เมื่อเห็นท่าทางของโหวอวี้ซู ซูจิ่นพ่าก็ทนมองเขาตรงๆ ไม่ไหว“คุณชายโหว หยุดถามได้แล้ว สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง”ซูจิ่นพ่าถอนหายใจนางกับโหวอวี้ซูเป็นเพียงคนรู้จักกันแบบผิวเผิน ซึ่งนางจำกัดให้เป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น และรู้สึกว่าอีกฝ่ายพอจะมีความสามารถอยู่บ้างแต่ซูจิ่นพ่าก็ไม่อยากให้โหวอวี้ซูยั่วโมโหหลี่เฉินจริงๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกตัดหัวได้เมื่อโหวอวี้ซูเห็นซูจิ่นพ่ายอมรับทุกอย่าง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดในใจครั้งแรกที่เขาเห็นซูจิ่นพ่า ก็ตกหลุมรักซูจิ่นพ่าอย่างลึกซึ้งแม้กระทั่งตอนกลางคืน เขาก็สาบานกับดวงจันทร์หลายครั้งว่า ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันแต่งงานกับใครนอกจากซูจิ่นพ่าเขาไม่หวั่นกับชาติกำเนิดอันสูงส่งของซูจิ่นพ่า ซึ่งแตกต่างจากเขาเป็นอย่างมาก แต่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีแม้แต่โอกาส“ข้าไม่ยอมรับ!”ใบหน้าของโหวอวี้ซูเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขากล่าวกับหลี่เฉินว่า “ในครึ่งปีหลัง ข้าเขียนบทกวีเจ็ดตัวอักษรที่ชื่อว่า ในประโยคหนึ่งเขียนว่า รำลึกถึงพี่น้องยามขึ้นที่สูง ปักจูอวี๋ขาดข้าเพียงคนเดียว ท่านจิ้งจือ บุคคลสำคัญในด้านวรรณ
“นั่นคือความหมายของคำว่าสะ...เสแสร้งหรือ?”แม้ซูจิ่นพ่าจะรู้สึกสนใจ แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าสองคำนี้จะต้องมีความหมายที่ไม่ดีแน่ๆแต่ด้วยเหตุการณ์นี้ ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจึงดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และแปลกหน้าน้อยลงขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็ค่อยๆ ออกจากพื้นที่ที่มีชีวิตชีวา และความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ออกจากเมืองหลวงแล้ว ทัศนียภาพที่พุพังและเน่าเปื่อยก็ทำให้ซูจิ่นพ่ารู้สึกเศร้า และคำพูดของหลี่เฉินก็หยุดลงในจุดหนึ่ง ทั้งสองฉวยโอกาสที่ตอนนี้หิมะยังน้อย รีบมุ่งหน้าไปที่ตงโจว โดยไม่พูดอะไรสักคำ“จากเมืองหลวงไปตงโจวเพียง 20-30 ลี้ ถ้าเป็นการบรรเทาภัยพิบัติขนาดใหญ่ อีกไม่ไกลก็น่าจะมองเห็นฉากเหล่านั้น” ซูจิ่นพ่าหาหัวข้อคุยหลี่เฉินพยักหน้า “หวังว่าคนเหล่านั้นจะยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง”ซูจิ่นพ่ารู้ดีว่าหลี่เฉินหมายถึงอะไรทุกวันนี้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติกำลังลุกลาม และท้องพระคลังก็ว่างเปล่า ทั้งคนธรรมดาและเจ้าหน้าที่ต่างก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากแต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็มีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติ หากพวกเขาเป็นคนโลภ สิ่งของและเสบียงอาหารบรรเทาภัยพ
สำหรับอาหารเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ต้าฉินมีกฎระเบียบที่ชัดเจนและกฎหมายที่เข้มงวดไม่ว่าภัยพิบัติจะใหญ่หรือเล็ก แต่ตราบใดที่ราชสำนักอนุมัติ และกรมครัวเรือนจัดสรรเงินทุน เงินนั้นจะถูกแจกจ่ายไปยังหน่วยงานท้องถิ่น โดยมาตรการบรรเทาสาธารณภัยใดๆ จะต้องใช้ข้าวครึ่งชามและน้ำสองชาม หากอัตราส่วนน้อยกว่านี้ จะถูกลงโทษสำหรับความผิดฐานเล่นพรรคเล่นพวก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม“เนื่องจากเป็นการบรรเทาสาธารณภัย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดหาอาหารให้ได้ทั้งสามมื้อ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายจักรวรรดิระบุไว้ว่า ใครก็ตามที่เปิดยุ้งฉางเพื่อบรรเทาสาธารณภัยในนามของหน่วยงานราชการ หากตักเต็มทัพพีจากก้นหม้อ แล้วมีเมล็ดข้าวน้อยกว่าหนึ่งในห้าส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือเล็ก จะท้องถิ่นหรือเมืองหลวง พวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกประหาร”น้ำเสียงของหลี่เฉินเย็นชา ขณะจ้องมองใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเจ้าหน้าที่ “ในหนึ่งทัพพีเต็มนี้ อาจมีเมล็ดข้าวแค่หนึ่งในสิบ!?”หลี่เฉินทรงอำนาจแค่ไหน?มีคำพูดในสมัยโบราณว่า เมื่อโอรสสวรรค์ทรงพิโรธจะมีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน หลี่เฉินอาจจะยังไม่ใช่จักรพรรดิในตอนนี้ แต่ก็ยังเป็นว่าที่กษัตริย์ย
ด้วยความโกรธ หลี่เฉินโยนถุงข้าวในมือออกไปแล้วตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวว่า “องครักษ์เสื้อแพร!”องครักษ์เสื้อแพรที่รับผิดชอบหน้าที่คุ้มกันข้างกายในที่มืด ก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลี่เฉินอย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นหลี่เฉินตะโกนเรียกองครักษ์เสื้อแพร ซูจิ่นพ่าก็ตกใจกลัวเพราะไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทผู้เกรี้ยวกราดจะทำอะไรนางรีบหยุดหลี่เฉินทันที และพูดอย่างร้อนรนว่า “ฝ่าบาท อย่าทำเช่นนี้”“สถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้ก็ตึงเครียดพออยู่แล้ว หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก หากดึงขนออกมาแค่เส้นเดียวก็อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งหมดได้ หากฝ่าบาททรงหุนหันพลันแล่น ก็มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดสถานการณ์ใหม่ในราชสำนักขึ้นมา ซึ่งไม่ดีต่อสถานการณ์โดยรวม โปรดคิดให้ดี!”“คิดให้ดี!”หลี่เฉินโกรธจนยิ้มออกมา เขาชี้ไปที่ผู้ประสบภัยที่พยายามแย่งชิงเมล็ดข้าวและทรายบนพื้น จากนั้นก็พูดอย่างเศร้าๆ ว่า “เห็นฉากนี้แล้ว ยังจะให้ข้าคิดอะไรอีก!?”“สามร้อยปีก่อน เมื่อไท่จู่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ได้ประกอบพระราชพิธีบูชาสวรรค์ ณ.ภูเขาไท่ ตอนนั้นได้เขียนหนังสือนิรโทษสวรรค์ และเคยกล่าวไว้ว่า หากลูกหลานตระกูลหลี่ไม่กังวลเก
เมื่อคนกลุ่มนี้เห็นหลี่เฉิน ก็ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างโดยเฉพาะองค์ชายเก้าที่หวาดกลัวหลี่เฉินเป็นอย่างมาก ทันทีที่เขาเห็นหลี่เฉิน บั้นท้ายของเขาก็สั่นขึ้นมาทันที ก้นของเขายังไม่หายสนิท มีเพียงความรู้สึกตึงและเจ็บปวดเท่านั้น เหมือนมีมดนับล้านกำลังไต่ไปมาที่นั่น แข้งขาทั้งสองข้างอ่อนแรง จนแทบจะล้มคว่ำไปกับพื้นหวังเถิงฮ่วนมองเห็นความหวาดกลัวและความขี้ขลาดขององค์ชายเก้า จึงเข้าไปประคองเขา เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาทำตัวเองขายหน้าทุกคน“กลัวอะไร! ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยพูด!”หวังเถิงฮ่วนพูดเสียงขรึมในฐานะผู้มีอำนาจเป็นคนที่สองในสำนักราชเลขาของจ้าวเสวียนจี ครั้งแรกที่หวังเถิงฮ่วนเห็นหลี่เฉิน เขาก็สงสัยว่าองค์รัชทายาทมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดถึงไม่อยู่ที่ตำหนักบูรพาอย่างเงียบๆ แต่กลับวิ่งมาที่นี่แทน หรือว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขากับจ้าวเสวียนจีเกี่ยวกับการประนีประนอมขององค์รัชทายาทจะมีการเปลี่ยนแปลง?และท่าทางที่น่าอับอายขององค์ชายเก้าที่อยู่ข้างๆ เขา ก็ทำให้หวังเถิงฮ่วนหวังรู้สึกหนักอึ้งองค์ชายเก้าผู้นี้เหตุใดถึงไร้ประโยชน์ขนาดนี้ เช่นนั้นจะสามารถต่อสู้กับองค์รัชทาย
ภายใต้การจ้องมองที่เย็นชาและน่าเกรงขามของหลี่เฉิน เจียงโจวรู้สึกว่าเลือดทั่วร่างของเขากำลังจะแข็งตัว และลมหายใจก็แทบจะหยุดลงกำเนิดจากองค์จักรพรรดิเหมือนกันแท้ๆ แต่การแสดงออกขององค์ชายเก้าเรียกได้ว่าน่าผิดหวังสิ้นดีส่วนองค์รัชทายาทหลี่เฉินนั้น กลับมีความสง่างามและน่าเกรงขามอย่างที่คนเป็นองค์ชายควรจะมีอย่างแท้จริงเจียงโจวคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับโขกศีรษะเหมือนโขกกระเทียม“การซื้อทุกครั้งล้วนเป็นไปตามขั้นตอน แต่อาหารคุณภาพดีนั้นหาซื้อได้ยากจริงๆ แม้ว่าจะมีเงินอยู่ในมือ แต่ก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ กระหม่อม กระหม่อมทำไม่ถูก”“อีกอย่าง มีอาหารให้กินก็ดีกว่าอดตาย แม้ข้าวจะแย่แค่ไหน แต่ก็ดีกว่ากินเปลือกไม้และหญ้าหรือไม่?”คำพูดของเจียงโจวนั้น ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะ“ดี ดีมาก แม้ข้าวจะแย่แค่ไหน แต่ก็ดีกว่ากินเปลือกไม้และหญ้า ตอนนี้แม้มีเงินก็หาซื้อข้าวไม่ได้!”หลี่เฉินปล่อยองค์ชายเก้าที่หวาดกลัวจนร่างกายแข็งทื่อ และเดินเข้าไปหาเจียงโจว เมื่อพูดจบ เขาก็ยกเท้าขึ้นมาเตะทันทีลูกเตะนี้ ฟาดเข้ายอดหน้าของเจียงโจวเต็มๆทันใดนั้น เสียงกรีดร้องของเจียงโจวก็ดังกึกก้องไปทั่วฟ้า โดยมีฟันร่วงลงมาค
คำพูดของหลี่เฉินหยาบคายมากแต่ก็เรียบง่ายตรงไปตรงมาที่สุดและผลของมันก็เกิดขึ้นทันทีในที่สุดหวังเถิงฮ่วนก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องการเสียดายทีหลังขององค์รัชทายาท ไม่ใช่การไม่อยากให้องค์ชายเก้าได้รับชื่อเสียง แต่เป็นการฉวยโอกาสทำเป็นเรื่องใหญ่ดังนั้นจึงถูกกำหนดไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะไม่มีวันจบลงง่ายๆเวลานี้ แม้ว่าหวังเถิงฮ่วนจะดำรงตำแหน่งขุนนางมาหลายทศวรรษ และฝึกฝนทักษะไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้ภูเขาไท่จะถล่มลงมาก็ตาม แต่ในใจกลับปั่นป่วนขึ้นมา หลี่เฉินคร้านจะมองหวังเถิงฮ่วนด้วยซ้ำ เขาหันไปมองเจียงโจวแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เจียงโจว ข้าจะไม่ชักจูงให้เจ้าสารภาพ แต่วันนี้ข้าจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจน แค่โจ๊กพวกนี้ วันนี้เจ้าก็หนีความตายไม่พ้น”“แต่เจ้ายังมีโอกาสเลือกได้ว่าจะตายอย่างไร ถ้าเจ้าบอกมาตามตรงว่าใครมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ และมีกระบวนการอย่างไร ข้ารับรองว่าเจ้าจะจากไปแบบไม่เจ็บปวด”พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหลี่เฉินก็ทวีความเย็นชาขึ้นมา “แต่ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองอาจจะโชคดีอยู่ งั้นรอจนกว่าจะเจอทัณฑ์เลาะกระดูก ในขณะที่โดนทัณฑ์เลาะกระดูก เจ้าก็สามารถมองเห็นครอบครัวข
“อ๊าก!!!”ปีนี้ หวังเถิงฮ่วนก็อายุเกินห้าสิบปีแล้ว ดูเหมือนจะไม่แก่มาก แต่อายุขัยโดยเฉลี่ยของประชากรในจักรวรรดิต้าฉินก็อยู่ที่ 55 ปี ดังนั้นเขาจึงนับว่าเป็นผู้เฒ่าอย่างแท้จริงด้วยเหตุนี้ แขนขาผุๆ ของเขาจึงไม่สามารถทนต่อลูกเตะของหลี่เฉินที่อายุน้อยกว่าและแข็งแรงกว่าได้หวังเถิงฮ่วนยกมือกุมท้อง ร่างกายของเขากลิ้งหลุนๆ เหมือนน้ำเต้าร่วงลงพื้น เครื่องแบบราชการที่สะอาดแต่เดิมนั้น เต็มไปด้วยโคลนและหิมะ ทำให้ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเหตุการณ์นี้ อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนหลี่เฉินชี้นิ้วไปที่หวังเถิงฮ่วน และตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ตาเฒ่านี่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ถึงมาบอกว่าข้ากำลังท้าทายราชสำนัก?”“ขุนเขาธาราแห่งนี้ เป็นของสกุลหลี่ไม่ใช่สกุลหวัง ใต้ฟ้าคือแผ่นดินของกษัตริย์ ในสี่ทะเล ทุกคนคือขุนนางของกษัตริย์ ผู้ปกครองใต้หล้านี้คือสกุลข้า หาใช่แซ่หวังอย่างเจ้า!”“ข้าต้องการปรับปรุงการทำงานของราชการ ในสายตาของเจ้าคือท้าทายราชสำนัก!? เหตุใดจึงมีราชสำนัก? ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา? เจ้าอ่านหนังสือมาหลายสิบปี คำสอนสามปฏิบัติห้ามรรคอย่างกษัตริย์คือต้นขุนนางตาม ล้วนอ่านไม่เข้าใจเลยหรือ