หลี่เฉินเข้าไปในหอ และกำลังจะขึ้นบันได แต่ก็มีเสียงจากทางด้านหลังหยุดเขาเอาไว้เมื่อหลี่เฉินมองย้อนกลับไป ก็เห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อสีเขียวมองมาที่เขาอย่างสงบชายหนุ่มยกมือขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “คุณชายมาที่นี่เพื่อเข้างานชุมนุมกวีหรือไม่”หลี่เฉินถามว่า “ถ้าใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?”ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่ เช่นนั้นก็ง่ายมาก ที่ชั้นบนตอนนี้ จ้าวไท่ไหลลูกชายของราชเลขาจ้าวกำลังจองสถานที่อยู่ ถ้าไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมกวี ก็ไม่สามารถขึ้นไปได้”“แต่ถ้าใช่ กรุณาแสดงเทียบเชิญให้ข้าดู”“แต่ถ้าไม่มีเทียบเชิญก็สามารถขึ้นไปได้ ถ้าหากผู้อาวุโสสายตรงในตระกูลของคุณชายเป็นขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป แต่ถ้าหากเกษียณแล้ว ก็จำเป็นจะต้องเป็นขุนนางขั้นที่สามจึงจะเข้าไปได้”“หรือถ้าหากไม่มีทั้งสองอย่าง ก็ยังมีอีกวิธี นั่นก็คือบริจาคเงินห้าสิบตำลึง ท่านก็สามารถขึ้นไปฟังได้”ในระหว่างที่พูด ชายฉกรรจ์สูงใหญ่เอวหนาสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มชุดเขียว ก็จ้องไปที่หลี่เฉินด้วยสีหน้าไร้ความปรานีดูจากท่าทางแล้ว ราวกับว่าตราบใดที่หลี่เฉินไม่มีผู้อาวุโสที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือไม่
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ ไม่ได้พูดกับชายเสื้อเขียว องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองนายรับคำสั่ง ตีทั้งสามคนอย่างชำนาญจนสลบ แล้วลากตัวออกไป เมื่อองครักษ์เสื้อแพรทำงาน ไม่มีใครที่อยู่รอบๆ กล้าขัดขวาง พวกเขารอให้ซานเป่าจากไปก่อน แล้วค่อยถกเถียงเกี่ยวกับตัวตนของคุณชายที่เพิ่งขึ้นไปชั้นบน เขามีภูมิหลังแบบไหนกัน ถึงทำให้องครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพามาปกป้องได้ เมื่อเดินขึ้นบันได หลี่เฉินยังไม่ทันเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะดังมาจากชั้นบนหลังจากนั้นไม่นาน เสียงอันไพเราะของฉินก็ดังขึ้นมาหลี่เฉินไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีมากนัก แต่ก็ยังฟังออกว่าเสียงฉินนี้ไพเราะเพียงใด มันเพราะกว่านักดนตรีในวังเล่นมากเมื่อเดินตามเสียงฉินไปที่ชั้นบนสุดของหอ ซึ่งหอเถิงหวังแห่งนี้มีทั้งหมด 6 ชั้น สูงจากพื้นดินประมาน 60 เมตร ภายในหอมีการตกแต่งอันวิจิตรตระการตา ของตกแต่งทุกชิ้นจัดวางอย่างประณีต ไม่น่าแปลกใจเลยที่ต้องใช้เงินหลายแสนตำลึงราวเกล็ดหิมะเมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนสุด จะมองเห็นแม่น้ำและมีสายลมพัดเบาๆ อีกฝั่งเป็นภูเขาทอดยาวสลับกัน อีกด้านหนึ่ง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองหลวงได้ ท
ชั้นบนสุดของหอเถิงหวัง ประหนึ่งหม้อทอดเนื่องจากคำพูดของหลี่เฉินทุกคนต่างมองหลี่เฉินด้วยท่าทางราวกับเห็นผี“เจ้า เจ้าหมอนี่ คงไม่ใช่ว่าบ้าไปแล้วหรือ!?”จ้าวไท่ไหลไม่อาจสงวนท่าทีได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนและชี้ไปที่หลี่เฉินด้วยความโมโห โกรธจนตัวสั่นท่าทางโมโหเช่นนั้น คล้ายกับว่าหลี่เฉินหยอกล้อแม่ของเขาชายหนุ่มที่ถูกหลี่เฉินทำให้อับอายในตอนแรกก็ราวกับจะคว้าโอกาสนี้ไว้ เขากระโดดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น และตะโกนเสียงดังว่า “คุณชายจ้าว ชายที่อยู่ตรงหน้าท่านเห็นได้ชัดว่าเป็นคนบ้าที่พูดจาหยิ่งยโส! เหตุใดไม่เรียกคนมาทุบตีคนบ้าผู้นี้ให้ตายด้วยไม้ล่ะ?”“ทุบตีข้าให้ตายด้วยไม้หรือ?”ดวงตาที่ไร้อารมณ์ของหลี่เฉินคู่นั้นจ้องมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งกระโดดขึ้นลงไม่หยุด ทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อในทันใดเมื่อถูกหลี่เฉินจ้องมอง เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่มดในโคลนตมที่ตกเป็นเป้าหมายของสัตว์ป่าความกดดันอันท่วมท้นเข้าครอบงำเขา ใบหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีซีด ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ที่ดูราวกับว่าเขาจะตายในวินาทีต่อมา ขาของชายหนุ่มก็สั่นเทา เขาก้าวถอยหลังไปก้
“เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นคนบ้าที่พูดจาอย่างหยิ่งผยองหรือ?” หลี่เฉินถามซูจิ่นพ่าพูดเบาๆ ว่า “ไม่ว่าท่านจะบ้าหรือไม่ จริงๆ แล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับจิ่นพ่า คุณชายคิดว่าจิ่นพ่าจงใจนั่งอยู่หลังม่านเพื่อวางท่าสูงส่ง แต่ตอนนี้จิ่นพ่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร คุณชายก็คงเห็นแล้ว ดังนั้นช่วยวางม่านลงได้หรือไม่”“ได้”หลี่เฉินตอบตกลงอย่างง่ายดาย และวางม่านลงทันทีแต่สิ่งที่ทำให้จ้าวไท่ไหลและคนอื่นๆ แตกสลายอย่างสิ้นเชิงก็คือ หลี่เฉินเดินเข้าไปในหลังม่านด้วยด้วยวิธีนี้ กลับทำให้ดูเหมือนว่าหลี่เฉินและซูจิ่นพ่าอยู่กันตามลำพัง และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อรบกวนพวกเขา“เจ้าคนมักมากสารเลว!”จ้าวไท่ไหลอิจฉาอย่างยิ่ง เขาเดินไปที่หน้าม่านและต้องการจะเข้าไปจับหลี่เฉินออกมา แต่สุดท้ายก็กลัวจะรบกวนคนงามเข้า จึงทำให้ได้แค่ขู่จากข้างนอกว่า “ออกมาเร็วๆ เข้า ข้ายังจะเมตตาปล่อยเจ้าไป ไม่อย่างนั้น...พ่อข้าที่เป็นราชเลขาคนปัจจุบัน จะทำให้เจ้าและครอบครัวของเจ้าต้องเสียใจ!”ภายในม่าน หลี่เฉินถือว่าคำพูดของจ้าวไท่ไหลเป็นเพียงการผายลมเขานั่งลงอย่างสงบต่อหน้าซูจิ่นพ่า โดยมีโต๊ะชาคั่นกลางระหว่างพวกเขา มีฉินเจ็ดส
ทันใดนั้นสีหน้าท่าทางที่ฮึกเหิมของจ้าวไท่ไหลก็แข็งทื่อในทันที เขาข่มอารมณ์จนใบหน้าหล่อเหลาที่ขาวผ่องเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธจนกลายเป็นความแค้นซูจิ่นพ่ามองไปที่หลี่เฉินอีกครั้งและถามว่า “คุณชายยังไม่ได้บอกจิ่นพ่าเลย ว่าเหตุใดท่านถึงมีสิ่งนี้?”หลี่เฉินกลับไม่ตอบคำถามนาง แต่พูดว่า “ในเมื่อคุณหนูจิ่นพ่ารู้จักสิ่งนี้ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นถูกต้อง?”ซูจิ่นพ่ากัดริมฝีปากสีแดงเล็กน้อย แม้ว่าจี้หยกหลางหยาจะเป็นของจริง แต่ต่อหน้าธารกำนัล จะให้นางซึ่งเป็นสตรีชื่อเสียงบริสุทธิ์คนหนึ่งยอมรับได้อย่างไรว่าหลี่เฉินคือคนที่บิดาต้องการให้นัดบอดกับเธอจริงๆหลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ แล้วถามซูจิ่นพ่าว่า “เจ้าคิดอย่างไรกับข้า?”“ธรรมดา”ซูจิ่นพ่าส่ายหน้าแล้วพูด “ท่านกับข้าเพิ่งพบหน้ากัน ดูผิวเผินก็ไม่เลวนัก แต่ถ้าคิดจะแต่งงานกับข้า มันยังไม่พอ”“ข้าต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างจึงจะแต่งงานกับเจ้าได้?” หลี่เฉินถามซูจิ่นพ่ายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านถามคำถามเช่นนี้กับสตรีที่พบหน้าเป็นครั้งแรก ท่านไม่คิดว่ามันหยาบคายไปหน่อยหรือ?”“มันไม่หยาบคายหรอก เพราะท้ายที่สุดแล้วตอน
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ใจของทุกคนก็พลันกระตุกความงามของซูจิ่นพ่าโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงมีคนเก่งและมีความสามารถกี่คนกันที่ต้องการเชยชมซูจิ่นพ่า แม้แต่จ้าวไท่ไหลก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลยแต่ตอนนี้ ไอ้สุนัขจรจัดจากไหนก็ไม่รู้กล้าที่จะขอให้ซูจิ่นพ่าบดหมึกให้เขาอย่างเปิดเผย สิ่งนี้เหมือนกำลังเหยียบย่ำหัวใจของพวกเขาทุกคน ขยี้มันจนจมเท้า“เจ้า...”จ้าวไท่ไหลแทบชัก เมื่อเห็นซูจิ่นพ่าเดินไปหาหลี่เฉิน หยิบหินหมึกขึ้นมา และบดมันเบาๆ บนแท่นบด ขณะพูดว่า “หวังว่าคุณชายจะไม่ทำให้จิ่นพ่าต้องผิดหวัง”หลี่เฉินยิ้มและพูดว่า “ข้าจะไม่ทำให้สาวงามต้องผิดหวัง”กรอด...จ้าวไท่ไหลกัดฟันแน่นเขาจ้องมองหลี่เฉินด้วยความอิจฉา รู้สึกว่าไฟในหัวใจของเขากำลังพุ่งทะลุฟ้า ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้าเขาไล่ตามซูจิ่นพ่ามาหลายปีแล้ว แต่สิ่งเดียวที่เขาได้รับจากการแลกเปลี่ยนคือทัศนคติที่ไม่ร้อนไม่หนาวของซูจิ่นพ่ามาโดยตลอด ไม่ต้องพูดถึงการอยู่ใกล้ๆ แม้แต่เป็นสหายธรรมดาก็ยังไม่นับ ถึงแม้ว่าวันนี้จะสามารถเชิญนางมาร่วมงานชุมนุมบทกวีได้ แต่ตัวเองก็ต้องเปลืองความคิดและเงินทองไปหลายแสนเพื่อสร้าง
แต่ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ “ลำนำหอเถิงหวัง” เสร็จสมบูรณ์แบบคำต่อคำ ก่อนที่หลี่เฉินจะทะลุมิติมา บทกวีนี้ทำให้นักวิชาการและยอดคนผู้มีพรสวรรค์นับไม่ถ้วนในอารยธรรมหลายพันปีของจีนล้วนประหลาดใจ และถูกยกย่องว่าเป็นบทกวีอันดับหนึ่งของประเทศจีน และพิชิตทุกคนด้วยพลังอันล้นเหลือ“...เมฆาล่องไหลเอื่อยทอดยาว สิ่งใดๆ ล้วนอนิจจังดวงดาวเคลื่อนคล้อยฤดูใบไม้ร่วงเวียนวนมาบรรจบ โอรสจักรพรรดิอยู่ที่ใดในหอ? พ้นราวบันไดไปก็มีแม่น้ำยาวไหลอย่างเงียบงัน”หลังจาก “ลำนำหอเถิงหวัง” เสร็จสิ้น หลี่เฉินก็หายใจเบา ๆโชคดีที่ความทรงจำของข้ายังดีอยู่ โชคดีที่เจ้าของร่างเดิมเป็นองค์รัชทายาทมาหลายปี ดังนั้นทักษะการเขียนพู่กันจึงไม่ถูกละเลยด้วยโชคดีทั้งสองอย่างนี้ ทำให้หลี่เฉินประสบความสำเร็จต่อหน้าคนอื่นๆ เขาไม่เชื่อว่า “ลำนำหอเถิงหวัง” ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะในประวัติศาสตร์ห้าพันปีของจีน จะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับซูจิ่นพ่าได้ตอนนี้เอง ทั่วทั้งหอก็ตกอยู่ในความเงียบงันทุกคนมองแทบจะหมกมุ่นอยู่กับข้อความบนโต๊ะตรงหน้าของหลี่เฉิน ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนไหลลื่นดุจสายน้ำบทกวีนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนได้
สองคำที่หลุดออกมา เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่คาดคิด คนที่อยู่ที่นี่ กว่าครึ่งก็เป็นลูกหลานของขุนนาง และการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ระหว่างพวกเขาก็คือแย่งกันโอ้อวด หรือรับแรงกดดันจากผู้อาวุโสในบ้าน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่โตอะไรแต่ตอนนี้ สองคำที่หลี่เฉินกล่าวออกมา ได้ดึงพวกเขาเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่นองเลือดแม้แต่ดวงตาของจ้าวไท่ไหลก็เบิกกว้าง เขาแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมาเขาไม่เชื่อว่าหลี่เฉินจะมีความกล้าหาญเช่นนี้แต่องครักษ์เสื้อแพรไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร ตราบใดที่หลี่เฉินออกคำสั่ง เขาก็จะดำเนินการโดยไม่ลังเลองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งชักดาบซิ่วชุนออกมา แสงดาบสว่างวูบ จากนั้นเลือดก็สาดกระจาย การฟันดาบครั้งนี้ ถึงอกถึงใจมาก และยังทำให้ความดุร้ายและอำนาจของหลี่เฉิน เจาะลึกเข้าไปในกระดูกของทุกคนที่นี่คนบ้าที่ไม่ทราบที่มา แต่ตัวตนของเขาต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน บอกจะฆ่าก็ฆ่าจริงๆ โดยไม่มีความลังเลชายหนุ่มคนนั้นแม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังไม่มี เพียงล้มลงบนพื้น เลือดไหลทะลักออกมา ก่อนที่เขาจะตาย ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว“แขวนศพไว้บ
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี
ซูเจิ้นถิง ถานไถจิ้งจือ และสวีฉังชิง…เหล่าขุนนางสังกัดฝ่ายตำหนักบูรพาทยอยกันเดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบแม้แต่เหอคุน สวีจวินโหลว ฟู่หมิ่นชิง และโจวเฉิงหลงก็ปรากฏตัวพร้อมหน้าเมื่อเทียบกับเหล่าขุนนางสายสำนักราชเลขาที่มาถึงก่อน ตำหนักบูรพาดูด้อยกว่าทั้งในแง่จำนวน อายุ และตำแหน่งที่ครองอยู่แต่สิ่งเหล่านี้ เมื่อต้องอยู่ภายใต้การนำของซูเจิ้นถิงและถานไถจิ้งจือ กลับดูไม่มีความหมายอันใดอีกสองคนนี้ ได้ยกระดับทั้งฝ่ายขึ้นมาโดยพลันหลายคนในฝ่ายสำนักราชเลขา เมื่อเห็นถานไถจิ้งจือปรากฏตัว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีพวกเขารู้ว่าถานไถจิ้งจือมีความใกล้ชิดกับตำหนักบูรพาอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาท่านผู้นี้ไม่เคยแสดงจุดยืน ไม่เคยแทรกแซงเรื่องการเมือง และไม่ข้องแวะกิจการบ้านเมืองใดๆแต่เวลานี้ ขณะที่สถานการณ์มาถึงจุดแตกหัก บุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับบรมครูปรากฏตัวเคียงข้างซูเจิ้นถิง นั่นก็เท่ากับว่าเขาได้แสดงจุดยืนและท่าทีของตนอย่างชัดเจนแล้ว“ฝ่าบาท กระหม่อมมาช้าไป”ถานไถจิ้งจือคารวะหลี่เฉิน“ท่านอาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว”หลี่เฉินเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ที่ท่านมาได้ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว”“สายฝนแม้จะหนักหน
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ