ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ใจของทุกคนก็พลันกระตุกความงามของซูจิ่นพ่าโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงมีคนเก่งและมีความสามารถกี่คนกันที่ต้องการเชยชมซูจิ่นพ่า แม้แต่จ้าวไท่ไหลก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลยแต่ตอนนี้ ไอ้สุนัขจรจัดจากไหนก็ไม่รู้กล้าที่จะขอให้ซูจิ่นพ่าบดหมึกให้เขาอย่างเปิดเผย สิ่งนี้เหมือนกำลังเหยียบย่ำหัวใจของพวกเขาทุกคน ขยี้มันจนจมเท้า“เจ้า...”จ้าวไท่ไหลแทบชัก เมื่อเห็นซูจิ่นพ่าเดินไปหาหลี่เฉิน หยิบหินหมึกขึ้นมา และบดมันเบาๆ บนแท่นบด ขณะพูดว่า “หวังว่าคุณชายจะไม่ทำให้จิ่นพ่าต้องผิดหวัง”หลี่เฉินยิ้มและพูดว่า “ข้าจะไม่ทำให้สาวงามต้องผิดหวัง”กรอด...จ้าวไท่ไหลกัดฟันแน่นเขาจ้องมองหลี่เฉินด้วยความอิจฉา รู้สึกว่าไฟในหัวใจของเขากำลังพุ่งทะลุฟ้า ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้าเขาไล่ตามซูจิ่นพ่ามาหลายปีแล้ว แต่สิ่งเดียวที่เขาได้รับจากการแลกเปลี่ยนคือทัศนคติที่ไม่ร้อนไม่หนาวของซูจิ่นพ่ามาโดยตลอด ไม่ต้องพูดถึงการอยู่ใกล้ๆ แม้แต่เป็นสหายธรรมดาก็ยังไม่นับ ถึงแม้ว่าวันนี้จะสามารถเชิญนางมาร่วมงานชุมนุมบทกวีได้ แต่ตัวเองก็ต้องเปลืองความคิดและเงินทองไปหลายแสนเพื่อสร้าง
แต่ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ “ลำนำหอเถิงหวัง” เสร็จสมบูรณ์แบบคำต่อคำ ก่อนที่หลี่เฉินจะทะลุมิติมา บทกวีนี้ทำให้นักวิชาการและยอดคนผู้มีพรสวรรค์นับไม่ถ้วนในอารยธรรมหลายพันปีของจีนล้วนประหลาดใจ และถูกยกย่องว่าเป็นบทกวีอันดับหนึ่งของประเทศจีน และพิชิตทุกคนด้วยพลังอันล้นเหลือ“...เมฆาล่องไหลเอื่อยทอดยาว สิ่งใดๆ ล้วนอนิจจังดวงดาวเคลื่อนคล้อยฤดูใบไม้ร่วงเวียนวนมาบรรจบ โอรสจักรพรรดิอยู่ที่ใดในหอ? พ้นราวบันไดไปก็มีแม่น้ำยาวไหลอย่างเงียบงัน”หลังจาก “ลำนำหอเถิงหวัง” เสร็จสิ้น หลี่เฉินก็หายใจเบา ๆโชคดีที่ความทรงจำของข้ายังดีอยู่ โชคดีที่เจ้าของร่างเดิมเป็นองค์รัชทายาทมาหลายปี ดังนั้นทักษะการเขียนพู่กันจึงไม่ถูกละเลยด้วยโชคดีทั้งสองอย่างนี้ ทำให้หลี่เฉินประสบความสำเร็จต่อหน้าคนอื่นๆ เขาไม่เชื่อว่า “ลำนำหอเถิงหวัง” ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะในประวัติศาสตร์ห้าพันปีของจีน จะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับซูจิ่นพ่าได้ตอนนี้เอง ทั่วทั้งหอก็ตกอยู่ในความเงียบงันทุกคนมองแทบจะหมกมุ่นอยู่กับข้อความบนโต๊ะตรงหน้าของหลี่เฉิน ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนไหลลื่นดุจสายน้ำบทกวีนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนได้
สองคำที่หลุดออกมา เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่คาดคิด คนที่อยู่ที่นี่ กว่าครึ่งก็เป็นลูกหลานของขุนนาง และการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ระหว่างพวกเขาก็คือแย่งกันโอ้อวด หรือรับแรงกดดันจากผู้อาวุโสในบ้าน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่โตอะไรแต่ตอนนี้ สองคำที่หลี่เฉินกล่าวออกมา ได้ดึงพวกเขาเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่นองเลือดแม้แต่ดวงตาของจ้าวไท่ไหลก็เบิกกว้าง เขาแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมาเขาไม่เชื่อว่าหลี่เฉินจะมีความกล้าหาญเช่นนี้แต่องครักษ์เสื้อแพรไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร ตราบใดที่หลี่เฉินออกคำสั่ง เขาก็จะดำเนินการโดยไม่ลังเลองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งชักดาบซิ่วชุนออกมา แสงดาบสว่างวูบ จากนั้นเลือดก็สาดกระจาย การฟันดาบครั้งนี้ ถึงอกถึงใจมาก และยังทำให้ความดุร้ายและอำนาจของหลี่เฉิน เจาะลึกเข้าไปในกระดูกของทุกคนที่นี่คนบ้าที่ไม่ทราบที่มา แต่ตัวตนของเขาต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน บอกจะฆ่าก็ฆ่าจริงๆ โดยไม่มีความลังเลชายหนุ่มคนนั้นแม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังไม่มี เพียงล้มลงบนพื้น เลือดไหลทะลักออกมา ก่อนที่เขาจะตาย ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว“แขวนศพไว้บ
ตัวอักษรบรรทัดเดียวสั้นๆ ทำให้แม้แต่คนที่มองไม่เห็นหัวใคร ไม่เห็นความสำคัญของยอดอัจฉริยะทั่วหล้า และไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอย่างซูจิ่นพ่า ยังตกใจจนอ้าปากค้างในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว ทำไมเขาถึงสังหารบุตรชายของหลางจงเจี้ยงแห่งกรมยุติธรรมราวกับฆ่าสุนัข ยังเข้าใจด้วยว่าเพราะเหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบเขาถึงไม่เคยเห็นพวกผู้มีอำนาจในเมืองหลวงรวมถึงจ้าวไท่ไหลอยู่ในสายตาเหมือนจะเป็นเพราะว่า เขานั่นแหละคือคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดิต้าฉินด้วยฐานะของเขา เขาสามารถทำได้จริงๆเพียงแต่ จู่ๆ ซูจิ่นพ่าก็นึกถึงคำพูดพลั้งปากของตัวเอง ที่จงใจกลั่นแกล้งหลี่เฉินในเรื่องเงื่อนไขการเลือกคู่ครองต้องมีหน้าตาหล่อเหลาเหมือนพานอัน ต้องมั่งคั่งทัดเทียมแคว้น ต้องมีอำนาจเหนือคนเรือนแสน พร้อมทั้งมีปณิธานที่เข้ากันได้ มีพรสวรรค์เป็นเลิศด้านหน้าตา หลี่เฉินไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฐานะที่เป็นถึงองค์รัชทายาท คุณสมบัติเฉพาะตัวนั้น เรียกได้ว่ามีสถานะคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า ที่แม้แต่บรรดาลูกท่านหลานเธอทั่วไปก็ไม่สามารถเลี้ยงดูสั่งสอนขึ้นมาได้ส่วนความมั่งคั่งทัดเทียมแคว้น และยังมี
ซูเจิ้นถิงคำนับตรงตามระเบียบพิธีการ ไม่ทำอย่างลวกๆ แม้แต่น้อยซูผิงเป่ยที่อยู่ข้างๆ ลอบมองไปที่หลี่เฉิน รู้สึกว่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ก่อนยังทำให้เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเองอับอายขายหน้าอยู่เลย แต่บัดนี้กลับกลายเป็นรัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน ในอนาคตอาจได้เป็นน้องเขยของตัวเอง เป็นฮ่องเต้แห่งจักรวรรดิต้าฉินเมื่อประกอบกับคำเตือนของบิดาก่อนหน้านี้ เขารู้ดีว่าตระกูลซูมีแต่ต้องผูกติดกับรัชทายาทเท่านั้น และตัวเอง ก็ทำได้เพียงภักดีต่อรัชทายาทเท่านั้น ห้ามมีความคิดเป็นอื่นเด็ดขาดด้วยความคิดที่ซับซ้อน ซูผิงเป่ยจึงไม่กล้าที่จะละเลย พูดตามซูเจิ้นถิงด้วยความเคารพนอบน้อมว่า “กระหม่อม ซูผิงเป่ย ถวายพระพรองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงมีอายุพันปี พันปี พันพันปี”“ทั้งสองท่านตามสบาย”หลี่เฉินรอให้ซูเจิ้นถิงยืนตัวตรงแล้ว จึงมองสบตาทั้งสองต่างรู้ใจกันดีโดยไม่ต้องบอกคนหนึ่งไม่ได้พูดถึงการพบกับซูจิ่นพ่า ส่วนอีกคนไม่ได้พูดถึงเรื่องการปรึกษาหารือกับครอบครัวยามนี้ซูเจิ้นถิงและลูกชายมาเข้าเฝ้าในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ท่าทีนี้สามารถพิสูจน์อะไรได้หลายอย่างแล้วหลี่เฉินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเขารู้
ประตูของตำหนักบูรพาเปิดออก หลี่เฉินขี่ม้าด้วยตัวเอง โดยอยู่ภายใต้การล้อมพิทักษ์ของซูเจิ้นถิงและซูผิงเป่ยสองพ่อลูก ทั้งสามคนพร้อมด้วยหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเดินทางออกจากตำหนักบูรพา มุ่งหน้าตรงไปยังประตูทิศเหนือของเมืองหลวงและขณะที่หลี่เฉินนำคนออกจากตำหนักบูรพา ในเวลานี้ในค่ายเป่ยต้าหน่วยองครักษ์อวี่หลิน หลิ่วปินเฉิงกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก“รองผู้บัญชาการ ตอนนี้ลูกธนูขึ้นสายเต็มเหนี่ยวแล้ว จำต้องยิงออกไป”ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนสนิทประกบมือคำนับหลิ่วปินเฉิงแล้วพูดว่า “ใครจะคาดคิดว่ารัชทายาทจะมีปฏิกิริยาตอบโต้เร็วขนาดนี้ อีกทั้งวิธีการยังโหดเหี้ยม ที่น่ารังเกียจที่สุดคือขันทีซานเป่านั่น ช่วยเหลือรัชทายาทอย่างสุดจิตสุดใจ ทำให้พวกเราไม่มีโอกาสเคลื่อนย้ายได้เลย”“จริงๆ ตั้งแต่จ้าวเจ๋อโยวถูกหน่วยบูรพาพาตัวไป พวกเราก็ควรเริ่มลงมือได้แล้ว”หลิ่วปินเฉิงที่สวมเครื่องแบบรองผู้บัญชาการกัดฟันพูดว่า “หลักการพวกนี้ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่ว่าอำนาจของพวกเรายังห่างไกลกับคำว่าควบคุมองครักษ์อวี่หลินนัก จ้าวเจี้ยนเย่คนเดียวที่เฝ้าจับตาดูพวกเรา เป็นเขาที่บีบพวกเรามาถึงจุดนี้!”“ถ้าไม่ใช่เพร
นอกค่ายเป่ยต้าหน่วยองครักษ์อวี่หลิน หลี่เฉินอยู่ด้านหน้าสุด ซูเจิ้นถิงอยู่ข้างหลังครึ่งช่วงตัว และข้างหลังเขาคือซูผิงเป่ยและหน่วยองครักษ์เสื้อแพรที่ทางเข้าค่ายมีการสร้างแนวรั้วกั้นไว้อยู่แล้ว ด้านหลังประตูค่าย มีทหารลาดตระเวนจ้องหลี่เฉินตาเป็นมันไม่นานหลิ่วปินเฉิงก็พาคนออกมา“ข้าน้อยรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์อวี่หลิน หลิ่วปินเฉิง น้อมคำนับท่านแม่ทัพซู!”“น้อมคำนับท่านแม่ทัพซู!”“น้อมคำนับท่านแม่ทัพซู!”ในค่ายทหาร ทหารทั้งหมดที่อยู่ในนั้นตะโกนขึ้นพร้อมกันเมื่อเผชิญกับการต้อนรับเช่นนี้ ซูเจิ้นถิงไม่เพียงแต่ไม่ยินดีเท่านั้น แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปที่หลี่เฉินทันที แล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท...”“ไม่เป็นไร”หลี่เฉินพูดเนิบๆ “กลยุทธ์ยุแยงตะแคงรั่วเช่นนี้ ข้าไม่ใส่ใจหรอก”ซูเจิ้นถิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย จากนั้นก็ตะโกนใส่หลิ่วปินเฉิงอย่างดุดัน “หลิ่วปินเฉิง เจ้าไม่เห็นองค์รัชทายาทอยู่ที่นี่งั้นรึ!?”หลิ่วปินเฉิงยกมือขึ้นคำนับ แล้วพูดเนิบๆ “ข้าน้อยรู้จักแต่ทายาทของเทพสงครามเท่านั้น ไม่รู้จักรัชทายาทอะไรนั่น”“ยิ่งกว่านั้นข้าน้อยยังไม่รู้จักรัชทายาท หากต้องการให้ข้าน
การคุกเข่าของหลิ่วปินเฉิง เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าหลี่เฉินได้กำราบค่ายเป่ยต้าได้แล้วด้านหลังหลี่เฉิน ซูเจิ้นถิงมองดูแผ่นหลังของหลี่เฉิน แล้วพูดกับลูกชายเบาๆ ว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้ทรงมีราศีจับแล้ว”ริมฝีปากของซูผิงเป่ยสั่นเทา แต่ไม่สามารถเอ่ยคำใดได้คลำหัวใจแล้วถามตัวเองว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาทแทน เขาคงเทียบกับหลี่เฉินไม่ได้ดวงตาของหลี่เฉินกวาดมองไปทั่วทุกคน พูดอย่างเย็นชา “ยังไม่รีบถอนแนวรั้วกั้นออกไปอีกรึ”ยังไม่ทันที่หลิ่วปินเฉิงจะพูด จู่ๆ คนอยู่ข้างๆ เขาตะโกนว่า “องค์รัชทายาท ทหารค่ายเป่ยต้าเรากำลังฝึกซ้อมอยู่ ในระหว่างการฝึกซ้อม ไม่สามารถเอาแนวรั้วกั้นออกได้ องค์รัชทายาทโปรดยกโทษให้ด้วย”เมื่อได้ยินสิ่งนี้สายตาของหลี่เฉินแปรเปลี่ยนไปทันควัน“ทหาร!”องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาข้างหน้าทันที พูดว่า “กระหม่อมอยู่นี่แล้ว!”“รื้อแนวรั้วกั้นนี้ซะ!”สายตาของหลี่เฉินจับจ้องไปยังหลิ่วปินเฉิงและคนพูดที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างเย็นชา “ใครก็ตามที่ขัดขวาง ต้องถูกลงโทษฐานเป็นปฏิปักษ์ต่อข้า ประหารทันที!”องครักษ์เสื้อแพรกว่าสิบคนรีบรุดไปข้างหน้าทันที แล
ในการควบคุมอำนาจทางการเงิน มีคนหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ไม่ต้องสงสัย คนคนนั้นคือ จ้าวเสวียนจีหลี่เฉินโยนบัญชีของกำนัลของเหอคุนลงข้างตัว พลางเรียกวั่นเจียวเจียวเข้ามาด้วยเสียงดัง “มาแต่งตัวให้ข้า”ในเมืองหลวง ณ จวนจ้าวหลังจากออกจากตำหนักบูรพา จ้าวเสวียนจีได้สั่งคนไปตามจางปี้อู่ และฟู่อวี้จือ สองขุนนางร่วมตำแหน่งมหาเสนาบดีในคณะเสนาบดีไม่นานหลังจากที่จ้าวเสวียนจีเดินทางกลับถึงจวนจ้าว สองคนก็รีบร้อนมาถึงฟู่อวี้จือและจางปี้อู่พบกันที่หน้าประตู ทั้งสองสบตากัน แต่กลับไม่เห็นหวังเถิงฮ่วนจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยในไม่ช้า จ้าวเสวียนจีก็เรียกทั้งสองเข้ามายังห้องหนังสือ“ผู้อาวุโส วันนี้ตำหนักบูรพามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”ฟู่อวี้จือถามถึงเรื่องเย่ลู่ฉีหมิงที่ถูกสังหารแม้เมืองหลวงจะใหญ่และผู้คนมากมาย แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่สามารถปิดบังสองขุนนางอาวุโสได้ พวกเขาทราบข่าวอย่างรวดเร็วว่าเย่ลู่ฉีหมิงเกิดเรื่อง แต่รายละเอียดนั้นพวกเขายังไม่รู้ เนื่องจากจ้าวเสวียนจีและหวังเถิงฮ่วนเป็นผู้ไปตำหนักบูรพาจ้าวเสวียนจีจิบชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่มีคำตอบ ก็คือคำตอบของตำหนั
“เข้าใจแล้วก็ออกไปได้”เหอคุนค่อยๆ ยกตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์ชาย กระหม่อมขอทูลลา”หลังจากเหอคุนก้าวออกจากคลังเก็บของ หลี่เฉินหันไปสั่งเฉินทง “ให้ทางซูหางรีบส่งข้อมูลของเหอคุนมา ข้าต้องการ”เฉินทงเข้าใจในทันที ว่าเหอคุนคนนี้กำลังจะกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของตำหนักบูรพาดูจากสวีฉังชิงก็รู้แม้ตำแหน่งยังคงเดิม แต่ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาท อำนาจที่พวกเขาถืออยู่ได้ขยายตัวไม่รู้กี่เท่าอดีตพวกเขาเป็นเพียงข้าราชการชายขอบในกรมครัวเรือนและกระทรวงโยธาธิการ บัดนี้แม้แต่เสนาบดีทั้งสองกรมยังต้องทำงานภายใต้สีหน้าของพวกเขาเหอคุนเองก็เช่นกันผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก และไม่มีอำนาจมากมายแต่ตำหนักบูรพาในตอนนี้มีผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเพียงแค่คนเดียว หน้าที่แรกที่เขาได้รับ คือการรวบรวมและจัดการของกำนัลจากขุนนางที่องค์รัชทายาททรงให้ความสนใจอย่างมาก หากเขาสามารถทำงานนี้ได้ดี เส้นทางอำนาจของเหอคุนก็จะเปิดโล่งจนไม่มีใครหยุดยั้งได้ต้องตีสนิทสักหน่อยแล้วล่ะเฉินทงคิดไปถึงความเป็นไปได้หลายอย่างในเสี้ย
เงินเดือนขุนนางส่วนใหญ่มักถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์ในยุคสมัยศักดินา เศรษฐกิจมีความผันผวนน้อยกว่าในสังคมสมัยใหม่ เพราะใช้เงินโลหะและทองคำเป็นมาตรฐาน ทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินฝืดเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเมื่อเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้รุนแรงดังนั้น รัฐบาลในสมัยนั้นจึงแทบไม่ปรับเปลี่ยนเงินเดือนขุนนาง หากมีการปรับเปลี่ยนก็มักจะเป็นการปรับในอัตราที่น้อยมากเพราะเงินเดือนขุนนางถือเป็นภาระสำคัญในงบประมาณของราชสำนักอย่างรุนแรงเช่นในราชวงศ์ต้าฉิน เมื่อปีที่ผ่านมา ราชสำนักต้องจ่ายเงินเดือนขุนนางรวมทั้งสิ้น 45 ล้านตำลึงเงิน แต่รายได้จากภาษีของทั้งปีนั้นมีเท่าใด?ไม่ถึง 20 ล้านตำลึงเงินนี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาค้างจ่ายเงินเดือนขุนนางอย่างแพร่หลายแม้ในปีที่ฝนฟ้าดี ไม่มีปัญหาภัยพิบัติ การจ่ายเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นภาระหนักหนาสำหรับราชสำนักยิ่งไปกว่านั้น การปรับเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎบรรพบุรุษ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของราชวงศ์ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่สิ่งที่จะปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆแค่ภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ราชสำนักล่มสลายได
"ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมา 4 ปี เจ้าทุจริตไปเท่าไหร่?"คำถามของหลี่เฉินตรงไปตรงมาและเฉียบขาดทำให้เหอคุนที่เดิมก็ประหม่าอยู่แล้วเหงื่อแตกซึมไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบด้วยความกลัวว่า “โรงทอผ้า โรงย้อม และพ่อค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ล้วนส่งสินบนให้กรมทอผ้ามาโดยตลอดทุกฤดูกาล”“ในตอนแรกยังมีความลับลมคมในบ้าง แต่สองปีมานี้กลับกลายเป็นเรื่องที่เปิดเผยมากขึ้น กรมทอผ้าเองก็ยอมรับว่าเป็นรายได้ประจำทุกไตรมาส”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระหม่อมได้รับสินบนจนแทบนับไม่ถ้วน หากนับเป็นเงินก็ประมาณ 4-5 แสนตำลึงเงิน”เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ แม้แต่เฉินทงยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาตกใจ4-5 แสนตำลึงเงิน!นี่มันอะไรกัน!?เฉินทงในฐานะขุนนางของหน่วยบูรพา แม้มีเงินเดือนรวมเบี้ยเลี้ยงและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ได้เพียงปีละ 300 กว่าตำลึง หากเป็นขุนนางระดับเดียวกันที่ไม่มีเบี้ยเลี้ยงพิเศษ อาจได้ไม่ถึง 200 ตำลึงต่อปีด้วยซ้ำแต่เหอคุน ซึ่งเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้เวลา 4 ปีโกงเงินได้ 4 ล้านกว่าตำลึงเงิน เฉลี่ยปีละหนึ่งล้านตำลึงเงินความแตกต่างมหาศา
ต่อหน้าคำกล่าวอย่างซื่อสัตย์และจริงใจของเหอคุน หลี่เฉินกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆเขาเพียงใช้บัญชีของกำนัลตีลงบนฝ่ามือช้าๆ เหมือนกำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับเหอคุนเช่นไรขณะที่เหอคุนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แม้แต่การหายใจก็ต้องควบคุมจังหวะ เกรงว่าจะทำให้หลี่เฉินที่อยู่ตรงหน้าขุ่นเคืองความเงียบและความกดดันที่มองไม่เห็นดำเนินไป จนกระทั่งเฉินทงเดินเข้ามาทำลายความเงียบนี้“องค์ชาย กระหม่อมได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเดินเข้ามาในคลัง เฉินทงคำนับหลี่เฉินก่อน กล่าวต่อเมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากหลี่เฉิน โดยไม่ชายตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่แม้แต่น้อย “เหอคุนดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมานานกว่า 4 ปี ตามกฎของกรมขุนนาง ปีนี้เขาจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อตัดสินว่าจะต่ออายุงาน ปรับย้าย หรือถูกลดตำแหน่ง”“หลายเดือนก่อน สหายร่วมถิ่นของเหอคุนชื่อโจวรุ่ย ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมขุนนางและอยู่ในกลุ่มสนับสนุนคณะเสนาบดี ถูกสวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนกล่าวหาและถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมและประหารชีวิต เมื่อโจวรุ่ยล้มลง เหอคุนก็ไร้ผู้สนับสนุนในราชสำนัก กระหม่อมได้ตรวจสอบผลก
ในมือถือบัญชีรายการของกำนัลที่เหอคุนส่งมาเมื่อช่วงเช้า หลี่เฉินเหลือบตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า พลางกล่าวเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ”หลังจากเหอคุนลุกขึ้น หลี่เฉินก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงรอยยิ้ม “ใครๆ ก็ว่าปีเดียวเป็นเจ้าเมือง ได้เงินหมื่นตำลึง ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเป็นเรื่องพูดเล่น แต่ครั้งนี้ เจ้าเปิดหูเปิดตาให้ข้าเห็นแล้วจริงๆ”“บัญชีของกำนัลที่เจ้าส่งมา มูลค่ารวมเกินสองล้านตำลึงได้อย่างง่ายดาย ต้นปะการังนั้น ข้าก็ได้ดูแล้ว ถือเป็นสมบัติหายากอย่างแท้จริง ของล้ำค่าเช่นนี้ ในพระราชวังหลวงยังไม่มี เจ้าเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยกว่าข้าที่เป็นองค์รัชทายาทเสียอีก”ใบหน้าเหอคุนซีดลงเขารับรู้ถึงอันตรายที่แฝงในน้ำเสียงเรียบเย็นขององค์รัชทายาทหากตอบผิดแม้แต่น้อย ศีรษะของเขาอาจหลุดจากบ่าในทันทีแต่คำถามเช่นนี้ เขาเตรียมคำตอบไว้ตั้งแต่ตัดสินใจกระทำการเสี่ยงนี้แล้วเหอคุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนก้มศีรษะกล่าวตอบ “กราบทูลองค์ชาย หากข้ารับราชการคนใดมีอำนาจอยู่ในมือบ้างเล็กน้อย การทุจริตก็กลายเป็นเรื่องง่ายมาก และกระหม่อมกล้ากล่าวว่า ในราชสำนักต้าฉินทุกว
เหอคุน ชายวัย 38 ปีเขาเป็นจิ้นซื่อในปีที่หกแห่งรัชศกต้าสิง จากนั้นผ่านการคัดเลือกและถูกส่งไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการและนายอำเภอในเขตซูหาง ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีที่เก้าแห่งรัชศกเดียวกัน ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าแห่งซูหางระดับห้าขั้นแรกการกลับมารายงานหน้าที่ที่เมืองหลวงในครั้งนี้ เหอคุนได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานสำหรับงานอภิเษกขององค์รัชทายาทตำหนักบูรพา เขาจึงตัดสินใจลงมือทันทีเหอคุนดำรงตำแหน่งในกรมทอผ้าซูหางมาหลายปีและรู้ว่ากำลังจะครบวาระ ขณะเดียวกัน เขาก็สูญเสียผู้สนับสนุนในราชสำนักไป เมื่อผู้สนับสนุนของเขาขัดแย้งกับสวีฉังชิง รองเสนาบดีกรมครัวเรือนฝ่ายซ้าย ซึ่งอยู่ฝ่ายตำหนักบูรพาและถูกปลดจากตำแหน่งในสภาพการณ์เช่นนี้ เส้นทางราชการของเหอคุนตกอยู่ในความเสี่ยง เขาอาจถูกส่งไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือถูกละเลย ดังนั้น เขาจึงกัดฟันส่งสิ่งของและของกำนัลล้ำค่าที่เขาได้มาจากตำแหน่งนี้เกือบทั้งหมดไปยังตำหนักบูรพาเหอคุนรู้ดีว่าการกระทำครั้งนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยงทางการเมือง เพราะสวีฉังชิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำหนักบูรพา ขณะที่เขาเคยอยู่ฝ่ายคณะเสนาบดีใน
"องค์ชาย บ่าวจะนวดจุดไท่หยางให้นะเพคะ"วั่นเจียวเจียวเดินเบาๆ เข้ามาข้างกายหลี่เฉิน พลางพูดและยื่นนิ้วเรียวยาวดุจหยกขึ้นไปกดเบาๆ ที่ขมับทั้งสองข้างของหลี่เฉินและเริ่มนวดอย่างนุ่มนวลหลี่เฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาปิดตารับสัมผัสนั้นและกล่าวชมว่า “ฝีมือเจ้าชำนาญขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”วั่นเจียวเจียวเผยรอยยิ้มบาง กล่าวด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “องค์ชายทรงพอพระทัย บ่าวก็ดีใจแล้วเพคะ”ในขณะที่หลี่เฉินปิดตา วั่นเจียวเจียวใช้ดวงตามองสำรวจใบหน้าของเขาอย่างละเอียด ราวกับต้องการจารึกทุกอณูของบุรุษตรงหน้าไว้ในส่วนลึกของจิตใจ“เมื่อช่วงเช้า มีคนชื่อเหอคุนมาส่งของกำนัลเพคะ”คำพูดของวั่นเจียวเจียวทำให้หลี่เฉินลืมตาขึ้น“ของกำนัล?”วั่นเจียวเจียวพยักหน้า “ใช่เพคะ องค์ชายมิใช่กำลังจะอภิเษกสมรสหรอกหรือ ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่าด้วยเหตุที่ฝ่าบาททรงประชวร และสถานการณ์ยังไม่สงบ พิธีอภิเษกจึงต้องเลื่อนออกไป แต่เมื่อกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานได้ก่อนเพคะ”“เมื่อเช้านี้ ขุนนางที่ชื่อเหอคุนผู้นั้นบอกว่ามาเข้าเฝ้ากรมครัวเรือนตามหน้าที่ แต่ตามระเบียบ อีกสองวันก็ต้องกลับไปประจำที่
"มิอาจไม่ระวัง"หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “จ้าวเสวียนจีดูแลราชสำนักมานานหลายปี สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คืออิทธิพลของเขาในราชสำนัก แต่ในกองทัพล่ะ?”“แม้แต่ต้วนจิ่นเจียงที่เคยควบคุมกรมยุทธนาการอย่างแน่นหนา ยังมิอาจกันเขาได้ทั้งหมด คนเช่นจ้าวเสวียนจี เป็นไปได้หรือที่จะไม่ทิ้งไพ่ลับไว้?”“หากถึงจุดที่มิอาจรักษาสถานการณ์ได้ เขาอาจกล้าก่อกบฏก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าหลี่เฉินฉายแววเหี้ยมเกรียม กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สำหรับข้าหรือจ้าวเสวียนจี ต่างก็เหมือนกันทั้งนั้น เรื่องใหญ่นี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของแผ่นดินราชวงศ์ ไม่มีโอกาสแก้ตัว หากพลิกโต๊ะเมื่อใดก็มีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ย่อมไม่มีคำว่าเสียใจ ดังนั้นเราต้องมั่นใจว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จะสามารถใช้กำลังทหารปกป้องอำนาจจักรพรรดิได้!”อำนาจจักรพรรดิและอำนาจทหาร แม้จะคล้ายกัน แต่ซูเจิ้นถิงก็เข้าใจทันทีถึงความหมายที่แท้จริงของหลี่เฉินเขาพยักหน้าและกล่าวว่า “กระหม่อมทราบแล้ว เรื่องนี้กระหม่อมจะถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกเมื่อกลับไป”หลี่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหันไปมองซูผิงเป่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ไม่มี