แชร์

บทที่ 432

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-01 18:00:01
เมื่อหลี่เฉินได้ยินดังนั้น เขาก็ก้าวผ่านประตูเข้าไปก่อน

ซูจิ่นพ่ากลืนสิ่งที่กำลังจะพูดกลับคืนมา และกระทืบเท้าวิ่งตามไป นางทำได้เพียงอธิษฐานขอให้ทั้งสองคนไม่ขัดแย้งกันขึ้นมา

เมื่อเดินเข้ามาในประตูหลัก ผ่านกำแพงกว้าง เดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องโถงหลัก เมื่อหลี่เฉินและกลุ่มของเขาเดินเข้ามา ก็เห็นชายชราหนวดเคราสีขาวเดินออกจากห้องโดยสวมเพียงถุงเท้า

นี่เป็นการพบกันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรกระหว่างหลี่เฉินและท่านจิ้งจือ

อีกฝ่ายมีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแกร่ง ดูกำยำล่ำสันมาก แม้จะอายุเกินเจ็ดสิบปีไปแล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงอยู่ ผิวหน้าคล้ำแดด ดวงตาเป็นประกาย ถ้าสามารถเปลี่ยนผมขาวเป็นผมดำได้ บางคนอาจจะเชื่อว่าเขาอายุสี่สิบหรือห้าสิบปี

เมื่อเห็นเขาไม่สวมแม้แต่ถุงเท้า ก็ทำให้หลี่เฉินอดประหลาดใจไม่ได้

“ฮ่าๆ!”

ท่านจิ้งจือหัวเราะเสียงดัง และกล่าวอย่างเบิกบานใจว่า “นางหนูตระกูลซู เจ้าพาผู้แต่ง < ลำนำหอเถิงหวัง> มาด้วยหรือ?”

เสียงหัวเราะนี้ดูห้าวหาญ คล้ายกับคนในยุทธภพมากกว่านักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกวรรณกรรม

หลี่เฉินรู้สึกว่าท่านจิ้งจือตรงหน้าเขา ดูแตกต่างจากปราชญ์ผู้อาวุโสในจินตนาการของเขามาก วาจาเ
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 433

    ถ้อยคำในบทกวี เป็นศูนย์รวมของพรสวรรค์และอุดมคติของนักวิชาการเมื่อหลี่เฉินเปิดปากท่องกลอนวรรคล่างออกมา กลอนสั้นๆ สองประโยคนี้ สามารถสร้างพายุขึ้นมาจากพื้นดิน และกลืนกินพื้นที่หลายพันลี้ได้ท่านจิ้งจือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาซึ่งจ้องมองไปที่หลี่เฉินก็มีความความหมายลึกซึ้งมากขึ้น ตอนนี้เอง หลี่เฉินก็โน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของจิ่นพ่า หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ยังมีอีกวรรคหนึ่ง ซักผ้าในลำห้วยชิงเจียง วาดจิ่นพ่าคิ้วดำ”การจู่โจมนี้มาแบบไม่ทันตั้งตัวเลยเมื่อถูกลมหายใจร้อนๆ ของหลี่เฉินเป่ารดติ่งหู ซูจิ่นพ่าก็พลันสะดุ้งแต่พอได้ยินกลอนคู่วรรคล่างบรรดทัดที่สองของหลี่เฉิน ติ่งหูของนางก็พลันแดงระเรื่อ รู้สึกหัวใจเต้นแรงเหมือนมีกวางน้อยย่ำกีบไม่หยุดต่อหน้าท่านจิ้งจือปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของใต้หล้า คนผู้นี้กล้าดียังไง?แม้จะรู้สึกละอายใจและขุ่นเคือง แต่ความคิดของหญิงสาวกลับซับซ้อนและหลงใหล กลอนคู่ล่างนี้ เมื่อเทียบกับคำพูดแบบอันธพาลตามปกติของหลี่เฉินแล้ว มันน่าฟังกว่าหลายเท่า ซูจิ่นพ่ารู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ“ฮ่าๆ”เสียงหัวเราะของท่านจิ้งจือขัดจังหวะการสื่อสารระหว่างหล

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-01
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 434

    ท่านจิ้งจือเข้าใจว่าซูจิ่นพ่าหมายถึงอะไร ตั้งแต่สมัยโบราณ คนประเภทไหนที่รับใช้ยากที่สุด? คือราชวงศ์อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนกับอยู่ใกล้เสือ ประโยคที่ว่าจิตใจของกษัตริย์นั้นคาดเดาได้ยาก ประโยคนี้คือความจริง แม้ว่าท่านจิ้งจือจะได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการทั่วใต้หล้า แต่เขาก็ไม่ต้องการทำให้หลี่เฉินขุ่นเคือง ซูจิ่นพ่าส่งทางลงให้กับทั้งสองคนแล้ว ซึ่งหลี่เฉินเองก็ไม่อยากบีบคั้นมากจนเกินไป เขาเปลี่ยนเรื่องและถามว่า “สถานบันกวนไห่แห่งนี้ เป็นของท่านเพียงคนเดียวหรือไม่?”ท่านจิ้งจือตอบว่า “ใช่ ในยามว่าง ข้าจะให้นักเรียนที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาสอบถามเรื่องบทเรียน ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ไม่เสียค่าธรรมเนียม สามารถมาหรือไปได้ตลอดเวลา แล้วแต่ตามสะดวก”“ท่านยังมีสถานที่ที่คล้ายกับสถานบันกวนไห่อีกสามแห่ง ซึ่งอยู่ในทางเหนือและใต้ ตลอดทั้งปี ท่านวิ่งเต้นไปตามสถานที่ทั้งสามแห่งนั่น ทำงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ท่านยังมีการสอนการบรรยายด้วยใช่หรือไม่?” หลี่เฉินถามท่านจิ้งจือไม่แปลกใจเลยที่หลี่เฉินทราบเรื่องนี้ เขากล่าวว่า “ใช่แล้ว ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าคือ การสอนทุกคนในใต้ห

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-01
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 435

    ในชีวิตของเขาขุนนางใหญ่ที่สุดที่เขาเคยพบก็คือซูเจิ้นถิงย้อนกลับไปในปีนั้นที่บริจาคเงินแลกตำแหน่งราชการ เขาต้องคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนทั้งคืนก่อนจะได้เจอหน้า นอกจากนี้ ขุนนางที่เขาติดต่อด้วย ตำแหน่งสูงที่สุดก็เป็นเพียงขั้นที่สามเท่านั้น ส่วนองค์รัชทายาท ว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปนั้น อยู่ห่างจากเขาประมาณหนึ่งแสนแปดหมื่นลี้ เจิ้งเป่าหรงตัวสั่นด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าหากตัวเองพูดผิดไป ศีรษะของเขาจะตกอยู่ในอันตรายคำว่าองค์รัชทายาท ทำให้เด็กรับใช้ที่มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นอยู่ด้านข้างก็พลันตกใจจนตาค้าง เด็กรับใช้ไม่คิดว่า แขกที่มาเยือนในยามเที่ยงวันนี้จะเป็นองค์รัชทายาท?หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่มีจุดไหนที่ตัวเองไม่แสดงความเคารพต่อองค์รัชทายาท เด็กรับใช้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่นี่ ไม่มีใครสนใจการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเด็กรับใช้เลยหลี่เฉินมองไปยังเจิ้งเป่าหรงซึ่งกำลังคุกเข่าตัวสั่นต่อหน้าเขา ปฏิกิริยาแรกคือไม่สนใจเขา แต่หันไปพูดกับท่านจิ้งจือว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าจะยืมห้องของท่านสักครู่?” ท่านจิ้งจือลูบเคราแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นไปตามพระประ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-02
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 436

    ในช่วงยุคสามก๊ก แม้จะมีราชสำนักอยู่ แต่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับราชสำนักอย่างจริงจัง บรรดาอ๋องทั่วประเทศต่างยึดอำนาจในการจัดเก็บภาษี และอำนาจทางการทหารไว้ในมือ จึงไม่จำเป็นต้องมองสีหน้าของราชสำนักที่อ่อนแออีกต่อไป อำนาจทั้งสองอย่างนี้ คือเครื่องมืออันทรงพลังที่ราชสำนักใช้ควบคุมท้องถิ่นในประเทศ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ส่วนท้องถิ่นจะแทรกแซงรากฐานของประเทศเจิ้งเป่าหรงไม่ซับซ้อนพอที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่หลี่เฉินจะไม่ยอมทน ซึ่งคนที่เข้าใจจุดนี้เช่นกันก็คือท่านจิ้งจือ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและนิ่งเงียบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานบันกวนไห่ตั้งอยู่ในเวยไห่เว่ย ท่านจิ้งจือจึงมีปฏิสัมพันธ์มากมายกับเจิ้งเป่าหรง เขารู้ว่าเจิ้งเป่าหรงไม่ใช่ขุนนางทุจริต ตรงกันข้ามเขาเป็นขุนนางที่ดีและทำงานหนักเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ดังนั้นในบรรดาสถาบันการศึกษาทั้งสามแห่ง ท่านจิ้งจือจึงเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ เขาไม่อาจออกความคิดเห็นได้สำหรับผู้มีอำนาจ หลายครั้งก็ไม่ได้สนใจว่าลูกน้องของตนจะเป็นผู้ทรยศหรือว่าจงภักดี แต่พิจารณาว่าลูกน้องเหล่านั้นเป็นข้ารับใช้ที่มีความสามารถซึ่งเป็

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-02
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 437

    หลี่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้เขาไม่คิดว่าเจิ้งเป่าหรงจะมีความคิดเรื่องการเก็บภาษีคนรวยมากและเก็บคนจนน้อยเหมือนคนรุ่นหลัง หลักการนี้พูดง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำไปใช้จริงเนื่องจากคนรวยมีอำนาจควบคุมทรัพยากรมากกว่าคนจน ขุนนางคนใดก็ตามที่ต้องการจะโจมตีพวกเขา ก็ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล ในทางกลับกัน คนจนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากร้องไห้และตัดพ้อต่อสวรรค์ “แล้วครอบครัวที่ร่ำรวยในเวยไห่เว่ย ก็ปล่อยให้เจ้าทำตามใจชอบ?” หลี่เฉินถามเจิ้งเป่าหรงเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก เขากล่าวว่า “ครอบครัวของกระหม่อมเป็นคนแรกที่จ่ายภาษี และยังจ่ายมากที่สุด พวกเขาจึงไม่มีอะไรจะพูด มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่พอใจ แต่แล้วอย่างไร?”“กระหม่อมเป็นผู้ว่าราชการ ไม่มีจุดอ่อนอะไรให้จับ แม้ว่าจะเก็บภาษีเบ็ดเตล็ดมากไปหน่อย แต่เงินที่ได้ กระหม่อมก็นำมาพัฒนาเวยไห่เว่ย และเสริมการป้องกันทางชายฝั่ง ครัวเรือนที่ร่ำรวยเหล่านั้นมีทุ่งนาทะเลขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นผู้รับผลประโยชน์มากที่สุด หากกระหม่อมล้มลง และเปลี่ยนเป็นคนใหม่มาแทน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจ่ายภาษีน้อยลง แต่ค่าน้ำร้อนน้ำชาของคนให

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-02
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 438

    ตามคำเชิญของท่านจิ้งจือ หลี่เฉินและซูจิ่นพ่าก็ไปที่แท่นชมทะเลที่ลานด้านหลังของสถานบันกวนไห่แท่นชมทะเลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจตนา มันเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปกลางอากาศ ด้านล่างมีคลื่นทะเลคอยซัดเข้าหาอยู่ตลอดเวลา เมื่อนั่งบนแท่นหินก็สามารถหันหน้ารับลมทะเลฟังเสียงคลื่นได้ แม้ว่าลมจะแรงมากก็ตาม เมื่อยืนอยู่ข้างแท่นชมทะเล พิงราวบันไดและมองออกไป จู่ๆ หลี่เฉินก็หันกลับมาถามท่านจิ้งจือที่อยู่ข้างๆ ว่า “ท่านทราบไหมว่าฝั่งตรงข้ามกับทะเลปั๋วไห่ที่ท่านกับข้ายืนอยู่นั้นเป็นที่ใด?” ท่านจิ้งจือตอบง่ายๆ ว่า “หากแผนที่เดินเรือถูกต้อง ก็ควรเป็นเสียนเฉา”หลี่เฉินพยักหน้า เวยไห่เว่ยอยู่ตรงข้ามกับคาบสมุทรเสียนเฉา จุดนี้นักเรียนรุ่นหลังที่ได้เรียนความรู้ทางภูมิศาสตร์มาบ้างจะรู้เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ในยุคศักดินานั้นการที่ท่านจิ้งจือสามารถโพล่งออกมาได้อย่างสบายๆ ก็แสดงให้เห็นถึงความรอบรู้ของเขา“เป็นเสียนเฉาจริงๆ ตอนนี้ ผู้คนนับหมื่นจากต้าฉินกำลังต่อสู้เพื่อประเทศของเราบนดินแดนอีกฟากหนึ่งของทะเล” หลี่เฉินกล่าวท่านจิ้งจือขมวดคิ้วและพูดว่า “ต่อสู้เพื่อประเทศ? เกรงว่านั่นคงเป็นการต่อสู้เพื่อเสียนเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-02
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 439

    คำพูดของหลี่เฉินทำให้ท่านจิ้งจือเล็กน้อย ความขัดแย้งระหว่างความคิดของทั้งสองคนนั้น ตอนนี้เริ่มรุนแรงอย่างถึงที่สุดแล้วท่านจิ้งจือกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นั่นคือเหตุผลที่เราควรเก็บตัวและรอเวลาของเรา ฝ่าบาทได้รับการสั่งสอนจากประวัติศาสตร์ แล้วจะไม่ทราบเรื่องราวของโกวเจี้ยน เจ้าผู้ครองนครรัฐเยว่ ที่นอนฟืนแข็ง กินดีขมได้อย่างไร? การถอยหลังชั่วคราว ถือเป็นกลยุทธ์แผนขัดตาทัพเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า และนี่ก็ไม่ใช่ความขี้ขลาด”“การถอยครั้งนี้นั่นหมายความว่าผู้คนนับหมื่นหรือหลายแสนคนในต้าฉินของเราจะถูกเหยียบย่ำ แน่นอนว่าเหล่าขุนนางและบรรดาอ๋องทั้งหลายยังคงสามารถร้องรำทำเพลงอย่างสงบสุขได้ และเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งที่อยู่ด้านหลัง แต่ความทุกข์ทรมานของผู้คนบริเวณชายแดน ใครเล่าจะสงสารพวกเขาบ้าง?”“ข้าไม่ใช่เจ้าผู้ครองนครรัฐเยว่ และคนเถื่อนบนทุ่งหญ้าก็ไม่ใช่ฟู่ไจ๋ ถ้าข้ายังอดกลั้นต่อไป และปล่อยให้พวกเขาเห็นสภาพที่อ่อนแอของจักรวรรดิอย่างชัดเจน พวกเขาจะกางกรงเล็บและรีบพุ่งเข้ามาฉีกต้าฉินเป็นชิ้น ๆ”เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลี่เฉินก็หยุดพูดชั่วคราว หันกลับมามองท่านจิ้ง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03
  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 440

    อย่างไรก็ตาม ท่านจิ้งจือสามารถยืนหยัดมาได้หลายปีแล้ว ไม่ว่าจะมีคนข่มขู่และชักจูงเขามากเพียงใด เขาก็ไม่เคยหวั่นไหวในจุดยืนของเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลี่เฉินจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ สิ่งที่หลี่เฉินต้องการก็คือชื่อเสียงของท่านจิ้งจือ หากเขาต้องการวางใครสักคนไว้ในสำนักราชเลขา ท่านจิ้งจือคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในต้าฉินเพราะถ้านำคนอื่นไปวาง สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือการถูกละเลย จากนั้นก็ถูกจ้าวเสวียนจีสังหาร มีเพียงชื่อเสียงของท่านจิ้งจือเท่านั้นที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และชื่อเสียงนี้เองที่ทำให้หลี่เฉินต้องตั้งรับมีแค่ท่านจิ้งจือยอมมาด้วยความตั้งใจเท่านั้น สถานะของหลี่เฉินในใจของนักวิชาการทั่วใต้หล้าจึงจะพุ่งสูงขึ้น สถานะนี้ยากที่จะแทนที่ด้วยสิ่งอื่นใด ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่หลี่เฉินเดินทางมาไกลเป็นพันลี้ และทุ่มเทความพยายามทั้งหมด เพื่อโน้มน้าวท่านจิ้งจือให้เข้าร่วมราชสำนัก คิดถึงตรงนี้ หลี่เฉินจึงเปิดปากพูดว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่มีความทะเยอทะยานจริงๆ ข้าก็จะไม่บังคับ”พูดจบ ไม่รอให้ท่านจิ้งจือและซูจิ่นพ่าได้ตอบสนอง หลี่เฉินก็กล่าวต่อไปว่า “แต่ท่านอาจารย์ทราบหรือไม่ว่า ปัญหาใ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 674

    ความเงียบภายในพระที่นั่ง ไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งใดจะพูดแต่เป็นเพราะทุกคนกำลังรอให้หลี่เฉินปริปากในความเงียบงันนี้ เป็นเหมือนการสะสมพลังเพื่อความขัดแย้งที่ใหญ่ยิ่งกว่าในภายหลังความขัดแย้งนี้ แม้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่ก็มาพร้อมกับความไม่คาดคิดทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วและกะทันหันเกินไปพูดตามตรง มันเกินความคาดหมายของหลี่เฉินไปบ้างเขารู้ว่าจ้าวเสวียนจีต้องลงมือทำบางอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเลือกจะสกัดจับจดหมายของเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ส่งไปยังแคว้นเหลียว หลี่เฉินรู้ทันทีว่า คนเฒ่าผู้นี้เริ่มหมดความอดทนแล้วแต่เพราะความสัมพันธ์อันเข้าใจกันระหว่างเขากับจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินประมาทความสามารถของจ้าวเสวียนจีไปบ้างแต่ตอนนี้ ท่อนไม้ขนาดใหญ่นี้ได้ฟาดหัวของหลี่เฉินจนสติกลับมาถ้าเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาที่มีความรู้จากประวัติศาสตร์หลายพันปี จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ จ้าวเสวียนจีที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ คงกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้เศษซากแล้วในยุคสมัยศักดินา คนที่สามารถเดินเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจได้ ย่อมไม่มีใครธรรมดาแน่นอนเหตุการณ์ขุนนางกดดันเจ้าเหนือหัวนั้น ถือเป็นเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 673

    จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เสนาบดีซั่งกวนก็แค่ทำหน้าที่ของตน หากองค์ชายทรงมีความโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ขุนนางในวังทั้งหมด จะมีใครกล้ารายงานสิ่งใดได้?""ยิ่งไปกว่านั้น ซั่งกวนเจาในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ ย่อมมีอำนาจในการตรวจสอบการทหาร หากเขาพบสิ่งที่ผิดปกติ ก็ย่อมควรทำการสอบสวน แม้ว่าในท้ายที่สุดจะเป็นการเข้าใจผิด ก็สามารถอธิบายได้ และยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าแม่ทัพซูผิงเป่ยเป็นผู้ที่เปิดเผยและไร้ซึ่งความคดโกง องค์ชายจะทรงทำถึงเช่นนี้เพื่ออะไร?"การเผชิญหน้าครั้งนี้ เปลี่ยนจากการที่ซูผิงเป่ยและซั่งกวนเจาเถียงกันไปเป็นการเผชิญหน้าระหว่างหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจีแทนทุกคนในพระที่นั่งต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตึงเครียดและดุเดือดโดยปกติแล้ว องค์รัชทายาทและผู้อาวุโสจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็จะพูดจาครึ่งๆ กลางๆ และถอยกันไปคนละก้าว เพื่อรักษาความสงบในวังแต่วันนี้ ดูเหมือนทุกอย่างจะแตกต่างออกไปทั้งสองฝ่ายที่ดูเหมือนจะโต้แย้งกันเรื่องชีวิตของซั่งกวนเจา กลับกลายเป็นการปะทะกันครั้งแรกระหว่างสองกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าฉินเมื่อทุกคนตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขาจึงย

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 672

    หากปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป องค์รัชทายาทย่อมมีเหตุผลที่จะเอาผิดตนตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้า เพียงแค่ข้อหาดูหมิ่นวีรบุรุษ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องรับโทษหนักแล้วและองค์รัชทายาทที่จับจุดอ่อนไว้ได้ ย่อมไม่มีทางปล่อยตนไปแน่นอนด้วยความหวาดกลัว ซั่งกวนเจาจึงตัดสินใจสู้กลับ เขาตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ความจริงก็คือความจริง ท่านยอมรับเองว่าทำผิดพลาด เช่นนั้นท่านก็ควรรับผิดชอบ”ซูผิงเป่ยหัวเราะเยาะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเสนาบดีซั่งกวนหมายถึงความจริงใด แต่ในสายตาของข้า ความจริงก็คือ...มีคนในแคว้นของเราสมคบกับแคว้นอื่นและขายข่าวกรองของกองทัพเราให้แก่ตงอิ๋ง!”“เรื่องนี้ ข้ามีหลักฐานเป็นคำสารภาพที่เขียนด้วยลายมือของคุโซะจิกิโยทาโร่ ผู้ที่ข้าจับตัวมาได้ก่อนหน้านี้ เขายอมรับว่า มีคนส่งข่าวกรองของกองทัพเราให้เขา จนเขาสามารถจัดการรับมือได้”ดวงตาของซูผิงเป่ยเปล่งประกายดุจสายฟ้าฟาด กวาดมองไปรอบพระที่นั่ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “และคนผู้นั้น อาจจะอยู่ในพระที่นั่งนี้ด้วย!”คำพูดที่ไม่คาดคิดนี้เปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้ทุกคนแตกตื่นในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางส่วนใหญ่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 671

    ร่างกายช่วงบนที่เต็มไปด้วยบาดแผลเป็นไขว้กันไปมา สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นอย่าว่าแต่บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นเลย แม้แต่ขุนนางฝ่ายบู๊เองก็ยังอดชื่นชมซูผิงเป่ยไม่ได้บาดแผลเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศซูผิงเป่ยมองไปยังซั่งกวนเจา พลางกล่าวว่า “ตั้งแต่ข้านำกองทัพออกจากเมืองหลวง จนถึงวันที่กลับมา การเข้าสู่เสียนเฉาเพื่อทำสงครามกับตงอิ๋ง ใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยหกวัน”“ในหนึ่งร้อยหกวันนี้ กองทัพของข้าเข้าปะทะกับกองทัพตงอิ๋งที่มีขนาดเกินพันคน ทั้งใหญ่และเล็ก รวมทั้งหมดสามร้อยยี่สิบห้าครั้ง เฉลี่ยแล้วมากกว่าสามครั้งต่อวัน และศึกระดับกองทัพที่มีกำลังพลมากกว่าหมื่นคนเกิดขึ้นสามสิบสี่ครั้ง ในจำนวนนี้ ข้าลงไปร่วมศึกเองยี่สิบแปดครั้ง”“จากยี่สิบแปดศึก ข้าได้รับบาดเจ็บหกครั้ง ข้าราชบริพารประจำตัวที่ข้านำออกไปด้วยมีทั้งหมดสี่สิบคน กลับมาครบสี่สิบคน แต่ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทุกคน เพราะเมื่อคนเก่าตายในสนามรบ คนใหม่ก็ต้องถูกส่งมาแทน บางคนถึงกับถูกเปลี่ยนหลายรอบ”“ข้าไม่กล้าพูดว่าตนเองกล้าหาญไร้เทียมทาน แต่ข้าทำทุกอย่างสุดกำลังแล้ว”“สำหรับศึกที่ทุ่งราบฟู่หู่ซานที่ท่านพูดถึงนั้น ข้าไ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 670

    คำถามนี้ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ซูเจิ้นถิง ผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว ดวงตาสะท้อนความเคร่งเครียดออกมาหากจะพูดกันตามตรง การบัญชาการศึกตลอดทั้งแผนการของซูผิงเป่ยนั้นถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ที่เพิ่งได้รับมอบหมายให้คุมศึกขนาดกลางครั้งแรกก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วแต่ในสนามรบ ไม่มีใครไร้ข้อผิดพลาด และซูผิงเป่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ที่การรบในทุ่งราบภูเขาฝูหู่ ก่อนศึกใหญ่กับตงอิ๋งเพื่อยุติสงครามให้รวดเร็ว ซูผิงเป่ยเลือกเปิดศึกตัดสินโดยพลการซึ่งส่งผลให้กลยุทธ์ของเราถูกฝ่ายตงอิ๋งจับไต๋ได้ และใช้แผนลวงตอบโต้กลับจนกองทัพกลางที่ซูผิงเป่ยบัญชาการถูกล้อมตี ทำให้กองทัพปีกซ้ายและขวาต้องละทิ้งเป้าหมายเดิมเพื่อหันกลับมาช่วยการถอยทัพเพื่อช่วยเหลือกองทัพกลางเช่นนี้ ทำให้แผนการเดิมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นฝ่ายครอบงำตงอิ๋งกลับกลายเป็นการต้องช่วยชีวิตกองทัพกลางแทนแม้ว่าสุดท้ายสถานการณ์จะพลิกกลับมาได้ แต่กองทัพของเราก็สูญเสียอย่างหนัก ซูผิงเป่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสผลลัพธ์สุดท้ายอาจถือว่าเป็นชัยชนะ แต่หากนำ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 669

    หลี่เฉินกล่าวคำประกาศเพียงหนึ่งประโยค แต่กลับดุจดั่งบัญชาสวรรค์ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีผู้หนึ่งที่มีเสียงดังที่สุดขานประกาศออกมาอย่างกึกก้องการขานประกาศนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมเบื้องหน้า แต่มีผู้วิ่งเหยาะๆ ไปเรียกซูผิงเป่ย ผู้ที่รออยู่ด้านนอกพระที่นั่งให้เข้ามาตำแหน่งของซูผิงเป่ยยังไม่สูงพอที่จะเข้าร่วมการประชุมเช้ายามปกติ แต่วันนี้มีแผนที่จะพระราชทานรางวัลแก่เขา การที่เขามารออยู่ด้านนอกจึงเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ซูผิงเป่ยไม่คาดคิดเลยว่า ก่อนจะได้พูดถึงเรื่องรางวัลสำหรับเขา กลับมีเสียงจากภายในกล่าวถึงการลงโทษเขาแทนเสียงจากในพระที่นั่งดังมาก และเขาที่รออยู่ด้านนอกได้ยินชัดเจนทุกคำซูผิงเป่ยก้าวเข้าพระที่นั่งด้วยท่วงท่าองอาจราวมังกรและพยัคฆ์ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของแม่ทัพที่โดดเด่น เขาคุกเข่าลงตรงกลางพระที่นั่ง ประสานหมัดกล่าวว่า "กระหม่อม ซูผิงเป่ย ขอคารวะองค์รัชทายาท ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "มีบางประเด็นที่เสนาบดีกรมยุทธนาการต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าโดยตรง จงตอบคำถามของเขาให้ละเอียด""พ่ะย่ะค

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 668

    แม้แต่ขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนักยังรู้ว่าควรรักษาคำพูดไว้บ้าง กล่าวอย่างพอดีเจ็ดในสิบส่วน ทิ้งสามส่วนไว้เผื่อโอกาสต่อไปแต่หลิวถงปี้ผู้เป็นแม่ทัพกลับมีอารมณ์ร้อนแรงดั่งเพลิง ไม่เพียงแต่ด่าซั่งกวนเจาอย่างรุนแรง ยังพูดจาตรงไปตรงมาจนเผยให้เห็นจุดอ่อนของซั่งกวนเจาอย่างชัดเจนคราวนี้ ซั่งกวนเจาทนไม่ไหวเช่นกันใบหน้าของเขาแดงก่ำราวตับหมูและตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ “หลิวถงปี้! เจ้าพูดจาใส่ร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าคำพูดที่เลินเล่ออาจนำภัยมาสู่ตัว!”“ภัย?”หลิวถงปี้หัวเราะเยาะ “ข้าเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุสิบหก ตอนอายุสิบเก้าก็ฆ่าทหารฮั่นได้สี่สิบคนด้วยมือเปล่า ในสนามรบล้วนเต็มไปด้วยลมฝนเลือดเนื้อ ข้าผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วนและได้รับตำแหน่งมาด้วยความสามารถของตัวเอง ข้ารู้แค่ว่าคำพูดของคนต้องมีความซื่อสัตย์ จะให้ข้ากลัวภัยจากคำพูด? น่าขำสิ้นดี!”“แต่เจ้าซั่งกวนเจา กลับกล่าวหาซูผิงเป่ยอย่างไร้เหตุผลราวกับว่าเขาเป็นคนทรยศชาติ เจ้าไม่กลัวหรือว่าทหารทั้งหลายที่เห็นต่างจะไปเคาะประตูบ้านเจ้าในยามค่ำคืน และฆ่าทั้งครอบครัวของเจ้าเสีย?”ถ้าก่อนหน้านี้ยังเป็นการด่าทั่วไป ตอนนี้หลิวถงปี้พูดจาข่มขู่ก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 667

    คำกล่าวของซั่งกวนเจาทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบอยู่แล้วในพระที่นั่งไท่เหอกลับกลายเป็นความเงียบที่แทบไม่มีแม้แต่เสียงหายใจสิ่งเดียวที่สามารถได้ยิน คือเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเหล่าขุนนางไม่มีใครคาดคิดว่า ซั่งกวนเจา ซึ่งขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการด้วยการสนับสนุนของจ้าวเสวียนจี และมักทำตัวเงียบๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จะเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบไม่ไว้หน้าซูผิงเป่ยคือใคร?เขาคือหลานชายของเทพเจ้าแห่งสงคราม และเป็นบุตรชายของซูเจิ้นถิงที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในชัยชนะครั้งใหญ่ของสงครามนี้ในขณะที่ตำหนักบูรพากำลังวางแผนจะมอบรางวัลให้ซูผิงเป่ยเพื่อยกย่องและผลักดันเขาให้กลายเป็นตัวแทนของตำหนักบูรพาในแวดวงทหารแต่ซั่งกวนเจากลับเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบตรงๆนี่เป็นความบ้า…หรือความมั่นใจอย่างถึงที่สุดกันแน่?สายตาส่วนใหญ่ในที่ประชุมหันไปมองจ้าวเสวียนจีแต่จ้าวเสวียนจีกลับนิ่งเฉย ราวกับกำลังฟังเรื่องที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาซั่งกวนเจากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “สิ่งที่กระหม่อมกล่าวหาแม่ทัพซูผิงเป่ยนั้น มีทั้งพยานบุคคล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 666

    ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ

DMCA.com Protection Status