หลี่เฉินกำลังกลัดกลุ้ม จึงมาหาซูเจิ้นถิงเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ ตอนนี้เมื่อซูจิ่นพ่าถาม หลี่เฉินจึงไม่ปิดบังใดๆ เขาเล่าสถานการณ์ในมณฑลซีซานออกมา“ข้าทนเรื่องนี้ไม่ได้ ราชสำนักทั้งบนและล่างล้วนปกปิดเรื่องนี้จากข้า เห็นได้ชัดว่าเป็นเจตนาร้ายของจ้าวเสวียนจี แม้แต่หน่วยบูรพาก็ถูกเก็บไว้ในความมืด หากไม่ใช่เพราะความบังเอิญ เมื่อพวกกลุ่มกบฏเรืองอำนาจอย่างแท้จริง มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของจักรวรรดิต้าฉิน ถึงตอนนั้นรากฐานของประเทศจะสั่นคลอน แล้วข้าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร?”หลี่เฉินตะคอกเสียงเย็นชาแล้วพูดว่า “คนเหล่านี้ทำทุกอย่างเพื่อแย่งชิงอำนาจจริงๆ”ซูจิ่นพ่าทั้งโกรธทั้งตกใจ นางคิดอย่างรอบคอบแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พระองค์ต้องระวังเรื่องนี้ด้วย”หลี่เฉินถาม “เจ้าคิดอย่างไร?”ซูจิ่นพ่าเอียงหัวเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้ว นางคงไม่รู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์ขนาดไหน เวลาทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจังหลี่เฉินรู้สึกสงบขึ้นมากเมื่อเห็นใบหน้าที่สวยงามเช่นนี้ เขาไม่รีบร้อนและรอให้ซูจิ่นพ่าคิดอย่างช้าๆผ่านไปสักพัก ซูจิ่นพ่าก็กล่าวว่า “ก่อนอื่น ข้าแน่ใจว่า จ้าวเสวียนจีจะต้องรู้เรื่องนี้”หลี่เฉินพยักหน้า เรื่อ
“เหตุใดฝ่าบาทถึงทอดพระเนตรหม่อมฉันแบบนี้?”ซูจิ่นพ่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกหลี่เฉินมองไม่วางตา จึงเอ่ยถามขึ้นมา “ไม่มีอะไร”หลี่เฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “วิธการของเจ้าดีมาก”ซูจิ่นพ่าเม้มริมฝีปากและยิ้ม รู้สึกภูมิใจมาก แต่ก็ยังพูดว่า “หม่อมฉันเพียงให้ความคิดอื่น แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะดำเนินการ อีกอย่างต้องวัดขนาดของกบฏ และต้องซ่อนตัวมิให้ราชสำนัก โดยเฉพาะจ้าวเสวียนจีทราบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหากไม่ระวังก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง”“ไม่สำคัญ ข้ารู้ว่าควรจะทำเช่นไร”หลี่เฉินโบกมือแล้วกล่าวตอนนี้เอง ซูเจิ้นถิงก็เฆี่ยนม้าเร็วกลับมา “ท่านพ่อ?”เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงกลับมา ซูจิ่นพ่าก็รีบเดินออกไปต้อนรับซูเจิ้นถิงพยักหน้าให้ จากนั้นก็กำหมัดคารวะหลี่เฉิน “ถวายบังคมองค์รัชทายาท”ความทุกข์ในใจของหลี่เฉินก็ถูกพัดพาไป เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ทัพซู ข้ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับท่าน”ซูเจิ้นถิงได้ยินแบบนั้นก็พูดอย่างจริงจังทันที “ฝ่าบาทโปรดย้ายไปที่ห้องลับ ที่นั่นปลอดภัยอย่างยิ่ง”หลี่เฉินยืนขึ้นและเดินตามซูเจิ้นถิงไปยังห้องลับ ซูจิ่นพ่ารู้ว่าพวกเขาจะพูดเรื่องอะไร
เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงจากไป ซูจิ่นพ่าผู้ซึ่งรู้จักอารมณ์ของบิดาดีจึงรู้ว่า ไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมในเรื่องนี้อย่างแน่นอน นางจึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ซูจิ่นพ่าก็เดินออกจากจวนแม่ทัพใหญ่โดยไม่หันกลับมามอง“คุณหนู พวกเราจะไปที่ไหนกันเจ้าคะ?” สาวใช้คนสนิทเดินเข้ามาใกล้ๆ ซูจิ่นพ่า และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง“ไปหาท่านพี่ ดูว่าเขาจะสามารถขอให้บิดาเปลี่ยนใจได้หรือไม่” ซูจิ่นพ่ากล่าวอย่างมีอารมณ์สาวใช้ตัวน้อยอยากจะบอกว่าถึงแม้ว่านายท่านอยากจะเปลี่ยนใจ แต่องค์รัชทายาทผู้ดุร้ายก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย...แต่เมื่อเห็นท่าทางที่เย็นชาราวกับน้ำค้างแข็งของคุณหนู สาวใช้ตัวน้อยก็กลืนคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากกลับไป ……วันรุ่งขึ้น หลี่เฉินก็ได้รับรายงานจากเฉินทงทันทีที่เขาตื่น “ฝ่าบาท วันนี้องค์ชายเก้าได้พบปะหวังเถิงฮ่วนและคนอื่นๆ จากนั้นก็ออกจากเมืองไป”หลี่เฉินขมวดคิ้วถาม “ไปบรรเทาภัยพิบัติหรือเปล่า?”เฉินทงตอบ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายเก้าออกจากอำเภอทงในตอนเช้า พร้อมกับเสบียงอาหารและหญ้าที่ใช้เลี้ยงม้าจำนวนหนึ่ง ตลอดทางก็ใช้องค์ชายเก้าเป็นตัวแทนของราชวงศ์ที่แสดงถึงคว
“ไม่ต้องพิธีรีตอง”หลี่เฉินโบกมือ และมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ด้านหลังซูผิงเป่ยด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “ทำไมจิ่นพ่าพบข้า แล้วยังไม่ทำความเคารพ?”ซูจิ่นพ่าพองแก้ม นางรู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้าเริ่มน่ารำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นางไม่มีทางเลือก นอกจากต้องก้มหัวโค้งคำนับ“ซูจิ่นพ่าถวายบังคมองค์รัชทายาท ทรงพระเจริญพันปี”“ไม่ต้องพิธีรีตอง”หลี่เฉินหันมาพูดกับซูผิงเป่ยว่า “เจ้าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่หน่วยองครักษ์อวี่หลินหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงยังอยู่ที่บ้าน?”พวกเจ้านายรุ่นหลังๆ มักจะใช้น้ำเสียงนี้จับผิดลูกน้องที่กำลังแอบอู้ซูผิงเป่ยดูขมขื่น เขายกมือขึ้นมากำหมัดแล้วรายงานว่า “มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นที่บ้าน กระหม่อมจึงขอลามาทำธุระล่วงหน้า และตอนนี้ก็กำลังจะกลับไป”หลี่เฉินมองซูจิ่นพ่าอย่างมีเลศนัยจำนวนคนที่อาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ไม่ได้เยอะมากนัก ภรรยาคนแรกของซูเจิ้นถิง ซึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดสองพี่น้อง ได้เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร แม้ว่าในเวลาต่อมา ซูเจิ้นถิงจะรับอนุภรรยามาหลายคน แต่ใครก็ตามที่มีสายตาที่เฉียบแหลม ก็สามารถมองออกว่าซูเจิ้นถิงเพียงรับมือไปตามสถานการณ์เท่
ผู้ที่มา เป็นบัณฑิตรูปงามคนหนึ่งเขาสวมเสื้อคลุมสีเขียว ในมือถือพัดไว้หนึ่งเล่ม ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งมากมายนัก อีกทั้งเสื้อผ้าก็ทำมาจากวัสดุธรรมดาทั่วไป แต่กลิ่นไอกลับดูอ่อนโยนและสง่างาม ทำให้คนรู้สึกสบายใจและอยากจะใกล้ชิดด้วย เวลานี้ เขาจ้องไปที่มือของซูจิ่นพ่าที่ถูกหลี่เฉินจับไว้ ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ซูจิ่นพ่าหันกลับไปมองเขา แล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “ที่แท้ก็คุณชายโหว”โหวอวี้ซูเลื่อนสายตาไปมองหลี่เฉิน จากนั้นก็ถามซูจิ่นพ่าว่า “คุณชายท่านนี้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก ท่านและคุณหนูซูออกมาจากจวนพร้อมกัน ไม่ทราบว่าเป็นญาติของคุณหนูซูท่านใด?”คำถามของโหวอวี้ซูนั้น ถามได้ดีมากชัดเจนว่ากำลังหยั่งเชิงสถานะของหลี่เฉินอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจเห็นได้ชัดว่า เขาใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาของซูจิ่นพ่า และรู้ด้วยว่าซูจิ่นพ่าไม่ชอบคุณชายสำรวยขณะที่ซูจิ่นพ่ากำลังจะตอบ ก็เห็นหลี่เฉินขยับมือ จากนั้นก็รวบซูจิ่นพ่าเข้ามากอด แล้วหันไปพูดกับโหวอวี้ซูด้วยสายตาเฉยเมยว่า “ข้าไม่ใช่ญาติของนาง แต่เป็นคู่หมั้นของนาง”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา โหวอวี้ซูก็แสดงสีหน้าไม่เชื่อ“คุณหนูซู ท่าน
เมื่อเห็นท่าทางของโหวอวี้ซู ซูจิ่นพ่าก็ทนมองเขาตรงๆ ไม่ไหว“คุณชายโหว หยุดถามได้แล้ว สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง”ซูจิ่นพ่าถอนหายใจนางกับโหวอวี้ซูเป็นเพียงคนรู้จักกันแบบผิวเผิน ซึ่งนางจำกัดให้เป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น และรู้สึกว่าอีกฝ่ายพอจะมีความสามารถอยู่บ้างแต่ซูจิ่นพ่าก็ไม่อยากให้โหวอวี้ซูยั่วโมโหหลี่เฉินจริงๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกตัดหัวได้เมื่อโหวอวี้ซูเห็นซูจิ่นพ่ายอมรับทุกอย่าง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดในใจครั้งแรกที่เขาเห็นซูจิ่นพ่า ก็ตกหลุมรักซูจิ่นพ่าอย่างลึกซึ้งแม้กระทั่งตอนกลางคืน เขาก็สาบานกับดวงจันทร์หลายครั้งว่า ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันแต่งงานกับใครนอกจากซูจิ่นพ่าเขาไม่หวั่นกับชาติกำเนิดอันสูงส่งของซูจิ่นพ่า ซึ่งแตกต่างจากเขาเป็นอย่างมาก แต่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีแม้แต่โอกาส“ข้าไม่ยอมรับ!”ใบหน้าของโหวอวี้ซูเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขากล่าวกับหลี่เฉินว่า “ในครึ่งปีหลัง ข้าเขียนบทกวีเจ็ดตัวอักษรที่ชื่อว่า ในประโยคหนึ่งเขียนว่า รำลึกถึงพี่น้องยามขึ้นที่สูง ปักจูอวี๋ขาดข้าเพียงคนเดียว ท่านจิ้งจือ บุคคลสำคัญในด้านวรรณ
“นั่นคือความหมายของคำว่าสะ...เสแสร้งหรือ?”แม้ซูจิ่นพ่าจะรู้สึกสนใจ แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าสองคำนี้จะต้องมีความหมายที่ไม่ดีแน่ๆแต่ด้วยเหตุการณ์นี้ ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจึงดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และแปลกหน้าน้อยลงขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็ค่อยๆ ออกจากพื้นที่ที่มีชีวิตชีวา และความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ออกจากเมืองหลวงแล้ว ทัศนียภาพที่พุพังและเน่าเปื่อยก็ทำให้ซูจิ่นพ่ารู้สึกเศร้า และคำพูดของหลี่เฉินก็หยุดลงในจุดหนึ่ง ทั้งสองฉวยโอกาสที่ตอนนี้หิมะยังน้อย รีบมุ่งหน้าไปที่ตงโจว โดยไม่พูดอะไรสักคำ“จากเมืองหลวงไปตงโจวเพียง 20-30 ลี้ ถ้าเป็นการบรรเทาภัยพิบัติขนาดใหญ่ อีกไม่ไกลก็น่าจะมองเห็นฉากเหล่านั้น” ซูจิ่นพ่าหาหัวข้อคุยหลี่เฉินพยักหน้า “หวังว่าคนเหล่านั้นจะยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง”ซูจิ่นพ่ารู้ดีว่าหลี่เฉินหมายถึงอะไรทุกวันนี้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติกำลังลุกลาม และท้องพระคลังก็ว่างเปล่า ทั้งคนธรรมดาและเจ้าหน้าที่ต่างก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากแต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็มีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติ หากพวกเขาเป็นคนโลภ สิ่งของและเสบียงอาหารบรรเทาภัยพ
สำหรับอาหารเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ต้าฉินมีกฎระเบียบที่ชัดเจนและกฎหมายที่เข้มงวดไม่ว่าภัยพิบัติจะใหญ่หรือเล็ก แต่ตราบใดที่ราชสำนักอนุมัติ และกรมครัวเรือนจัดสรรเงินทุน เงินนั้นจะถูกแจกจ่ายไปยังหน่วยงานท้องถิ่น โดยมาตรการบรรเทาสาธารณภัยใดๆ จะต้องใช้ข้าวครึ่งชามและน้ำสองชาม หากอัตราส่วนน้อยกว่านี้ จะถูกลงโทษสำหรับความผิดฐานเล่นพรรคเล่นพวก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม“เนื่องจากเป็นการบรรเทาสาธารณภัย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดหาอาหารให้ได้ทั้งสามมื้อ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายจักรวรรดิระบุไว้ว่า ใครก็ตามที่เปิดยุ้งฉางเพื่อบรรเทาสาธารณภัยในนามของหน่วยงานราชการ หากตักเต็มทัพพีจากก้นหม้อ แล้วมีเมล็ดข้าวน้อยกว่าหนึ่งในห้าส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือเล็ก จะท้องถิ่นหรือเมืองหลวง พวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกประหาร”น้ำเสียงของหลี่เฉินเย็นชา ขณะจ้องมองใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเจ้าหน้าที่ “ในหนึ่งทัพพีเต็มนี้ อาจมีเมล็ดข้าวแค่หนึ่งในสิบ!?”หลี่เฉินทรงอำนาจแค่ไหน?มีคำพูดในสมัยโบราณว่า เมื่อโอรสสวรรค์ทรงพิโรธจะมีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน หลี่เฉินอาจจะยังไม่ใช่จักรพรรดิในตอนนี้ แต่ก็ยังเป็นว่าที่กษัตริย์ย