“เหตุใดฝ่าบาทถึงทอดพระเนตรหม่อมฉันแบบนี้?”ซูจิ่นพ่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกหลี่เฉินมองไม่วางตา จึงเอ่ยถามขึ้นมา “ไม่มีอะไร”หลี่เฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “วิธการของเจ้าดีมาก”ซูจิ่นพ่าเม้มริมฝีปากและยิ้ม รู้สึกภูมิใจมาก แต่ก็ยังพูดว่า “หม่อมฉันเพียงให้ความคิดอื่น แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะดำเนินการ อีกอย่างต้องวัดขนาดของกบฏ และต้องซ่อนตัวมิให้ราชสำนัก โดยเฉพาะจ้าวเสวียนจีทราบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหากไม่ระวังก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง”“ไม่สำคัญ ข้ารู้ว่าควรจะทำเช่นไร”หลี่เฉินโบกมือแล้วกล่าวตอนนี้เอง ซูเจิ้นถิงก็เฆี่ยนม้าเร็วกลับมา “ท่านพ่อ?”เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงกลับมา ซูจิ่นพ่าก็รีบเดินออกไปต้อนรับซูเจิ้นถิงพยักหน้าให้ จากนั้นก็กำหมัดคารวะหลี่เฉิน “ถวายบังคมองค์รัชทายาท”ความทุกข์ในใจของหลี่เฉินก็ถูกพัดพาไป เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ทัพซู ข้ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับท่าน”ซูเจิ้นถิงได้ยินแบบนั้นก็พูดอย่างจริงจังทันที “ฝ่าบาทโปรดย้ายไปที่ห้องลับ ที่นั่นปลอดภัยอย่างยิ่ง”หลี่เฉินยืนขึ้นและเดินตามซูเจิ้นถิงไปยังห้องลับ ซูจิ่นพ่ารู้ว่าพวกเขาจะพูดเรื่องอะไร
เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงจากไป ซูจิ่นพ่าผู้ซึ่งรู้จักอารมณ์ของบิดาดีจึงรู้ว่า ไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมในเรื่องนี้อย่างแน่นอน นางจึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ซูจิ่นพ่าก็เดินออกจากจวนแม่ทัพใหญ่โดยไม่หันกลับมามอง“คุณหนู พวกเราจะไปที่ไหนกันเจ้าคะ?” สาวใช้คนสนิทเดินเข้ามาใกล้ๆ ซูจิ่นพ่า และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง“ไปหาท่านพี่ ดูว่าเขาจะสามารถขอให้บิดาเปลี่ยนใจได้หรือไม่” ซูจิ่นพ่ากล่าวอย่างมีอารมณ์สาวใช้ตัวน้อยอยากจะบอกว่าถึงแม้ว่านายท่านอยากจะเปลี่ยนใจ แต่องค์รัชทายาทผู้ดุร้ายก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย...แต่เมื่อเห็นท่าทางที่เย็นชาราวกับน้ำค้างแข็งของคุณหนู สาวใช้ตัวน้อยก็กลืนคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากกลับไป ……วันรุ่งขึ้น หลี่เฉินก็ได้รับรายงานจากเฉินทงทันทีที่เขาตื่น “ฝ่าบาท วันนี้องค์ชายเก้าได้พบปะหวังเถิงฮ่วนและคนอื่นๆ จากนั้นก็ออกจากเมืองไป”หลี่เฉินขมวดคิ้วถาม “ไปบรรเทาภัยพิบัติหรือเปล่า?”เฉินทงตอบ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายเก้าออกจากอำเภอทงในตอนเช้า พร้อมกับเสบียงอาหารและหญ้าที่ใช้เลี้ยงม้าจำนวนหนึ่ง ตลอดทางก็ใช้องค์ชายเก้าเป็นตัวแทนของราชวงศ์ที่แสดงถึงคว
“ไม่ต้องพิธีรีตอง”หลี่เฉินโบกมือ และมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ด้านหลังซูผิงเป่ยด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “ทำไมจิ่นพ่าพบข้า แล้วยังไม่ทำความเคารพ?”ซูจิ่นพ่าพองแก้ม นางรู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้าเริ่มน่ารำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นางไม่มีทางเลือก นอกจากต้องก้มหัวโค้งคำนับ“ซูจิ่นพ่าถวายบังคมองค์รัชทายาท ทรงพระเจริญพันปี”“ไม่ต้องพิธีรีตอง”หลี่เฉินหันมาพูดกับซูผิงเป่ยว่า “เจ้าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่หน่วยองครักษ์อวี่หลินหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงยังอยู่ที่บ้าน?”พวกเจ้านายรุ่นหลังๆ มักจะใช้น้ำเสียงนี้จับผิดลูกน้องที่กำลังแอบอู้ซูผิงเป่ยดูขมขื่น เขายกมือขึ้นมากำหมัดแล้วรายงานว่า “มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นที่บ้าน กระหม่อมจึงขอลามาทำธุระล่วงหน้า และตอนนี้ก็กำลังจะกลับไป”หลี่เฉินมองซูจิ่นพ่าอย่างมีเลศนัยจำนวนคนที่อาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ไม่ได้เยอะมากนัก ภรรยาคนแรกของซูเจิ้นถิง ซึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดสองพี่น้อง ได้เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร แม้ว่าในเวลาต่อมา ซูเจิ้นถิงจะรับอนุภรรยามาหลายคน แต่ใครก็ตามที่มีสายตาที่เฉียบแหลม ก็สามารถมองออกว่าซูเจิ้นถิงเพียงรับมือไปตามสถานการณ์เท่
ผู้ที่มา เป็นบัณฑิตรูปงามคนหนึ่งเขาสวมเสื้อคลุมสีเขียว ในมือถือพัดไว้หนึ่งเล่ม ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งมากมายนัก อีกทั้งเสื้อผ้าก็ทำมาจากวัสดุธรรมดาทั่วไป แต่กลิ่นไอกลับดูอ่อนโยนและสง่างาม ทำให้คนรู้สึกสบายใจและอยากจะใกล้ชิดด้วย เวลานี้ เขาจ้องไปที่มือของซูจิ่นพ่าที่ถูกหลี่เฉินจับไว้ ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ซูจิ่นพ่าหันกลับไปมองเขา แล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “ที่แท้ก็คุณชายโหว”โหวอวี้ซูเลื่อนสายตาไปมองหลี่เฉิน จากนั้นก็ถามซูจิ่นพ่าว่า “คุณชายท่านนี้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก ท่านและคุณหนูซูออกมาจากจวนพร้อมกัน ไม่ทราบว่าเป็นญาติของคุณหนูซูท่านใด?”คำถามของโหวอวี้ซูนั้น ถามได้ดีมากชัดเจนว่ากำลังหยั่งเชิงสถานะของหลี่เฉินอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจเห็นได้ชัดว่า เขาใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาของซูจิ่นพ่า และรู้ด้วยว่าซูจิ่นพ่าไม่ชอบคุณชายสำรวยขณะที่ซูจิ่นพ่ากำลังจะตอบ ก็เห็นหลี่เฉินขยับมือ จากนั้นก็รวบซูจิ่นพ่าเข้ามากอด แล้วหันไปพูดกับโหวอวี้ซูด้วยสายตาเฉยเมยว่า “ข้าไม่ใช่ญาติของนาง แต่เป็นคู่หมั้นของนาง”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา โหวอวี้ซูก็แสดงสีหน้าไม่เชื่อ“คุณหนูซู ท่าน
เมื่อเห็นท่าทางของโหวอวี้ซู ซูจิ่นพ่าก็ทนมองเขาตรงๆ ไม่ไหว“คุณชายโหว หยุดถามได้แล้ว สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง”ซูจิ่นพ่าถอนหายใจนางกับโหวอวี้ซูเป็นเพียงคนรู้จักกันแบบผิวเผิน ซึ่งนางจำกัดให้เป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น และรู้สึกว่าอีกฝ่ายพอจะมีความสามารถอยู่บ้างแต่ซูจิ่นพ่าก็ไม่อยากให้โหวอวี้ซูยั่วโมโหหลี่เฉินจริงๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกตัดหัวได้เมื่อโหวอวี้ซูเห็นซูจิ่นพ่ายอมรับทุกอย่าง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดในใจครั้งแรกที่เขาเห็นซูจิ่นพ่า ก็ตกหลุมรักซูจิ่นพ่าอย่างลึกซึ้งแม้กระทั่งตอนกลางคืน เขาก็สาบานกับดวงจันทร์หลายครั้งว่า ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันแต่งงานกับใครนอกจากซูจิ่นพ่าเขาไม่หวั่นกับชาติกำเนิดอันสูงส่งของซูจิ่นพ่า ซึ่งแตกต่างจากเขาเป็นอย่างมาก แต่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีแม้แต่โอกาส“ข้าไม่ยอมรับ!”ใบหน้าของโหวอวี้ซูเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขากล่าวกับหลี่เฉินว่า “ในครึ่งปีหลัง ข้าเขียนบทกวีเจ็ดตัวอักษรที่ชื่อว่า ในประโยคหนึ่งเขียนว่า รำลึกถึงพี่น้องยามขึ้นที่สูง ปักจูอวี๋ขาดข้าเพียงคนเดียว ท่านจิ้งจือ บุคคลสำคัญในด้านวรรณ
“นั่นคือความหมายของคำว่าสะ...เสแสร้งหรือ?”แม้ซูจิ่นพ่าจะรู้สึกสนใจ แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าสองคำนี้จะต้องมีความหมายที่ไม่ดีแน่ๆแต่ด้วยเหตุการณ์นี้ ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจึงดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และแปลกหน้าน้อยลงขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็ค่อยๆ ออกจากพื้นที่ที่มีชีวิตชีวา และความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ออกจากเมืองหลวงแล้ว ทัศนียภาพที่พุพังและเน่าเปื่อยก็ทำให้ซูจิ่นพ่ารู้สึกเศร้า และคำพูดของหลี่เฉินก็หยุดลงในจุดหนึ่ง ทั้งสองฉวยโอกาสที่ตอนนี้หิมะยังน้อย รีบมุ่งหน้าไปที่ตงโจว โดยไม่พูดอะไรสักคำ“จากเมืองหลวงไปตงโจวเพียง 20-30 ลี้ ถ้าเป็นการบรรเทาภัยพิบัติขนาดใหญ่ อีกไม่ไกลก็น่าจะมองเห็นฉากเหล่านั้น” ซูจิ่นพ่าหาหัวข้อคุยหลี่เฉินพยักหน้า “หวังว่าคนเหล่านั้นจะยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง”ซูจิ่นพ่ารู้ดีว่าหลี่เฉินหมายถึงอะไรทุกวันนี้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติกำลังลุกลาม และท้องพระคลังก็ว่างเปล่า ทั้งคนธรรมดาและเจ้าหน้าที่ต่างก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากแต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็มีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติ หากพวกเขาเป็นคนโลภ สิ่งของและเสบียงอาหารบรรเทาภัยพ
สำหรับอาหารเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ต้าฉินมีกฎระเบียบที่ชัดเจนและกฎหมายที่เข้มงวดไม่ว่าภัยพิบัติจะใหญ่หรือเล็ก แต่ตราบใดที่ราชสำนักอนุมัติ และกรมครัวเรือนจัดสรรเงินทุน เงินนั้นจะถูกแจกจ่ายไปยังหน่วยงานท้องถิ่น โดยมาตรการบรรเทาสาธารณภัยใดๆ จะต้องใช้ข้าวครึ่งชามและน้ำสองชาม หากอัตราส่วนน้อยกว่านี้ จะถูกลงโทษสำหรับความผิดฐานเล่นพรรคเล่นพวก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม“เนื่องจากเป็นการบรรเทาสาธารณภัย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดหาอาหารให้ได้ทั้งสามมื้อ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายจักรวรรดิระบุไว้ว่า ใครก็ตามที่เปิดยุ้งฉางเพื่อบรรเทาสาธารณภัยในนามของหน่วยงานราชการ หากตักเต็มทัพพีจากก้นหม้อ แล้วมีเมล็ดข้าวน้อยกว่าหนึ่งในห้าส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือเล็ก จะท้องถิ่นหรือเมืองหลวง พวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกประหาร”น้ำเสียงของหลี่เฉินเย็นชา ขณะจ้องมองใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเจ้าหน้าที่ “ในหนึ่งทัพพีเต็มนี้ อาจมีเมล็ดข้าวแค่หนึ่งในสิบ!?”หลี่เฉินทรงอำนาจแค่ไหน?มีคำพูดในสมัยโบราณว่า เมื่อโอรสสวรรค์ทรงพิโรธจะมีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน หลี่เฉินอาจจะยังไม่ใช่จักรพรรดิในตอนนี้ แต่ก็ยังเป็นว่าที่กษัตริย์ย
ด้วยความโกรธ หลี่เฉินโยนถุงข้าวในมือออกไปแล้วตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวว่า “องครักษ์เสื้อแพร!”องครักษ์เสื้อแพรที่รับผิดชอบหน้าที่คุ้มกันข้างกายในที่มืด ก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลี่เฉินอย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นหลี่เฉินตะโกนเรียกองครักษ์เสื้อแพร ซูจิ่นพ่าก็ตกใจกลัวเพราะไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทผู้เกรี้ยวกราดจะทำอะไรนางรีบหยุดหลี่เฉินทันที และพูดอย่างร้อนรนว่า “ฝ่าบาท อย่าทำเช่นนี้”“สถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้ก็ตึงเครียดพออยู่แล้ว หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก หากดึงขนออกมาแค่เส้นเดียวก็อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งหมดได้ หากฝ่าบาททรงหุนหันพลันแล่น ก็มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดสถานการณ์ใหม่ในราชสำนักขึ้นมา ซึ่งไม่ดีต่อสถานการณ์โดยรวม โปรดคิดให้ดี!”“คิดให้ดี!”หลี่เฉินโกรธจนยิ้มออกมา เขาชี้ไปที่ผู้ประสบภัยที่พยายามแย่งชิงเมล็ดข้าวและทรายบนพื้น จากนั้นก็พูดอย่างเศร้าๆ ว่า “เห็นฉากนี้แล้ว ยังจะให้ข้าคิดอะไรอีก!?”“สามร้อยปีก่อน เมื่อไท่จู่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ได้ประกอบพระราชพิธีบูชาสวรรค์ ณ.ภูเขาไท่ ตอนนั้นได้เขียนหนังสือนิรโทษสวรรค์ และเคยกล่าวไว้ว่า หากลูกหลานตระกูลหลี่ไม่กังวลเก
ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ
เมื่อกงฮุยอวี่พูดจบ นางก็หลับตาลงพักผ่อนอีกครั้งโดยไม่สนใจหลี่เฉินแต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้นแอบมองเล็กน้อย และเห็นหลี่เฉินทำหน้าหม่นหมองอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างพึงพอใจ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้จะเบาบาง แต่ก็แสดงความลำพองได้ชัดเจน“องค์ชาย!”เสียงของวั่นเจียวเจียวที่ดังขึ้นอย่างจงใจ ทำลายความเงียบบนหลังคา“ถึงเวลาเสวยมื้อเช้าแล้วเพคะ เสร็จแล้วต้องเสด็จไปประชุมเช้าเพคะ”วั่นเจียวเจียวมองกงฮุยอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เฉินด้วยสายตาไม่พอใจ ในใจนางคิดว่า (นางจิ้งจอกนี่ เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!)(ผู้หญิงที่ไหนจะไม่หลงเสน่ห์องค์ชายกัน!)(หน้าไม่อาย!)“มาแล้ว”หลี่เฉินลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดแล้วปีนลงจากบันได“จริงสิ”หลี่เฉินที่อยู่กลางบรรไดเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับกงฮุยอวี่ “ส่งข่าวไปบอกเจ้าสำนักของเจ้าให้ไปฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหยินหยางที่ตงอิ๋งเสีย”กงฮุยอวี่ยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจรู้สึกว่าหลี่เฉินช่างไร้เดียงสา นางคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบคำสั่งขององค์รัชทายาทคำขอเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก“ไม่เช่นนั้น ราชสำ
กงฮุยอวี่ยิ้มบางๆ ก่อนตอบเรียบๆ “การบรรลุถึงระดับเซียนบนดินนั้น พรสวรรค์สำคัญกว่าความพยายาม และที่สำคัญยิ่งกว่าพรสวรรค์ คือโชคชะตา การฝึกฝนเพียงลำพังไม่อาจพาให้เข้าสู่ระดับนี้ได้ หากสวรรค์ไม่มอบโอกาส หรือหากตนเองไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะฝึกหนักเพียงใดก็ไม่มีทางไปถึง และเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันของสำนักบัวขาว ก็คือผู้ที่บรรลุถึงระดับเซียนบนดิน”“ในระดับนี้ เขาสามารถอยู่ในสภาพที่คมดาบและหอกธรรมดาทำอะไรไม่ได้ ใช้ดอกไม้หรือใบไม้เป็นอาวุธสังหารได้ทุกชนิด เพียงแค่ปล่อยแรงกดดันจากพลังลมปราณออกมาก็สามารถสังหารผู้อื่นได้”คำอธิบายของกงฮุยอวี่ทำให้หลี่เฉินรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ยิ่งใหญ่ในทันที เขาชี้ไปที่เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนคุ้มกันอยู่โดยรอบก่อนถาม “ถ้าหากเจ้าสำนักของเจ้ามาที่นี่ เหล่าองครักษ์เหล่านี้จะสามารถต้านทานเขาได้กี่คน?”กงฮุยอวี่ดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินคิดอะไร นางตอบเสียงเรียบว่า “หากเป็นเพียงนักยุทธ์ธรรมดา ต่อให้มาหลายร้อยก็เป็นเพียงการมอบชีวิต แต่หากเป็นกองทัพที่มีการฝึกอย่างดีและครบเครื่อง ทั้งกำลังพลและอาวุธ เพียงไม่กี่พันก็สามารถทำให้เซียนบนดินต้องจบชีวิตได้”เมื่อไ
เป็นที่พิสูจน์ว่า หากต้องการยั่วโทสะหญิงสาว เพียงแค่เรียกนางด้วยชื่อที่ไม่น่าฟังเท่านั้นก็เพียงพอแม้ว่ากงฮุยอวี่จะเป็นคนเยือกเย็นปานใด แต่นางก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่เซียนที่ลอยอยู่เหนือวิถีแห่งโลกียะ และยิ่งถ้าหากแม้แต่เซียนจริงๆ ได้ยินคำเรียกเช่นนี้จากหลี่เฉิน ก็คงอดที่จะเกิดโทสะไม่ได้เมื่อเห็นแววตาขุ่นเคืองของกงฮุยอวี่ หลี่เฉินหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยว่า “ทำไม เจ้าโปรดปรานการนั่งอยู่บนหลังคามากนักหรือ?”กงฮุยอวี่ส่งเสียงฮึเบาๆ อย่างเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงนั่งสมาธิต่อ โดยไม่สนใจหลี่เฉินหลังจากนางหลับตา หลี่เฉินกลับเงียบไปอย่างน่าประหลาดเดิมที กงฮุยอวี่คิดว่าหลี่เฉินคงเบื่อและเดินจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา และลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางกลับเห็นหลี่เฉินสั่งให้คนยกบันไดขึ้นมา และเขากำลังปีนบันไดขึ้นมาบนหลังคากงฮุยอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูหลี่เฉินที่กำลังปีนขึ้นมา และเริ่มชั่งใจว่าควรจะลุกออกไปจากที่นี่หรือไม่แต่ก่อนที่นางจะตัดสินใจ หลี่เฉินก็ขึ้นมาถึงบนหลังคาแล้ว“บนนี้ วิวทิวทัศน์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว”ตำหนักบูรพาตั้งอยู่ในที่สูงอยู่แล้ว และเมื่อขึ้นมาบนหล
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน
คำพูดของหลงไหวอี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่ตาวาวขึ้นมาทันที เขาลองถามหยั่งเชิงว่า “อ๋องแห่งแคว้นผู้ที่ท่านกล่าวถึงนั้นคือ…?”หลงไหวอี้ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะจัดให้ท่านพบกับท่านอ๋องผู้นั้น แต่ในเวลานี้ อ๋องฟานยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีที่หลงไหวอี้ชอบปิดบังอะไรไว้เสมอ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจแต่ในเมื่อเขายังต้องพึ่งพาหลงไหวอี้ในหลายๆ เรื่อง หลี่อิ๋นหู่จึงกลืนความไม่พอใจลงไป และยิ้มแย้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ”ทั้งสองคนพูดคุยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่หลงไหวอี้จะลุกขึ้นกล่าวลา “ท่านอ๋อง ข้าขอตัวลา”หลี่อิ๋นหู่รีบกล่าวขึ้น “เรื่องที่ข้าเคยขอให้ท่านช่วยเมื่อวันก่อน...”หลงไหวอี้หยิบตั๋วเงินชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วเงินสองแสนตำลึง ใบละหมื่นตำลึงรวมยี่สิบใบ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์ข้า อีกครึ่งมาจากท่านอ๋องผู้ที่ข้ากล่าวถึง อย่างไรก็ดี ทั้งอาจารย์ข้าและท่านอ๋องผู้นั้นก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเหลือเฟือ…”หลี่อิ๋นหู่ยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าเข้าใจดี
ในเมื่อไม่สามารถสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีได้ จ้าวเสวียนจีจึงเลือกที่จะตัดขาดช่องทางทั้งหมดที่เย่ลู่กู่จ้านฉีจะใช้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นเหลียวแผนการที่ตามมาภายหลังจึงเกิดขึ้นแต่หากหลี่เฉินรู้แผนการนี้ล่วงหน้า เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้จ้าวเสวียนจีสังหารสายลับแคว้นเหลียวสำเร็จเพราะถ้าเย่ลู่กู่จ้านฉีสามารถส่งข้อความกลับแคว้นเหลียวได้ และทำให้แคว้นเหลียวโกรธจนเกิดปัญหาที่เชื่อมโยงไปถึงจ้าวเสวียนจี นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลี่เฉินดังนั้น หากหลี่เฉินคิดจะขัดขวาง เขาย่อมต้องลงมือก่อนที่จ้าวเสวียนจีจะประสบความสำเร็จเมื่อปัดความเป็นไปได้ที่หลี่เฉินจะเกี่ยวข้อง จ้าวเสวียนจีเริ่มครุ่นคิดถึงผู้อื่นที่อาจมีส่วนร่วมอ๋องแห่งแคว้น? หรืออาจเป็นกลุ่มอิทธิพลในราชสำนัก?ความคิดนับร้อยพันพุ่งเข้ามาในหัวเหมือนเงื่อนปมที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถจับจุดได้แม้แต่เงื่อนเดียวในขณะนั้น เสียงไก่ขันดังขึ้นจากนอกหน้าต่างรุ่งอรุณกำลังมาเยือนเสียงไก่ขันทำให้จ้าวเสวียนจีราวกับถูกปลุกให้ตื่น เขาสงบจิตใจลงในทันทีหลังจากโลดแล่นในวงราชสำนักมานานหลายสิบปี แม้จะถูกสถานการณ์บีบคั้นจนเสียศูนย์ชั่วขณะ แต่จ้าวเ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงช่วงจิบชาเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและจบลงเร็วยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงซากศพที่ถูกไฟเผาไหม้และบ้านที่กำลังลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกลุ่มคนชุดดำกระจายตัวออกไปในความมืดหลังจากสังหารสายลับและชิงเอาสิ่งของได้สำเร็จ คนหนึ่งในนั้นที่ถือจดหมายสำคัญไว้ในมือ วิ่งผ่านค่ำคืนมุ่งหน้าไปยังจวนจ้าวเมื่อมาถึงประตูเมืองที่ปิดสนิทในยามค่ำคืน ต่อหน้าคำถามของทหารเฝ้ายาม เขาโยนป้ายออกไปโดยไม่พูดพล่ำ"ที่แท้เป็นคนจากจวนท่านอาวุโสนี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก ข้าจะรีบเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้!"เมื่อเห็นป้ายที่สลักอักษรจ้าวตัวใหญ่ๆ ไว้ ทหารเฝ้าประตูไม่กล้าลังเล รีบส่งสัญญาณให้เปิดประตูทันทีหลังเก็บป้ายคืน คนชุดดำกำลังจะก้าวเข้าเมืองแต่ทันใดนั้น ทหารเฝ้าประตูที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม กลับเผยสีหน้าดุดัน ชักดาบยาวฟันคนชุดดำในทันทีเสียงปังดังขึ้น ร่างของคนชุดดำล้มลงกับพื้นทหารผู้โจมตีคุกเข่าลงค้นตัว หยิบซองจดหมายออกมา เขายิ้มอย่างพอใจและกล่าวกับทหารคนอื่นว่า"พี่น้องทั้งหลาย ขอบใจทุกคนมาก ท่านอ๋องของข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม!"หลังจากกล่าวคำจนจบต่อเหล่าทหารธรรมดาที่กำลังหว
หลี่เฉินหรี่ตามองเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยังคงพูดจาฉะฉานและแสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขากลับไม่ได้ตอบโต้หรือขัดจังหวะจากท่าทีของเย่ลู่กู่จ้านฉี ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเสวียนจีมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเหลียวหลี่เฉินอดผิดหวังไม่ได้เดิมทีเขาหวังว่าจะสามารถหาหลักฐานความผิดของจ้าวเสวียนจีได้ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีไม่รู้อะไรเลย แผนการนี้คงต้องพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ ทำได้เพียงรอให้ข่าวเรื่องเย่ลู่กู่จ้านฉีตกเป็นเชลยแพร่ไปถึงแคว้นเหลียว และหวังให้แคว้นเหลียวเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเองแต่ปัญหาคือ หลี่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ว่าแคว้นเหลียวจะดำเนินการอย่างไรหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็หมดความสนใจที่จะสนทนากับเย่ลู่กู่จ้านฉีอีก เขาลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปเย่ลู่กู่จ้านฉีที่เห็นหลี่เฉินจะจากไป รีบร้อนพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเป็นพยานแล้วหรือ? เรื่องอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายชาติหรือการส่งข่าวกรอง หากเจ้าอยากให้ข้าร่วมมือ ข้าก็ยินดีทำให้"หลี่เฉินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า "สมองของเจ้าเหมาะจะใช้เลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าเท่า