก็คือชื่อเสียงของท่านจิ้งจือ หากเขาต้องการวางใครสักคนไว้ในสำนักราชเลขา ท่านจิ้งจือคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในต้าฉินเพราะถ้านำคนอื่นไปวาง สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือการถูกละเลย จากนั้นก็ถูกจ้าวเสวียนจีสังหาร มีเพียงชื่อเสียงของท่านจิ้งจือเท่านั้นที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และชื่อเสียงนี้เองที่ทำให้หลี่เฉินต้องตั้งรับมีแค่ท่านจิ้งจือยอมมาด้วยความตั้งใจเท่านั้น สถานะของหลี่เฉินในใจของนักวิชาการทั่วใต้หล้าจึงจะพุ่งสูงขึ้น สถานะนี้ยากที่จะแทนที่ด้วยสิ่งอื่นใด ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่หลี่เฉินเดินทางมาไกลเป็นพันลี้ และทุ่มเทความพยายามทั้งหมด เพื่อโน้มน้าวท่านจิ้งจือให้เข้าร่วมราชสำนัก คิดถึงตรงนี้ หลี่เฉินจึงเปิดปากพูดว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่มีความทะเยอทะยานจริงๆ ข้าก็จะไม่บังคับ”พูดจบ ไม่รอให้ท่านจิ้งจือและซูจิ่นพ่าได้ตอบสนอง หลี่เฉินก็กล่าวต่อไปว่า “แต่ท่านอาจารย์ทราบหรือไม่ว่า ปัญหาใ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 441

    เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่รุนแรงของท่านจิ้งจือในขณะนี้ หลี่เฉินก็ยิ้มออกมา สำหรับคนอย่างท่านจิ้งจือ อำนาจและความมั่งคั่งล้วนไม่มีความหมายสำหรับเขา หากเขาต้องการ ก็สามารถได้มันมาเมื่อไรก็ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยในโลกนี้มีเพียงสองสิ่งที่ทำให้ผู้คนหลงใหลได้ก็คือชื่อเสียงและโชคลาภ ซึ่งชื่อเสียงอยู่ก่อนคำว่าโชคลาภ หลังจากสนองความต้องการทางวัตถุแล้ว ทุกคนก็จะไล่ตามความต้องการทางจิตวิญญาณ และความต้องการทางจิตวิญญาณในยุคศักดินานี้ ก็คือชื่อเสียง ชื่อเสียงที่จะคงอยู่ตลอดไป ดังนั้นท่านจิ้งจือจึงไม่กล้านำชื่อเสียงที่บริสุทธ์ของตัวเอง ถูกลากเข้าไปในหล่มของหลี่เฉิน “สามปี” จู่ๆ หลี่เฉินก็พูดขึ้นมาอย่างหัววัวไม่ตรงกับปากม้า“ท่านจิ้งจือก็อายุมากแล้ว ไม่ว่าข้าจะปฏิบัติอย่างรุนแรงแค่ไหน ก็จะไม่ปล่อยให้ท่านจิ้งจือต้องแก่ตาย หรือเหนื่อยตายจากการทำงาน ดังนั้นข้าจะยืมเวลาของท่านจิ้งจือเพียงสามปีเท่านั้น”“สามปีนี้ ท่านจิ้งจือจะต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับความคิดริเริ่มทางการเมืองทั้งหมดของข้า ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ตงเก๋อ”“ข้ารับปากว่า ตราบใดที่ท่านจิ้งจือ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 442

    ในฐานะองค์รัชทายาท หลี่เฉินใจกว้างอย่างยิ่งที่ได้ให้ผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ หากเขาพูดมากอีก เขาจะสูญเสียสถานะของเขาสถานะของท่านจิ้งจือก็ไม่ต่ำเช่นกัน เขาต้องการจะเห็นด้วย แต่ก็จำเป็นต้องมีทางลงให้เขาเขาไม่สามารถตกลงได้ทันที หลังจากที่หลี่เฉินบอกว่าจะสร้างรูปปั้นและให้เขาเป็นมหาราชครูระดับชาติ นั่นจะไม่ทำให้ท่านจิ้งจือดูเป็นคนเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากหรอกหรือ?“ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ท่านพูดบ่อยๆ ว่านักวิชาการ ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า ทุกคนควรถือว่าการรับใช้ชาติเป็นหน้าที่ของตน เพื่อนำความสงบเรียบร้อยมาสู่ครอบครัว ประเทศ และนำสันติสุขมาสู่ใต้หล้า”“ทุกคนในใต้หล้าต่างรู้ดีว่าท่านอาจารย์ไม่มีความทะเยอทะยานในราชสำนัก แต่ถ้าหากประเทศนี้ต้องการท่านอาจารย์จริงๆ ท่านก็ควรจะละทิ้งอิสรภาพดุจเมฆที่ล่องลอยและนกกระเรียนป่า คิดถึงผู้คนในใต้หล้า ด้วยวิธีนี้เท่านั้น จึงจะสามารถดำเนินตามรอยของมหาปราชญ์ได้” ซูจิ่นพ่าโค้งคำนับท่านจิ้งจือแล้วพูดว่า “ถ้าหากท่านอาจารย์เต็มใจที่จะรับราชการ ข้าคิดว่ามันจะเป็นพรสำหรับราชสำนักและผู้คนในใต้หล้า”ท่านจิ้งจือขมวดคิ้วและมองไปที่ซูจิ่นพ่า หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 443

    “และสถาบันแห่งนี้มีวัตถุประสงค์หลักสองประการ ประการแรกคือ เพื่อปลูกฝังผู้มีความสามารถในการสอบขุนนางสำหรับราชสำนัก”“ประการที่สองคือ การเตรียมทรัพยากรบุคคลสำหรับการขยายการศึกษาทั่วประเทศในอนาคต และรับสมัครผู้มีความรู้จากทั่วทุกมุมโลก ราชวงศ์สามารถจัดสรรงบประมาณพิเศษ เพื่อสนับสนุนนักศึกษาเหล่านี้ได้” แต่ความตั้งใจที่แท้จริงของหลี่เฉินไม่ได้ถูกเปิดเผย เขาต้องการเลือกความสามารถทางวิทยาศาสตร์ในหมู่นักศึกษาเหล่านี้!ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถนำไปใช้ได้!แน่นอนว่าหลี่เฉินไม่ได้สับสนกับการใช้เทคโนโลยีในสมัยนี้ แต่อุปกรณ์ป้องกันเมือง เครื่องมือทางทหาร และเครื่องมือการเกษตรบางอย่าง สามารถพัฒนาได้ด้วยระดับเทคโนโลยีในปัจจุบันด้วยความรู้ในโลกอนาคตที่ติดตัวเขามา เขาเชื่อว่าตราบใดที่เขามีความสามารถเพียงพอ เขาก็สามารถเพิ่มระดับเทคโนโลยีของจักรวรรดิต้าฉิน ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอย่างน้อยสามสิบปีในช่วงสั้นๆ เคล็ดลับวิทยาศาสตร์แค่ข้อเดียว ก็เกือบจะทำลายการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคศักดินาทั้งหมดได้ตอนนี้หลี่เฉินต้องการจะฉีกหลุม หลี่เฉินมีแผนนี้ตั้งแต่ที่เขาพ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-04
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 444

    “เอาล่ะ”หลี่เฉินโบกมือกล่าวว่า “ครั้งนี้เป็นเพราะการทำงานหนักของเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาด้านภาษียังอยู่ในบัญชี อย่าคิดว่าข้าจะไม่สนใจมันอีกต่อไป” “เมืองหลวงแตกต่างจากเวยไห่เว่ย ใช้นิ้วเท้าคิดก็น่าจะมองออกว่าเมืองหลวงนั้นซับซ้อนกว่าเวยไห่เว่ยหลายเท่า การให้โอกาสนี้แก่เจ้านั้นเป็นทั้งของขวัญและเป็นหายนะ แต่สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า”“หากคุณธรรมของเจ้าไม่คู่ควร เจ้าจะต้องรับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง”เจิ้งเป่าหรงยังคงดื่มด่ำกับความยินดีที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาไม่ได้ยินสิ่งใดเลยในขณะนี้ เขาเอาแต่พูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัย กระหม่อมจะบุกน้ำลุยไฟ และยอมตายเพื่อฝ่าบาท” “หวังว่าอย่างนั้น”หลังจากที่หลี่เฉินพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นและพูดกับท่านจิ้งจือว่า “เรื่องที่เวยไห่เว่ยทำให้เราล่าช้าไปนาน ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปแล้ว” ท่านจิ้งจือประสานมือแล้วพูดว่า “ข้า...กระหม่อม ตามส่งเสด็จฝ่าบาท”“ไม่จำเป็น” หลี่เฉินพอใจกับคำแทนตัวของท่านจิ้งจือมาก เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบพิธีหยุมหยิมพวกนี้ ขอมีอิสระมากกว่านี้จะดีกว่า หลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว ข้าจะออกพระราชโองการทันที เม

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-04

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 674

    ความเงียบภายในพระที่นั่ง ไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งใดจะพูดแต่เป็นเพราะทุกคนกำลังรอให้หลี่เฉินปริปากในความเงียบงันนี้ เป็นเหมือนการสะสมพลังเพื่อความขัดแย้งที่ใหญ่ยิ่งกว่าในภายหลังความขัดแย้งนี้ แม้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่ก็มาพร้อมกับความไม่คาดคิดทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วและกะทันหันเกินไปพูดตามตรง มันเกินความคาดหมายของหลี่เฉินไปบ้างเขารู้ว่าจ้าวเสวียนจีต้องลงมือทำบางอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเลือกจะสกัดจับจดหมายของเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ส่งไปยังแคว้นเหลียว หลี่เฉินรู้ทันทีว่า คนเฒ่าผู้นี้เริ่มหมดความอดทนแล้วแต่เพราะความสัมพันธ์อันเข้าใจกันระหว่างเขากับจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินประมาทความสามารถของจ้าวเสวียนจีไปบ้างแต่ตอนนี้ ท่อนไม้ขนาดใหญ่นี้ได้ฟาดหัวของหลี่เฉินจนสติกลับมาถ้าเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาที่มีความรู้จากประวัติศาสตร์หลายพันปี จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ จ้าวเสวียนจีที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ คงกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้เศษซากแล้วในยุคสมัยศักดินา คนที่สามารถเดินเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจได้ ย่อมไม่มีใครธรรมดาแน่นอนเหตุการณ์ขุนนางกดดันเจ้าเหนือหัวนั้น ถือเป็นเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 673

    จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เสนาบดีซั่งกวนก็แค่ทำหน้าที่ของตน หากองค์ชายทรงมีความโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ขุนนางในวังทั้งหมด จะมีใครกล้ารายงานสิ่งใดได้?""ยิ่งไปกว่านั้น ซั่งกวนเจาในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ ย่อมมีอำนาจในการตรวจสอบการทหาร หากเขาพบสิ่งที่ผิดปกติ ก็ย่อมควรทำการสอบสวน แม้ว่าในท้ายที่สุดจะเป็นการเข้าใจผิด ก็สามารถอธิบายได้ และยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าแม่ทัพซูผิงเป่ยเป็นผู้ที่เปิดเผยและไร้ซึ่งความคดโกง องค์ชายจะทรงทำถึงเช่นนี้เพื่ออะไร?"การเผชิญหน้าครั้งนี้ เปลี่ยนจากการที่ซูผิงเป่ยและซั่งกวนเจาเถียงกันไปเป็นการเผชิญหน้าระหว่างหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจีแทนทุกคนในพระที่นั่งต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตึงเครียดและดุเดือดโดยปกติแล้ว องค์รัชทายาทและผู้อาวุโสจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็จะพูดจาครึ่งๆ กลางๆ และถอยกันไปคนละก้าว เพื่อรักษาความสงบในวังแต่วันนี้ ดูเหมือนทุกอย่างจะแตกต่างออกไปทั้งสองฝ่ายที่ดูเหมือนจะโต้แย้งกันเรื่องชีวิตของซั่งกวนเจา กลับกลายเป็นการปะทะกันครั้งแรกระหว่างสองกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าฉินเมื่อทุกคนตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขาจึงย

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 672

    หากปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป องค์รัชทายาทย่อมมีเหตุผลที่จะเอาผิดตนตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้า เพียงแค่ข้อหาดูหมิ่นวีรบุรุษ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องรับโทษหนักแล้วและองค์รัชทายาทที่จับจุดอ่อนไว้ได้ ย่อมไม่มีทางปล่อยตนไปแน่นอนด้วยความหวาดกลัว ซั่งกวนเจาจึงตัดสินใจสู้กลับ เขาตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ความจริงก็คือความจริง ท่านยอมรับเองว่าทำผิดพลาด เช่นนั้นท่านก็ควรรับผิดชอบ”ซูผิงเป่ยหัวเราะเยาะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเสนาบดีซั่งกวนหมายถึงความจริงใด แต่ในสายตาของข้า ความจริงก็คือ...มีคนในแคว้นของเราสมคบกับแคว้นอื่นและขายข่าวกรองของกองทัพเราให้แก่ตงอิ๋ง!”“เรื่องนี้ ข้ามีหลักฐานเป็นคำสารภาพที่เขียนด้วยลายมือของคุโซะจิกิโยทาโร่ ผู้ที่ข้าจับตัวมาได้ก่อนหน้านี้ เขายอมรับว่า มีคนส่งข่าวกรองของกองทัพเราให้เขา จนเขาสามารถจัดการรับมือได้”ดวงตาของซูผิงเป่ยเปล่งประกายดุจสายฟ้าฟาด กวาดมองไปรอบพระที่นั่ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “และคนผู้นั้น อาจจะอยู่ในพระที่นั่งนี้ด้วย!”คำพูดที่ไม่คาดคิดนี้เปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้ทุกคนแตกตื่นในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางส่วนใหญ่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 671

    ร่างกายช่วงบนที่เต็มไปด้วยบาดแผลเป็นไขว้กันไปมา สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นอย่าว่าแต่บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นเลย แม้แต่ขุนนางฝ่ายบู๊เองก็ยังอดชื่นชมซูผิงเป่ยไม่ได้บาดแผลเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศซูผิงเป่ยมองไปยังซั่งกวนเจา พลางกล่าวว่า “ตั้งแต่ข้านำกองทัพออกจากเมืองหลวง จนถึงวันที่กลับมา การเข้าสู่เสียนเฉาเพื่อทำสงครามกับตงอิ๋ง ใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยหกวัน”“ในหนึ่งร้อยหกวันนี้ กองทัพของข้าเข้าปะทะกับกองทัพตงอิ๋งที่มีขนาดเกินพันคน ทั้งใหญ่และเล็ก รวมทั้งหมดสามร้อยยี่สิบห้าครั้ง เฉลี่ยแล้วมากกว่าสามครั้งต่อวัน และศึกระดับกองทัพที่มีกำลังพลมากกว่าหมื่นคนเกิดขึ้นสามสิบสี่ครั้ง ในจำนวนนี้ ข้าลงไปร่วมศึกเองยี่สิบแปดครั้ง”“จากยี่สิบแปดศึก ข้าได้รับบาดเจ็บหกครั้ง ข้าราชบริพารประจำตัวที่ข้านำออกไปด้วยมีทั้งหมดสี่สิบคน กลับมาครบสี่สิบคน แต่ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทุกคน เพราะเมื่อคนเก่าตายในสนามรบ คนใหม่ก็ต้องถูกส่งมาแทน บางคนถึงกับถูกเปลี่ยนหลายรอบ”“ข้าไม่กล้าพูดว่าตนเองกล้าหาญไร้เทียมทาน แต่ข้าทำทุกอย่างสุดกำลังแล้ว”“สำหรับศึกที่ทุ่งราบฟู่หู่ซานที่ท่านพูดถึงนั้น ข้าไ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 670

    คำถามนี้ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ซูเจิ้นถิง ผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว ดวงตาสะท้อนความเคร่งเครียดออกมาหากจะพูดกันตามตรง การบัญชาการศึกตลอดทั้งแผนการของซูผิงเป่ยนั้นถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ที่เพิ่งได้รับมอบหมายให้คุมศึกขนาดกลางครั้งแรกก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วแต่ในสนามรบ ไม่มีใครไร้ข้อผิดพลาด และซูผิงเป่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ที่การรบในทุ่งราบภูเขาฝูหู่ ก่อนศึกใหญ่กับตงอิ๋งเพื่อยุติสงครามให้รวดเร็ว ซูผิงเป่ยเลือกเปิดศึกตัดสินโดยพลการซึ่งส่งผลให้กลยุทธ์ของเราถูกฝ่ายตงอิ๋งจับไต๋ได้ และใช้แผนลวงตอบโต้กลับจนกองทัพกลางที่ซูผิงเป่ยบัญชาการถูกล้อมตี ทำให้กองทัพปีกซ้ายและขวาต้องละทิ้งเป้าหมายเดิมเพื่อหันกลับมาช่วยการถอยทัพเพื่อช่วยเหลือกองทัพกลางเช่นนี้ ทำให้แผนการเดิมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นฝ่ายครอบงำตงอิ๋งกลับกลายเป็นการต้องช่วยชีวิตกองทัพกลางแทนแม้ว่าสุดท้ายสถานการณ์จะพลิกกลับมาได้ แต่กองทัพของเราก็สูญเสียอย่างหนัก ซูผิงเป่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสผลลัพธ์สุดท้ายอาจถือว่าเป็นชัยชนะ แต่หากนำ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 669

    หลี่เฉินกล่าวคำประกาศเพียงหนึ่งประโยค แต่กลับดุจดั่งบัญชาสวรรค์ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีผู้หนึ่งที่มีเสียงดังที่สุดขานประกาศออกมาอย่างกึกก้องการขานประกาศนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมเบื้องหน้า แต่มีผู้วิ่งเหยาะๆ ไปเรียกซูผิงเป่ย ผู้ที่รออยู่ด้านนอกพระที่นั่งให้เข้ามาตำแหน่งของซูผิงเป่ยยังไม่สูงพอที่จะเข้าร่วมการประชุมเช้ายามปกติ แต่วันนี้มีแผนที่จะพระราชทานรางวัลแก่เขา การที่เขามารออยู่ด้านนอกจึงเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ซูผิงเป่ยไม่คาดคิดเลยว่า ก่อนจะได้พูดถึงเรื่องรางวัลสำหรับเขา กลับมีเสียงจากภายในกล่าวถึงการลงโทษเขาแทนเสียงจากในพระที่นั่งดังมาก และเขาที่รออยู่ด้านนอกได้ยินชัดเจนทุกคำซูผิงเป่ยก้าวเข้าพระที่นั่งด้วยท่วงท่าองอาจราวมังกรและพยัคฆ์ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของแม่ทัพที่โดดเด่น เขาคุกเข่าลงตรงกลางพระที่นั่ง ประสานหมัดกล่าวว่า "กระหม่อม ซูผิงเป่ย ขอคารวะองค์รัชทายาท ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "มีบางประเด็นที่เสนาบดีกรมยุทธนาการต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าโดยตรง จงตอบคำถามของเขาให้ละเอียด""พ่ะย่ะค

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 668

    แม้แต่ขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนักยังรู้ว่าควรรักษาคำพูดไว้บ้าง กล่าวอย่างพอดีเจ็ดในสิบส่วน ทิ้งสามส่วนไว้เผื่อโอกาสต่อไปแต่หลิวถงปี้ผู้เป็นแม่ทัพกลับมีอารมณ์ร้อนแรงดั่งเพลิง ไม่เพียงแต่ด่าซั่งกวนเจาอย่างรุนแรง ยังพูดจาตรงไปตรงมาจนเผยให้เห็นจุดอ่อนของซั่งกวนเจาอย่างชัดเจนคราวนี้ ซั่งกวนเจาทนไม่ไหวเช่นกันใบหน้าของเขาแดงก่ำราวตับหมูและตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ “หลิวถงปี้! เจ้าพูดจาใส่ร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าคำพูดที่เลินเล่ออาจนำภัยมาสู่ตัว!”“ภัย?”หลิวถงปี้หัวเราะเยาะ “ข้าเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุสิบหก ตอนอายุสิบเก้าก็ฆ่าทหารฮั่นได้สี่สิบคนด้วยมือเปล่า ในสนามรบล้วนเต็มไปด้วยลมฝนเลือดเนื้อ ข้าผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วนและได้รับตำแหน่งมาด้วยความสามารถของตัวเอง ข้ารู้แค่ว่าคำพูดของคนต้องมีความซื่อสัตย์ จะให้ข้ากลัวภัยจากคำพูด? น่าขำสิ้นดี!”“แต่เจ้าซั่งกวนเจา กลับกล่าวหาซูผิงเป่ยอย่างไร้เหตุผลราวกับว่าเขาเป็นคนทรยศชาติ เจ้าไม่กลัวหรือว่าทหารทั้งหลายที่เห็นต่างจะไปเคาะประตูบ้านเจ้าในยามค่ำคืน และฆ่าทั้งครอบครัวของเจ้าเสีย?”ถ้าก่อนหน้านี้ยังเป็นการด่าทั่วไป ตอนนี้หลิวถงปี้พูดจาข่มขู่ก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 667

    คำกล่าวของซั่งกวนเจาทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบอยู่แล้วในพระที่นั่งไท่เหอกลับกลายเป็นความเงียบที่แทบไม่มีแม้แต่เสียงหายใจสิ่งเดียวที่สามารถได้ยิน คือเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเหล่าขุนนางไม่มีใครคาดคิดว่า ซั่งกวนเจา ซึ่งขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการด้วยการสนับสนุนของจ้าวเสวียนจี และมักทำตัวเงียบๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จะเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบไม่ไว้หน้าซูผิงเป่ยคือใคร?เขาคือหลานชายของเทพเจ้าแห่งสงคราม และเป็นบุตรชายของซูเจิ้นถิงที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในชัยชนะครั้งใหญ่ของสงครามนี้ในขณะที่ตำหนักบูรพากำลังวางแผนจะมอบรางวัลให้ซูผิงเป่ยเพื่อยกย่องและผลักดันเขาให้กลายเป็นตัวแทนของตำหนักบูรพาในแวดวงทหารแต่ซั่งกวนเจากลับเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบตรงๆนี่เป็นความบ้า…หรือความมั่นใจอย่างถึงที่สุดกันแน่?สายตาส่วนใหญ่ในที่ประชุมหันไปมองจ้าวเสวียนจีแต่จ้าวเสวียนจีกลับนิ่งเฉย ราวกับกำลังฟังเรื่องที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาซั่งกวนเจากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “สิ่งที่กระหม่อมกล่าวหาแม่ทัพซูผิงเป่ยนั้น มีทั้งพยานบุคคล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 666

    ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ

DMCA.com Protection Status