ถ้อยคำในบทกวี เป็นศูนย์รวมของพรสวรรค์และอุดมคติของนักวิชาการเมื่อหลี่เฉินเปิดปากท่องกลอนวรรคล่างออกมา กลอนสั้นๆ สองประโยคนี้ สามารถสร้างพายุขึ้นมาจากพื้นดิน และกลืนกินพื้นที่หลายพันลี้ได้ท่านจิ้งจือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาซึ่งจ้องมองไปที่หลี่เฉินก็มีความความหมายลึกซึ้งมากขึ้น ตอนนี้เอง หลี่เฉินก็โน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของจิ่นพ่า หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ยังมีอีกวรรคหนึ่ง ซักผ้าในลำห้วยชิงเจียง วาดจิ่นพ่าคิ้วดำ”การจู่โจมนี้มาแบบไม่ทันตั้งตัวเลยเมื่อถูกลมหายใจร้อนๆ ของหลี่เฉินเป่ารดติ่งหู ซูจิ่นพ่าก็พลันสะดุ้งแต่พอได้ยินกลอนคู่วรรคล่างบรรดทัดที่สองของหลี่เฉิน ติ่งหูของนางก็พลันแดงระเรื่อ รู้สึกหัวใจเต้นแรงเหมือนมีกวางน้อยย่ำกีบไม่หยุดต่อหน้าท่านจิ้งจือปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของใต้หล้า คนผู้นี้กล้าดียังไง?แม้จะรู้สึกละอายใจและขุ่นเคือง แต่ความคิดของหญิงสาวกลับซับซ้อนและหลงใหล กลอนคู่ล่างนี้ เมื่อเทียบกับคำพูดแบบอันธพาลตามปกติของหลี่เฉินแล้ว มันน่าฟังกว่าหลายเท่า ซูจิ่นพ่ารู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ“ฮ่าๆ”เสียงหัวเราะของท่านจิ้งจือขัดจังหวะการสื่อสารระหว่างหล
ท่านจิ้งจือเข้าใจว่าซูจิ่นพ่าหมายถึงอะไร ตั้งแต่สมัยโบราณ คนประเภทไหนที่รับใช้ยากที่สุด? คือราชวงศ์อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนกับอยู่ใกล้เสือ ประโยคที่ว่าจิตใจของกษัตริย์นั้นคาดเดาได้ยาก ประโยคนี้คือความจริง แม้ว่าท่านจิ้งจือจะได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการทั่วใต้หล้า แต่เขาก็ไม่ต้องการทำให้หลี่เฉินขุ่นเคือง ซูจิ่นพ่าส่งทางลงให้กับทั้งสองคนแล้ว ซึ่งหลี่เฉินเองก็ไม่อยากบีบคั้นมากจนเกินไป เขาเปลี่ยนเรื่องและถามว่า “สถานบันกวนไห่แห่งนี้ เป็นของท่านเพียงคนเดียวหรือไม่?”ท่านจิ้งจือตอบว่า “ใช่ ในยามว่าง ข้าจะให้นักเรียนที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาสอบถามเรื่องบทเรียน ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ไม่เสียค่าธรรมเนียม สามารถมาหรือไปได้ตลอดเวลา แล้วแต่ตามสะดวก”“ท่านยังมีสถานที่ที่คล้ายกับสถานบันกวนไห่อีกสามแห่ง ซึ่งอยู่ในทางเหนือและใต้ ตลอดทั้งปี ท่านวิ่งเต้นไปตามสถานที่ทั้งสามแห่งนั่น ทำงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ท่านยังมีการสอนการบรรยายด้วยใช่หรือไม่?” หลี่เฉินถามท่านจิ้งจือไม่แปลกใจเลยที่หลี่เฉินทราบเรื่องนี้ เขากล่าวว่า “ใช่แล้ว ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าคือ การสอนทุกคนในใต้ห
ในชีวิตของเขาขุนนางใหญ่ที่สุดที่เขาเคยพบก็คือซูเจิ้นถิงย้อนกลับไปในปีนั้นที่บริจาคเงินแลกตำแหน่งราชการ เขาต้องคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนทั้งคืนก่อนจะได้เจอหน้า นอกจากนี้ ขุนนางที่เขาติดต่อด้วย ตำแหน่งสูงที่สุดก็เป็นเพียงขั้นที่สามเท่านั้น ส่วนองค์รัชทายาท ว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปนั้น อยู่ห่างจากเขาประมาณหนึ่งแสนแปดหมื่นลี้ เจิ้งเป่าหรงตัวสั่นด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าหากตัวเองพูดผิดไป ศีรษะของเขาจะตกอยู่ในอันตรายคำว่าองค์รัชทายาท ทำให้เด็กรับใช้ที่มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นอยู่ด้านข้างก็พลันตกใจจนตาค้าง เด็กรับใช้ไม่คิดว่า แขกที่มาเยือนในยามเที่ยงวันนี้จะเป็นองค์รัชทายาท?หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่มีจุดไหนที่ตัวเองไม่แสดงความเคารพต่อองค์รัชทายาท เด็กรับใช้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่นี่ ไม่มีใครสนใจการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเด็กรับใช้เลยหลี่เฉินมองไปยังเจิ้งเป่าหรงซึ่งกำลังคุกเข่าตัวสั่นต่อหน้าเขา ปฏิกิริยาแรกคือไม่สนใจเขา แต่หันไปพูดกับท่านจิ้งจือว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าจะยืมห้องของท่านสักครู่?” ท่านจิ้งจือลูบเคราแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นไปตามพระประ
ในช่วงยุคสามก๊ก แม้จะมีราชสำนักอยู่ แต่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับราชสำนักอย่างจริงจัง บรรดาอ๋องทั่วประเทศต่างยึดอำนาจในการจัดเก็บภาษี และอำนาจทางการทหารไว้ในมือ จึงไม่จำเป็นต้องมองสีหน้าของราชสำนักที่อ่อนแออีกต่อไป อำนาจทั้งสองอย่างนี้ คือเครื่องมืออันทรงพลังที่ราชสำนักใช้ควบคุมท้องถิ่นในประเทศ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ส่วนท้องถิ่นจะแทรกแซงรากฐานของประเทศเจิ้งเป่าหรงไม่ซับซ้อนพอที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่หลี่เฉินจะไม่ยอมทน ซึ่งคนที่เข้าใจจุดนี้เช่นกันก็คือท่านจิ้งจือ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและนิ่งเงียบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานบันกวนไห่ตั้งอยู่ในเวยไห่เว่ย ท่านจิ้งจือจึงมีปฏิสัมพันธ์มากมายกับเจิ้งเป่าหรง เขารู้ว่าเจิ้งเป่าหรงไม่ใช่ขุนนางทุจริต ตรงกันข้ามเขาเป็นขุนนางที่ดีและทำงานหนักเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ดังนั้นในบรรดาสถาบันการศึกษาทั้งสามแห่ง ท่านจิ้งจือจึงเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ เขาไม่อาจออกความคิดเห็นได้สำหรับผู้มีอำนาจ หลายครั้งก็ไม่ได้สนใจว่าลูกน้องของตนจะเป็นผู้ทรยศหรือว่าจงภักดี แต่พิจารณาว่าลูกน้องเหล่านั้นเป็นข้ารับใช้ที่มีความสามารถซึ่งเป็
หลี่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้เขาไม่คิดว่าเจิ้งเป่าหรงจะมีความคิดเรื่องการเก็บภาษีคนรวยมากและเก็บคนจนน้อยเหมือนคนรุ่นหลัง หลักการนี้พูดง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำไปใช้จริงเนื่องจากคนรวยมีอำนาจควบคุมทรัพยากรมากกว่าคนจน ขุนนางคนใดก็ตามที่ต้องการจะโจมตีพวกเขา ก็ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล ในทางกลับกัน คนจนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากร้องไห้และตัดพ้อต่อสวรรค์ “แล้วครอบครัวที่ร่ำรวยในเวยไห่เว่ย ก็ปล่อยให้เจ้าทำตามใจชอบ?” หลี่เฉินถามเจิ้งเป่าหรงเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก เขากล่าวว่า “ครอบครัวของกระหม่อมเป็นคนแรกที่จ่ายภาษี และยังจ่ายมากที่สุด พวกเขาจึงไม่มีอะไรจะพูด มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่พอใจ แต่แล้วอย่างไร?”“กระหม่อมเป็นผู้ว่าราชการ ไม่มีจุดอ่อนอะไรให้จับ แม้ว่าจะเก็บภาษีเบ็ดเตล็ดมากไปหน่อย แต่เงินที่ได้ กระหม่อมก็นำมาพัฒนาเวยไห่เว่ย และเสริมการป้องกันทางชายฝั่ง ครัวเรือนที่ร่ำรวยเหล่านั้นมีทุ่งนาทะเลขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นผู้รับผลประโยชน์มากที่สุด หากกระหม่อมล้มลง และเปลี่ยนเป็นคนใหม่มาแทน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจ่ายภาษีน้อยลง แต่ค่าน้ำร้อนน้ำชาของคนให
ตามคำเชิญของท่านจิ้งจือ หลี่เฉินและซูจิ่นพ่าก็ไปที่แท่นชมทะเลที่ลานด้านหลังของสถานบันกวนไห่แท่นชมทะเลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจตนา มันเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปกลางอากาศ ด้านล่างมีคลื่นทะเลคอยซัดเข้าหาอยู่ตลอดเวลา เมื่อนั่งบนแท่นหินก็สามารถหันหน้ารับลมทะเลฟังเสียงคลื่นได้ แม้ว่าลมจะแรงมากก็ตาม เมื่อยืนอยู่ข้างแท่นชมทะเล พิงราวบันไดและมองออกไป จู่ๆ หลี่เฉินก็หันกลับมาถามท่านจิ้งจือที่อยู่ข้างๆ ว่า “ท่านทราบไหมว่าฝั่งตรงข้ามกับทะเลปั๋วไห่ที่ท่านกับข้ายืนอยู่นั้นเป็นที่ใด?” ท่านจิ้งจือตอบง่ายๆ ว่า “หากแผนที่เดินเรือถูกต้อง ก็ควรเป็นเสียนเฉา”หลี่เฉินพยักหน้า เวยไห่เว่ยอยู่ตรงข้ามกับคาบสมุทรเสียนเฉา จุดนี้นักเรียนรุ่นหลังที่ได้เรียนความรู้ทางภูมิศาสตร์มาบ้างจะรู้เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ในยุคศักดินานั้นการที่ท่านจิ้งจือสามารถโพล่งออกมาได้อย่างสบายๆ ก็แสดงให้เห็นถึงความรอบรู้ของเขา“เป็นเสียนเฉาจริงๆ ตอนนี้ ผู้คนนับหมื่นจากต้าฉินกำลังต่อสู้เพื่อประเทศของเราบนดินแดนอีกฟากหนึ่งของทะเล” หลี่เฉินกล่าวท่านจิ้งจือขมวดคิ้วและพูดว่า “ต่อสู้เพื่อประเทศ? เกรงว่านั่นคงเป็นการต่อสู้เพื่อเสียนเ
คำพูดของหลี่เฉินทำให้ท่านจิ้งจือเล็กน้อย ความขัดแย้งระหว่างความคิดของทั้งสองคนนั้น ตอนนี้เริ่มรุนแรงอย่างถึงที่สุดแล้วท่านจิ้งจือกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นั่นคือเหตุผลที่เราควรเก็บตัวและรอเวลาของเรา ฝ่าบาทได้รับการสั่งสอนจากประวัติศาสตร์ แล้วจะไม่ทราบเรื่องราวของโกวเจี้ยน เจ้าผู้ครองนครรัฐเยว่ ที่นอนฟืนแข็ง กินดีขมได้อย่างไร? การถอยหลังชั่วคราว ถือเป็นกลยุทธ์แผนขัดตาทัพเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า และนี่ก็ไม่ใช่ความขี้ขลาด”“การถอยครั้งนี้นั่นหมายความว่าผู้คนนับหมื่นหรือหลายแสนคนในต้าฉินของเราจะถูกเหยียบย่ำ แน่นอนว่าเหล่าขุนนางและบรรดาอ๋องทั้งหลายยังคงสามารถร้องรำทำเพลงอย่างสงบสุขได้ และเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งที่อยู่ด้านหลัง แต่ความทุกข์ทรมานของผู้คนบริเวณชายแดน ใครเล่าจะสงสารพวกเขาบ้าง?”“ข้าไม่ใช่เจ้าผู้ครองนครรัฐเยว่ และคนเถื่อนบนทุ่งหญ้าก็ไม่ใช่ฟู่ไจ๋ ถ้าข้ายังอดกลั้นต่อไป และปล่อยให้พวกเขาเห็นสภาพที่อ่อนแอของจักรวรรดิอย่างชัดเจน พวกเขาจะกางกรงเล็บและรีบพุ่งเข้ามาฉีกต้าฉินเป็นชิ้น ๆ”เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลี่เฉินก็หยุดพูดชั่วคราว หันกลับมามองท่านจิ้ง
อย่างไรก็ตาม ท่านจิ้งจือสามารถยืนหยัดมาได้หลายปีแล้ว ไม่ว่าจะมีคนข่มขู่และชักจูงเขามากเพียงใด เขาก็ไม่เคยหวั่นไหวในจุดยืนของเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลี่เฉินจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ สิ่งที่หลี่เฉินต้องการก็คือชื่อเสียงของท่านจิ้งจือ หากเขาต้องการวางใครสักคนไว้ในสำนักราชเลขา ท่านจิ้งจือคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในต้าฉินเพราะถ้านำคนอื่นไปวาง สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือการถูกละเลย จากนั้นก็ถูกจ้าวเสวียนจีสังหาร มีเพียงชื่อเสียงของท่านจิ้งจือเท่านั้นที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และชื่อเสียงนี้เองที่ทำให้หลี่เฉินต้องตั้งรับมีแค่ท่านจิ้งจือยอมมาด้วยความตั้งใจเท่านั้น สถานะของหลี่เฉินในใจของนักวิชาการทั่วใต้หล้าจึงจะพุ่งสูงขึ้น สถานะนี้ยากที่จะแทนที่ด้วยสิ่งอื่นใด ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่หลี่เฉินเดินทางมาไกลเป็นพันลี้ และทุ่มเทความพยายามทั้งหมด เพื่อโน้มน้าวท่านจิ้งจือให้เข้าร่วมราชสำนัก คิดถึงตรงนี้ หลี่เฉินจึงเปิดปากพูดว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่มีความทะเยอทะยานจริงๆ ข้าก็จะไม่บังคับ”พูดจบ ไม่รอให้ท่านจิ้งจือและซูจิ่นพ่าได้ตอบสนอง หลี่เฉินก็กล่าวต่อไปว่า “แต่ท่านอาจารย์ทราบหรือไม่ว่า ปัญหาใ