หลี่เฉินเข้าไปในหอ และกำลังจะขึ้นบันได แต่ก็มีเสียงจากทางด้านหลังหยุดเขาเอาไว้เมื่อหลี่เฉินมองย้อนกลับไป ก็เห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อสีเขียวมองมาที่เขาอย่างสงบชายหนุ่มยกมือขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “คุณชายมาที่นี่เพื่อเข้างานชุมนุมกวีหรือไม่”หลี่เฉินถามว่า “ถ้าใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?”ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่ เช่นนั้นก็ง่ายมาก ที่ชั้นบนตอนนี้ จ้าวไท่ไหลลูกชายของราชเลขาจ้าวกำลังจองสถานที่อยู่ ถ้าไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมกวี ก็ไม่สามารถขึ้นไปได้”“แต่ถ้าใช่ กรุณาแสดงเทียบเชิญให้ข้าดู”“แต่ถ้าไม่มีเทียบเชิญก็สามารถขึ้นไปได้ ถ้าหากผู้อาวุโสสายตรงในตระกูลของคุณชายเป็นขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป แต่ถ้าหากเกษียณแล้ว ก็จำเป็นจะต้องเป็นขุนนางขั้นที่สามจึงจะเข้าไปได้”“หรือถ้าหากไม่มีทั้งสองอย่าง ก็ยังมีอีกวิธี นั่นก็คือบริจาคเงินห้าสิบตำลึง ท่านก็สามารถขึ้นไปฟังได้”ในระหว่างที่พูด ชายฉกรรจ์สูงใหญ่เอวหนาสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มชุดเขียว ก็จ้องไปที่หลี่เฉินด้วยสีหน้าไร้ความปรานีดูจากท่าทางแล้ว ราวกับว่าตราบใดที่หลี่เฉินไม่มีผู้อาวุโสที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือไม่
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ ไม่ได้พูดกับชายเสื้อเขียว องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองนายรับคำสั่ง ตีทั้งสามคนอย่างชำนาญจนสลบ แล้วลากตัวออกไป เมื่อองครักษ์เสื้อแพรทำงาน ไม่มีใครที่อยู่รอบๆ กล้าขัดขวาง พวกเขารอให้ซานเป่าจากไปก่อน แล้วค่อยถกเถียงเกี่ยวกับตัวตนของคุณชายที่เพิ่งขึ้นไปชั้นบน เขามีภูมิหลังแบบไหนกัน ถึงทำให้องครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพามาปกป้องได้ เมื่อเดินขึ้นบันได หลี่เฉินยังไม่ทันเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะดังมาจากชั้นบนหลังจากนั้นไม่นาน เสียงอันไพเราะของฉินก็ดังขึ้นมาหลี่เฉินไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีมากนัก แต่ก็ยังฟังออกว่าเสียงฉินนี้ไพเราะเพียงใด มันเพราะกว่านักดนตรีในวังเล่นมากเมื่อเดินตามเสียงฉินไปที่ชั้นบนสุดของหอ ซึ่งหอเถิงหวังแห่งนี้มีทั้งหมด 6 ชั้น สูงจากพื้นดินประมาน 60 เมตร ภายในหอมีการตกแต่งอันวิจิตรตระการตา ของตกแต่งทุกชิ้นจัดวางอย่างประณีต ไม่น่าแปลกใจเลยที่ต้องใช้เงินหลายแสนตำลึงราวเกล็ดหิมะเมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนสุด จะมองเห็นแม่น้ำและมีสายลมพัดเบาๆ อีกฝั่งเป็นภูเขาทอดยาวสลับกัน อีกด้านหนึ่ง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองหลวงได้ ท
ชั้นบนสุดของหอเถิงหวัง ประหนึ่งหม้อทอดเนื่องจากคำพูดของหลี่เฉินทุกคนต่างมองหลี่เฉินด้วยท่าทางราวกับเห็นผี“เจ้า เจ้าหมอนี่ คงไม่ใช่ว่าบ้าไปแล้วหรือ!?”จ้าวไท่ไหลไม่อาจสงวนท่าทีได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนและชี้ไปที่หลี่เฉินด้วยความโมโห โกรธจนตัวสั่นท่าทางโมโหเช่นนั้น คล้ายกับว่าหลี่เฉินหยอกล้อแม่ของเขาชายหนุ่มที่ถูกหลี่เฉินทำให้อับอายในตอนแรกก็ราวกับจะคว้าโอกาสนี้ไว้ เขากระโดดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น และตะโกนเสียงดังว่า “คุณชายจ้าว ชายที่อยู่ตรงหน้าท่านเห็นได้ชัดว่าเป็นคนบ้าที่พูดจาหยิ่งยโส! เหตุใดไม่เรียกคนมาทุบตีคนบ้าผู้นี้ให้ตายด้วยไม้ล่ะ?”“ทุบตีข้าให้ตายด้วยไม้หรือ?”ดวงตาที่ไร้อารมณ์ของหลี่เฉินคู่นั้นจ้องมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งกระโดดขึ้นลงไม่หยุด ทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อในทันใดเมื่อถูกหลี่เฉินจ้องมอง เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่มดในโคลนตมที่ตกเป็นเป้าหมายของสัตว์ป่าความกดดันอันท่วมท้นเข้าครอบงำเขา ใบหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีซีด ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ที่ดูราวกับว่าเขาจะตายในวินาทีต่อมา ขาของชายหนุ่มก็สั่นเทา เขาก้าวถอยหลังไปก้
“เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นคนบ้าที่พูดจาอย่างหยิ่งผยองหรือ?” หลี่เฉินถามซูจิ่นพ่าพูดเบาๆ ว่า “ไม่ว่าท่านจะบ้าหรือไม่ จริงๆ แล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับจิ่นพ่า คุณชายคิดว่าจิ่นพ่าจงใจนั่งอยู่หลังม่านเพื่อวางท่าสูงส่ง แต่ตอนนี้จิ่นพ่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร คุณชายก็คงเห็นแล้ว ดังนั้นช่วยวางม่านลงได้หรือไม่”“ได้”หลี่เฉินตอบตกลงอย่างง่ายดาย และวางม่านลงทันทีแต่สิ่งที่ทำให้จ้าวไท่ไหลและคนอื่นๆ แตกสลายอย่างสิ้นเชิงก็คือ หลี่เฉินเดินเข้าไปในหลังม่านด้วยด้วยวิธีนี้ กลับทำให้ดูเหมือนว่าหลี่เฉินและซูจิ่นพ่าอยู่กันตามลำพัง และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อรบกวนพวกเขา“เจ้าคนมักมากสารเลว!”จ้าวไท่ไหลอิจฉาอย่างยิ่ง เขาเดินไปที่หน้าม่านและต้องการจะเข้าไปจับหลี่เฉินออกมา แต่สุดท้ายก็กลัวจะรบกวนคนงามเข้า จึงทำให้ได้แค่ขู่จากข้างนอกว่า “ออกมาเร็วๆ เข้า ข้ายังจะเมตตาปล่อยเจ้าไป ไม่อย่างนั้น...พ่อข้าที่เป็นราชเลขาคนปัจจุบัน จะทำให้เจ้าและครอบครัวของเจ้าต้องเสียใจ!”ภายในม่าน หลี่เฉินถือว่าคำพูดของจ้าวไท่ไหลเป็นเพียงการผายลมเขานั่งลงอย่างสงบต่อหน้าซูจิ่นพ่า โดยมีโต๊ะชาคั่นกลางระหว่างพวกเขา มีฉินเจ็ดส
ทันใดนั้นสีหน้าท่าทางที่ฮึกเหิมของจ้าวไท่ไหลก็แข็งทื่อในทันที เขาข่มอารมณ์จนใบหน้าหล่อเหลาที่ขาวผ่องเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธจนกลายเป็นความแค้นซูจิ่นพ่ามองไปที่หลี่เฉินอีกครั้งและถามว่า “คุณชายยังไม่ได้บอกจิ่นพ่าเลย ว่าเหตุใดท่านถึงมีสิ่งนี้?”หลี่เฉินกลับไม่ตอบคำถามนาง แต่พูดว่า “ในเมื่อคุณหนูจิ่นพ่ารู้จักสิ่งนี้ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นถูกต้อง?”ซูจิ่นพ่ากัดริมฝีปากสีแดงเล็กน้อย แม้ว่าจี้หยกหลางหยาจะเป็นของจริง แต่ต่อหน้าธารกำนัล จะให้นางซึ่งเป็นสตรีชื่อเสียงบริสุทธิ์คนหนึ่งยอมรับได้อย่างไรว่าหลี่เฉินคือคนที่บิดาต้องการให้นัดบอดกับเธอจริงๆหลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ แล้วถามซูจิ่นพ่าว่า “เจ้าคิดอย่างไรกับข้า?”“ธรรมดา”ซูจิ่นพ่าส่ายหน้าแล้วพูด “ท่านกับข้าเพิ่งพบหน้ากัน ดูผิวเผินก็ไม่เลวนัก แต่ถ้าคิดจะแต่งงานกับข้า มันยังไม่พอ”“ข้าต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างจึงจะแต่งงานกับเจ้าได้?” หลี่เฉินถามซูจิ่นพ่ายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านถามคำถามเช่นนี้กับสตรีที่พบหน้าเป็นครั้งแรก ท่านไม่คิดว่ามันหยาบคายไปหน่อยหรือ?”“มันไม่หยาบคายหรอก เพราะท้ายที่สุดแล้วตอน
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ใจของทุกคนก็พลันกระตุกความงามของซูจิ่นพ่าโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงมีคนเก่งและมีความสามารถกี่คนกันที่ต้องการเชยชมซูจิ่นพ่า แม้แต่จ้าวไท่ไหลก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลยแต่ตอนนี้ ไอ้สุนัขจรจัดจากไหนก็ไม่รู้กล้าที่จะขอให้ซูจิ่นพ่าบดหมึกให้เขาอย่างเปิดเผย สิ่งนี้เหมือนกำลังเหยียบย่ำหัวใจของพวกเขาทุกคน ขยี้มันจนจมเท้า“เจ้า...”จ้าวไท่ไหลแทบชัก เมื่อเห็นซูจิ่นพ่าเดินไปหาหลี่เฉิน หยิบหินหมึกขึ้นมา และบดมันเบาๆ บนแท่นบด ขณะพูดว่า “หวังว่าคุณชายจะไม่ทำให้จิ่นพ่าต้องผิดหวัง”หลี่เฉินยิ้มและพูดว่า “ข้าจะไม่ทำให้สาวงามต้องผิดหวัง”กรอด...จ้าวไท่ไหลกัดฟันแน่นเขาจ้องมองหลี่เฉินด้วยความอิจฉา รู้สึกว่าไฟในหัวใจของเขากำลังพุ่งทะลุฟ้า ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้าเขาไล่ตามซูจิ่นพ่ามาหลายปีแล้ว แต่สิ่งเดียวที่เขาได้รับจากการแลกเปลี่ยนคือทัศนคติที่ไม่ร้อนไม่หนาวของซูจิ่นพ่ามาโดยตลอด ไม่ต้องพูดถึงการอยู่ใกล้ๆ แม้แต่เป็นสหายธรรมดาก็ยังไม่นับ ถึงแม้ว่าวันนี้จะสามารถเชิญนางมาร่วมงานชุมนุมบทกวีได้ แต่ตัวเองก็ต้องเปลืองความคิดและเงินทองไปหลายแสนเพื่อสร้าง
แต่ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ “ลำนำหอเถิงหวัง” เสร็จสมบูรณ์แบบคำต่อคำ ก่อนที่หลี่เฉินจะทะลุมิติมา บทกวีนี้ทำให้นักวิชาการและยอดคนผู้มีพรสวรรค์นับไม่ถ้วนในอารยธรรมหลายพันปีของจีนล้วนประหลาดใจ และถูกยกย่องว่าเป็นบทกวีอันดับหนึ่งของประเทศจีน และพิชิตทุกคนด้วยพลังอันล้นเหลือ“...เมฆาล่องไหลเอื่อยทอดยาว สิ่งใดๆ ล้วนอนิจจังดวงดาวเคลื่อนคล้อยฤดูใบไม้ร่วงเวียนวนมาบรรจบ โอรสจักรพรรดิอยู่ที่ใดในหอ? พ้นราวบันไดไปก็มีแม่น้ำยาวไหลอย่างเงียบงัน”หลังจาก “ลำนำหอเถิงหวัง” เสร็จสิ้น หลี่เฉินก็หายใจเบา ๆโชคดีที่ความทรงจำของข้ายังดีอยู่ โชคดีที่เจ้าของร่างเดิมเป็นองค์รัชทายาทมาหลายปี ดังนั้นทักษะการเขียนพู่กันจึงไม่ถูกละเลยด้วยโชคดีทั้งสองอย่างนี้ ทำให้หลี่เฉินประสบความสำเร็จต่อหน้าคนอื่นๆ เขาไม่เชื่อว่า “ลำนำหอเถิงหวัง” ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะในประวัติศาสตร์ห้าพันปีของจีน จะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับซูจิ่นพ่าได้ตอนนี้เอง ทั่วทั้งหอก็ตกอยู่ในความเงียบงันทุกคนมองแทบจะหมกมุ่นอยู่กับข้อความบนโต๊ะตรงหน้าของหลี่เฉิน ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนไหลลื่นดุจสายน้ำบทกวีนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนได้
สองคำที่หลุดออกมา เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่คาดคิด คนที่อยู่ที่นี่ กว่าครึ่งก็เป็นลูกหลานของขุนนาง และการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ระหว่างพวกเขาก็คือแย่งกันโอ้อวด หรือรับแรงกดดันจากผู้อาวุโสในบ้าน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่โตอะไรแต่ตอนนี้ สองคำที่หลี่เฉินกล่าวออกมา ได้ดึงพวกเขาเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่นองเลือดแม้แต่ดวงตาของจ้าวไท่ไหลก็เบิกกว้าง เขาแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมาเขาไม่เชื่อว่าหลี่เฉินจะมีความกล้าหาญเช่นนี้แต่องครักษ์เสื้อแพรไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร ตราบใดที่หลี่เฉินออกคำสั่ง เขาก็จะดำเนินการโดยไม่ลังเลองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งชักดาบซิ่วชุนออกมา แสงดาบสว่างวูบ จากนั้นเลือดก็สาดกระจาย การฟันดาบครั้งนี้ ถึงอกถึงใจมาก และยังทำให้ความดุร้ายและอำนาจของหลี่เฉิน เจาะลึกเข้าไปในกระดูกของทุกคนที่นี่คนบ้าที่ไม่ทราบที่มา แต่ตัวตนของเขาต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน บอกจะฆ่าก็ฆ่าจริงๆ โดยไม่มีความลังเลชายหนุ่มคนนั้นแม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังไม่มี เพียงล้มลงบนพื้น เลือดไหลทะลักออกมา ก่อนที่เขาจะตาย ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว“แขวนศพไว้บ
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของหลี่เฉิน หู่ข่ายที่เมื่อครู่ยังดูมั่นใจ กลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันทีเขารู้สึกเหมือนองค์รัชทายาทตรงหน้าเป็นเสือโคร่งดุร้าย กำลังเดินย่างกรายเข้ามาใกล้เขาช้าๆเสียงรองเท้าหนังที่ก้าวย่างช้าๆ แต่ละก้าวเหมือนกำลังเหยียบย่ำอยู่บนหัวใจของหู่ข่ายเมื่อจิตใจเริ่มสั่นคลอน หู่ข่ายก็พยายามระลึกถึงสถานะของตัวเอง ระลึกถึงเหวินอ๋องที่อยู่เบื้องหลัง แล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาด้วยเสียงแข็ง “องค์ชาย กระหม่อมเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอ๋อง ท่านอ๋องสั่งอย่างไร กระหม่อมก็ทำตามนั้น”คำพูดนี้แม้จะฟังดูเหมือนการเตือนหลี่เฉินว่ามีเหวินอ๋องอยู่เบื้องหลัง แต่ก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวของหู่ข่ายอย่างชัดเจนหลี่เฉินยืนนิ่งอยู่หน้าเกวียน ที่ตรงนั้นกลิ่นเหม็นเน่ายิ่งรุนแรงขึ้นเขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ดูเหมือนว่าการอภิเษกของข้า จะทำให้บางคนไม่พอใจสินะ”ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดีว่าหมายถึงใครหู่ข่ายกลืนน้ำลาย มองสบตากับผู้ติดตามที่มาด้วยกันพวกเขาเกรงกลัวบารมีของหลี่เฉิน ตอนนี้ต้องการเพียงแค่หนีออกจากตำหนักบูรพาให้เร็วที่สุด“องค์ชาย กระหม่อมทำหน้าที่เสร็จแล้ว ขออนุญาต
หลี่เฉินไม่ได้สนใจหู่ข่ายแต่หันไปมองหีบขนาดใหญ่บนเกวียนแทนโดยปกติ ของขวัญแสดงความยินดีในงานอภิเษกจะมีการตกแต่งอย่างสวยงามบ้างก็ใช้ผ้าแดงคลุม บ้างก็ติดสัญลักษณ์มงคลแต่หีบสีดำใบนี้ดูเรียบง่ายเกินไป แถมเพราะความยาวที่ผิดปกติ จนดูคล้ายกับโลงศพเสียมากกว่าทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนเป็นคนมีประสบการณ์ เพียงแค่เห็นครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามีปัญหาของขวัญที่เหวินอ๋องส่งมาไม่ใช่แค่ไม่ใส่ใจ แต่ยังมีเจตนาท้าทายอย่างชัดเจนเหอคุนมองหน้าหลี่เฉิน ก่อนจะตัดสินใจยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากับหู่ข่าย “ของขวัญจากเหวินอ๋องมีรายการบรรยายหรือไม่?”หู่ข่ายตอบด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว แถมยังแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย “ของขวัญมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องมีรายการบรรยาย”เหอคุนขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจอย่างมากของที่เหวินอ๋องส่งมาชัดเจนว่าไม่ใช่ของดี แต่ในเมื่อองค์รัชทายาทยังไม่พูดอะไร ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาจึงต้องแสดงออกถึงความไม่พอใจแทนเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม้ไม่มีรายการบรรยาย อย่างน้อยก็ควรจะมีการบอกวัตถุประสงค์ ของขวัญในงานอภิเษกสมรสองค์รัชทายาทคือเรื่องที่ทุกคนในแผ่นดินร่วมยินดี การที่บ้านของท่
การปรากฏตัวของเจี้ยว่าง ในที่สุดแล้วก็เป็นเพียงการเพิ่มความเป็นไปได้ที่ดูเหมือนจะเป็นผลดีต่อหลี่เฉินในสถานการณ์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดแต่อะไรก็ยังไม่แน่นอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลี่เฉินรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของจิตใจมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความไม่แน่นอนเจี้ยว่างดูเหมือนจะมีจิตใจที่ซื่อสัตย์ ต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเส้าหลินแต่ปัญหาคือ เส้าหลินฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือแยกกันมากว่าร้อยปีแล้ว แต่ละฝ่ายมีเจ้าอาวาสและระบบการปกครองของตัวเองหากเจี้ยว่างยังคงอยู่ในฐานะที่เป็นดั่งสัญลักษณ์มงคล ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมจะเคารพนับถือแต่ถ้าเขาก้าวขึ้นมาเพื่อจะเป็นผู้นำของทั้งสองฝ่าย นั่นจะกลายเป็นปัญหาที่ไม่ง่ายเลยแม้หลี่เฉินจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เขาก็รู้ว่ามันมีความเสี่ยงสูงดังนั้นเขาจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักเพราะตอนนี้ เขายังมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าต้องทำ นั่นคือพิธีอภิเษกสมรสกับซูจิ่นพ่า ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า"เหลือเวลาอีกห้าวัน"ในเช้าวันถัดมา หลี่เฉินเรียกเหอคุนเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง “อีกห้าวันก็จะถึงวันอภิเษกแล้ว ของขวัญแสดงความยินดีที
แม้เจี้ยว่างจะมีศักดิ์สูงและเป็นยอดฝีมือระดับเซียนบนดิน ไม่ว่าใครในเส้าหลินต่างก็ต้องให้เกียรติเขาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถตัดสินใจทุกเรื่องแทนเส้าหลินได้ยังคงมีคนในสำนักที่มีความเห็นต่างและหากเรื่องราวดำเนินไปผิดพลาด อาจกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่เหมือนกับการแยกฝ่ายระหว่างเส้าหลินฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือในอดีตความฝันตลอดชีวิตของเจี้ยว่างคือการทำให้พุทธศาสนาในเส้าหลินรุ่งเรือง จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงแม้จะมีพลังมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถจัดการทุกเรื่องได้เมื่อเห็นท่าทีลำบากใจของเจี้ยว่าง หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เงื่อนไขได้ถูกวางไว้แล้ว ท่านอาจารย์จะเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปข้างหน้า หรือจะกลับไปตีไม้ปลุกระฆังอย่างสงบในวัด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านเอง”เจี้ยว่างถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบว่า “เรื่องนี้ยากยิ่งนัก มิใช่สิ่งที่อาตมาจะตัดสินใจได้โดยลำพัง ขอองค์ชายโปรดให้เวลาอาตมาพิจารณา”“เป็นธรรมดา”หลี่เฉินพยักหน้า “แต่ข้ามีเวลาให้แค่สามวันเท่านั้น ภายในสามวันนี้ ท่านต้องให้คำตอบ หากไม่มีข่าวใดๆ ข้าจะถือว่าท่านได้ปฏิเสธข้อเสนอของข้าแล้ว”เจี้ยว่างถอนหายใจอีกครั้งก่อนกล่าวว่
"นอกจากนี้ หากชายหญิงผู้มีศรัทธาแรงกล้าประสงค์จะบวช ทางการก็จะไม่ขัดขวาง""และสุดท้าย เส้าหลินสามารถเป็นตัวแทนราชสำนักในการควบคุมบรรดาสำนักในยุทธภพได้"ทันทีที่คำพูดสุดท้ายหลุดจากปาก สีหน้าของเจี้ยว่างที่ดูสงบไม่สะทกสะท้านมาตลอดก็พลันเปลี่ยนไป เขาเงยหน้ามองหลี่เฉินทันทีการตอบสนองของเจี้ยว่างนั้น หลี่เฉินล้วนคาดการณ์ไว้แล้ว เขาไม่กังวลเลยว่าเจี้ยว่างจะไม่สนใจข้อเสนอการได้เป็นผู้นำในยุทธภพเป็นสิ่งที่บรรดาสำนักใหญ่ต่างใฝ่ฝันและแย่งชิงกันมาหลายร้อยปีแม้เส้าหลินจะเป็นสำนักที่มีบารมีสูงส่งในหมู่สำนักต่างๆ แต่หากประกาศตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ คงถูกบรรดาสำนักอื่นๆ รุมประณามสำนักในยุทธภพล้วนมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี ไม่มีใครยอมรับว่าเส้าหลินเหนือกว่าตนแต่หากราชสำนักมอบตำแหน่งที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการให้เส้าหลินในการควบคุมยุทธภพ แม้จะถูกหัวเราะเยาะ แต่ก็คงเป็นเพียงพวกที่อิจฉาเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเส้าหลิน การมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับศิษย์และผู้ศรัทธาใหม่ๆการสืบทอดและการบำรุงศาสนจักร เป็นสิ่งที่เส้าหลินต้องการมากที่สุดในตอนนี้ดังนั้น ข้อ
หลี่เฉินวางถ้วยชาลง มองพระเฒ่าฝั่งตรงข้ามพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผู้ที่บ่อนทำลายบ้านเมือง ไม่เคยเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในวันสองวัน หรือแม้กระทั่งในรุ่นเดียว บางครั้งจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้นอาจมาจากความตั้งใจที่ดี แต่เมื่อเป็นการปกครองโดยมนุษย์ ความผิดพลาดในแนวคิดของผู้สืบทอดย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้”“ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์นี้ ได้ทรงบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมศาสนาทั่วหล้า ในฐานะทายาทรุ่นหลัง ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแนวทางนี้ได้โดยง่าย”พระเฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาสัมผัสได้ถึงความยากลำบากของสิ่งที่ตนกำลังจะทำ จากท่าทีของหลี่เฉินแต่เมื่อคิดถึงความเสื่อมถอยของพุทธศาสนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พระเฒ่าก็มีบางคำที่ต้องเอ่ย และบางสิ่งที่ต้องลงมือทำเขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “องค์ชาย ในเมื่อท่านยอมเปิดโอกาสพูดคุยกับอาตมา แสดงว่ายังมีทางอื่นอีก”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมมีทาง”“ข้าขอถามท่านอาจารย์ว่า ที่ท่านว่ามานั้นเกี่ยวข้องกับเส้าหลินฝ่ายใต้หรือเส้าหลินฝ่ายเหนือ?”พุทธศาสนาในจักรวรรดิต้าฉิน โดยมีเส้าหลินเป็นศูนย์กลาง แต่เส้าหลินนั้นแยกออกเป็นสองฝ่าย คือเส้
หลี่เฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะวางลงและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กฎหมายข้อนี้ แม้จะมีถ้อยคำเพียงไม่กี่ร้อยคำ แต่ก็เหมือนกับคาถาที่รัดคอไว้แน่น พุทธและเต๋าต่างไม่สามารถกลับไปสู่ยุคเฟื่องฟูเช่นราชวงศ์ก่อนหน้านี้ได้ ท่านอาจารย์ที่มาในวันนี้ ก็เพื่อขอให้ข้าเปิดทางให้พวกเจ้าใช่หรือไม่?”พระสงฆ์ตอบตรงไปตรงมา“ใช่”หลี่เฉินยิ้มบาง “ข้าชอบความตรงไปตรงมาของท่าน แต่ท่านคิดว่าข้าจะยอมเปลี่ยนกฎที่บรรพชนตั้งไว้เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำหรือ?”“จะบอกให้รู้ไว้ ข้าคิดว่ากฎหมายข้อนี้เป็นกฎหมายที่ยอดเยี่ยม เป็นผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนถึงความเฉลียวฉลาดและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของบรรพชน มันช่วยป้องกันปัญหานับไม่ถ้วนที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง และท่านอยากให้ข้าทำลายมันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”พระสงฆ์ยังคงสงบนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บรรพชนของพวกเราก็พยายามทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเช่นกัน แต่ตลอดกว่า 360 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ นั่นแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของมัน”“องค์ชายเป็นผู้มีปัญญา ย่อมไม่อาจถูกหลอกลวงหรือถูกชักจูง ข้าจึงไม่คิดจะใช้เล่ห์กลกับท่าน ข้ามาเพียงเพื่อขอร้อง ให้ท่านช่วยเปิ
แม้แต่ซานเป่าเองยังรู้สึกว่า ท่าทีขององค์รัชทายาทในวันนี้ค่อนข้างกดดันและคุกคามเกินไปแต่พระสงฆ์ผู้เฒ่าหลังจากที่แสดงความโกรธไปชั่วครู่ กลับสงบนิ่งราวกับไม่รู้สึกอะไรอีก เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “องค์ชายทรงเป็นผู้ที่ผู้คนคาดหวังและยอมรับโดยทั่ว พุทธศาสนาเพียงขอทางรอด ไม่ได้หวังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจทางโลก ขอให้องค์ชายทรงเมตตา”ดวงตาของหลี่เฉินหรี่ลงเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะไม่มีความชอบต่อศาสนาใดๆ แต่เขาไม่เคยปฏิเสธที่จะใช้ประโยชน์จากทุกอย่างที่สามารถนำมาสนับสนุนการปกครองของเขาได้ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเสวียนจียังไม่ได้ถูกกำจัด บรรดาอ๋องต่างแคว้นยังคงจับตาดูอยู่ และการควบคุมจักรวรรดิต้าฉินของเขายังไม่ถึงจุดที่สามารถวางใจได้ การสนับสนุนจากพุทธศาสนาอาจเป็นกองกำลังลับที่ช่วยพลิกสถานการณ์ได้และถึงอย่างไร เขาก็ไม่คิดที่จะผลักพวกพระไปเข้ากับฝ่ายศัตรู"ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องนี้"หลี่เฉินหันไปสั่งซานเป่า "จัดหาที่ที่เงียบสงบสักแห่ง"ซานเป่ารับคำสั่งและรีบไปดำเนินการสำหรับซานเป่าแล้ว การหาที่เงียบสงบใกล้ๆ ไม่ใช่เรื่องยากเพียงเวลาไม่กี่อึดใจ เขาก็กลับมาพร้อมสถานที่เรียบร้อยเขาเลื
"ช่างเป็นคำพูดที่ดี”หลี่เฉินหัวเราะเย็นชา "เช่นนั้นก็ลองดูกันสักตั้ง""ซานเป่า"เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากหลี่เฉิน ร่างกายของซานเป่าก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาคำพูดเดินทางมาถึงจุดที่ไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกแล้ว และหลี่เฉินก็แสดงเจตนาชัดเจนว่า เขาต้องการให้พระสงฆ์ตรงหน้าได้ลิ้มรสพลังของอำนาจจักรวรรดิถูกต้อง หลี่เฉินตั้งใจจะให้พระเฒ่าผู้นี้ได้ลิ้มรสชาติของอำนาจกษัตริย์ภายใต้ระบอบศักดินาว่าเป็นเช่นไรด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานับพันปี หลี่เฉินรู้ดีว่าการจัดการศาสนาในทุกรูปแบบนั้นต้องใช้ความระมัดระวังไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนาหรือลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นสองศาสนาหลักของแผ่นดินจีน หรือแม้แต่พวกตูลูหรือพระลามะในท้องถิ่น ที่แม้จะเป็นศาสนาสาขาเล็กๆ ก็ยังสามารถระดมศิษยานุศิษย์มาสร้างแนวคิดแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงความคิดกบฏปลอมๆ ได้ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ หลี่เฉินก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสองศาสนาใหญ่เหล่านี้เพราะเหตุใดเล่า? ก็เพราะพวกนี้รับมือยากยิ่งส่วนลัทธิอย่างสำนักบัวขาว ซึ่งเป็นศาสนาเทียมและความเชื่อปลอมๆ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แยกออกไปแต่พระสงฆ์ตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายเข้าหาเขาเอง และหลี่เฉินก็