“เฉินทง”หลี่เฉินตะโกนเรียกในไม่ช้า เฉินทงก็เข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง และทำความเคารพหลี่เฉิน“ถวายบังคมองค์รัชทายาท ทรงพระเจริญพันปี”“เฉินทงเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในขณะที่เจ้ามองหาสิ่งนี้ หากต้องการความช่วยเหลือหรือผู้ช่วย ก็สามารถติดต่อเฉินทงได้โดยตรง”เมื่อพูดกับหลิวซือฉุนเสร็จ หลี่เฉินก็หันมาอธิบายกับเฉินทงว่า “สิ่งนี้สำคัญมาก เจ้ากับองครักษ์เสื้อแพร จะต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”เฉินทงกำหมัดคารวะ แล้วพูดว่า “กระหม่อมรับพระราชดำรัสสั่ง!”มันเทศแดงปลูกง่าย ให้ผลผลิตสูง ซึ่งส่วนใหญ่สามารถเป็นอาหารหลักแทนข้าวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติติดต่อกันหลายปี และความอดอยากทั่วทั้งประเทศเช่นนี้ สิ่งนี้มีรสชาติอร่อยกว่ารากหญ้าหรือเปลือกไม้อย่างแน่นอนเมื่อแพร่หลายแล้ว ปัญหาการขาดแคลนอาหารที่รบกวนจักรวรรดิต้าฉินมานานหลายร้อยปี ก็สามารถแก้ไขได้ในตอนแรกหลี่เฉินแค่อยากจะลองดูเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าหลิวซือฉุนจะนำความหวังอันริบหรี่มาสู่เขาได้จริงๆเมื่อก้อนหินขนาดใหญ่ในใจร่วงหายไป หลี่เฉินก็อารมณ์ดีขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหลี่เฉินอารมณ์ดี
ซานเป่าวิ่งพรวดพราดเข้ามาในพระที่นั่ง คุกเข่าเสียงดังแล้วโขกหัวเหมือนนก “องค์รัชทายาทโปรดระงับโทสะ องค์รัชทายาทโปรดระงับโทสะ”หลี่เฉินเพิกเฉยต่อหลิวซือฉุนที่หวาดกลัว เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปหาซานเป่า ดวงตาของเขาเย็นเฉียบราวกับมีด“ทหาร!”หลี่เฉินกัดฟันตะโกนออกมา นอกพระที่นั่ง องครักษ์เสื้อแพรสองนายก็เดินถือดาบเข้ามาหลี่เฉินชักดาบที่ข้างเอวขององครักษ์เสื้อแพรหนึ่งนายโดยไม่พูดไม่จา และพาดดาบไปที่คอของซานเป่า“ซานเป่า ข้าเห็นว่าเจ้าคงเหนื่อยกับการมีชีวิตจริงๆ!”ดาบซิ่วชุนขององครักษ์เสื้อแพร ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าคนโดยเฉพาะ ใบดาบเย็นยะเยือกและคมกริบสุดขีด ซานเป่ารู้สึกได้ว่าใบดาบนั่นได้บาดคอของตัวเองแต่ซานเป่าไม่กล้าขยับ เขาแค่พูดด้วยสีหน้าวิงวอนว่า “ถ้าฝ่าบาทอยากให้บ่าวคนนี้ตาย บ่าวก็ไม่กล้าอยู่ แต่ได้โปรดให้บ่าวตายโดยทราบสาเหตุด้วย บ่าวปฏิบัติตามพระราชดำรัสสั่งของฝ่าบาททุกอย่าง จัดการงานอย่างระมัดระวัดด้วยความรับผิดชอบ ไม่กล้าดูหมิ่นหรือหลอกลวงฝ่าบาทแต่อย่างใด ชีวิตบ่าวที่ต่ำต้อยไม่มีอะไรเลย แต่ฝ่าบาททรงมีเกียรติยิ่งนัก มีเรื่องอันใดที่ทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธขึ้นมาเช่นนี้?”ซานเป่าสม
กล่าวจบ ซานเป่าก็โขกหัวข้างๆ เท้าของหลี่เฉินอย่างแรง หลี่เฉินโกรธจัดและหัวเราะออกมา เขาใช้เท้าเตะซานเป่าจนกลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้นซานเป่าไม่กล้าขัดขืนและไม่กล้าดิ้นรน เขารีบลุกขึ้นมาคุกเข่าตามเดิม โดยรักษาท่าทางที่นอบน้อมและถ่อมตัวที่สุด“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการตายที่ยุติธรรมแล้ว มา บั่นหัวไอ้ตัวไร้ประโยชน์นี่ให้ข้า!”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้องครักษ์เสื้อแพรไม่กล้าไม่ทำตาม ในขณะที่จะลงมืออยู่นั้น จู่ๆ ซานเป่ากลับพูดเสียงสั่นขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท บ่าวยินดีที่จะตายเพื่อบรรเทาความพิโรธของฝ่าบาท แต่ได้โปรดให้โอกาสบ่าวได้ไถ่โทษของบ่าวด้วย!”“สำหรับมณฑลซีซานนั้นสถานการณ์มีความซับซ้อน ตอนนี้ บ่าวสงสัยว่าการล่มสลายของหน่วยบูรพาสาขานั้นกับกลุ่มกบฏ อาจจะเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหรือแม้แต่กองทัพในมณฑลซีซานอย่างแยกไม่ออก เมื่อประกอบกับสถานการณ์ในปัจจุบันของราชสำนัก ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดครั้งใหญ่”ซานเป่ากล่าว ขณะโขกหัวเหมือนโขกกระเทียม น้ำเสียงของเขาดูโศกเศร้า “บ่าวไม่เสียดายที่ต้องตาย แต่ทนไม่ได้ที่จะเห็นพวกโจรเหล่านี้ สมคบกันก่อความเดือดร้อนให้แก่
เมื่อเห็นดวงตาที่ลุกเป็นไฟบนใบหน้าที่เย็นชาของหลี่เฉิน หลิวซือฉุนก็ตกใจนางคุ้นเคยกับดวงตาเหล่านี้ดีเพราะเวลาที่พวกผู้ชายมองนาง ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีสายตาเช่นนี้เพียงแต่ไม่มีผู้ชายคนไหนเข้มแข็งและมีอำนาจเท่ากับองค์รัชทายาท และอีกฝ่ายก็ไม่คิดที่จะอำพรางความรู้สึกเลยแม้แต่น้อยหลิวซือฉุนกัดฟันแน่น นางเดินเข้าไปหาหลี่เฉินทีละก้าวหลี่เฉินยกมือขึ้น และดึงหลิวซือฉุนเข้ามาในอ้อมแขนแล้วให้นางนั่งลงหลิวซือฉุนต้องการจะต่อต้านตามสัญชาตญาณแต่กลับถูกหลี่เฉินกอดไว้แน่นบั้นท้ายที่อวบอิ่มและเด้งดึ๋งของหลิวซือฉุน กดทับลงบนหน้าตักของตัวเอง ทำให้หลี่เฉินรู้สึกราวกับว่ามีน้ำมันราดบนกองไฟ ทันใดนั้นเปลวไฟที่ดูเหมือนจะมอดดับ ก็ลุกโชนขึ้นมาโดยพลัน“อย่าต่อต้าน”หลี่เฉินกล่าวเสียงกระซิบ “เจ้าก็รู้ ว่าเจ้าต่อต้านข้าไม่ได้”หลิวซือฉุนหายใจถี่ในส่วนที่บอบบางที่สุดของร่างกายผู้หญิง รู้สึกได้ถึงรูปร่างของหลี่เฉินอย่างชัดเจนซึ่งการสัมผัสแบบนี้ เกินกว่าขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่สังคมอนุญาต ทำให้หลิวซือฉุนกลายเป็นคนโง่งมไปชั่วขณะ“องค์รัชทายาท ไม่ได้เพคะ ”ในความลนลาน หลิวซือฉุนก็ทำไ
ทั่วทั้งห้องโถงพลันเงียบงันพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คำพูดของกวางกงกลับรุนแรงแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนคนสนิทคนหนึ่งของซานเป่ายกมือขึ้นแล้วก็พูดว่า “ขอแค่กวางกงสั่ง ข้าก็พร้อมที่จะตาย แต่กวางกง มันเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”ซานเป่ายกมือแตะรอยเลือดที่คอของเขาอย่างช้าๆ แล้วกัดฟันพูดว่า “เมื่อครู่ ข้าเกือบจะถูกองค์รัชทายาทตัดหัว!”“เป็นเพราะการแบ่งแยกมณฑลซีซาน ทำให้ยุทธการที่สำคัญต้องล่าช้า และตอนนี้ สามอำเภอของมณฑลซีซาน ก็ถูกยึดครองโดยพวกกบฏ”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ก็สร้างความตื่นตกใจให้กับคนทั้งห้องคำว่า “กบฏ” นั้น แม้จะคิดในใจก็รู้สึกตกใจและหวาดกลัวอยู่ดี มีบางคนทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ ซานเป่ากวาดสายตาที่มืดมนของเขารอบหนึ่ง ก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ทุกคน ยกเว้นผู้ที่ต้องอยู่ที่สำนักงานใหญ่ คนอื่นๆ ทั้งหมดจะติดตามข้าไปมณฑลซีซาน ครั้งนี้องค์รัชทายาททรงพิโรธมาก แม้ว่าทั้งมณฑลซีซานจะนองเลือด พวกเราก็ต้องสอบสวนเรื่องนี้ให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องตาย และพวกเจ้าทุกคนก็จะไม่มีใครรอด”ด้วยบารมีที่ซานเป่าสะสมมาหลายปี ยอดฝีมือขององครักษ์เสื้อแพรต่างก็กำหมัดแล้วตะโกนว่า “น้อมรับคำสั่
“เรื่องนี้ ข้าอนุมัติ”หลังจากผ่านไปนาน จนหลิวซือฉุนแทบจะหมดหวัง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงเหมือนเสียงสวรรค์“ข้าจะแจ้งให้ผู้บัญชาการป้องกันชายฝั่งทราบ และให้ความช่วยเหลือแก่พวกเจ้า แต่ไม่อาจป่าวประกาศไปทั่วได้”“เจ้าเป็นประชาชน จึงไม่ทราบความร้ายแรงของราชสำนัก เมื่อเพลิงไหม้เกิดขึ้น คนแรกที่ถูกทำลายคือครอบครัวหลิวของเจ้า ดังนั้นก็รับผิดชอบกันเอาเอง”หลิวซือฉุนข่มความดีใจแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันทราบถึงความร้ายแรงดี และจะไม่พูดมากเพคะ”หลี่เฉินกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้ารู้ว่าที่เจ้าขอขนส่งทางทะเล อีกจุดประสงค์หนึ่งน่าจะเป็น การนำบางสิ่งที่ทางราชสำนักไม่อนุญาต ผลกำไรของสินค้าลักลอบนำเข้าเหล่านี้ สูงมากพอที่จะทำให้พ่อค้าคนใดคนหนึ่งยินดีรับความเสี่ยง”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หลิวซือฉุนตัวสั่นเล็กน้อย แต่เขาไม่ฟังคำอธิบายของนาง หลี่เฉินพูดต่อไปว่า “แต่ข้าไม่สนใจ หากไม่ให้พวกเจ้ากินเนื้อเสียบ้าง แล้วพวกเจ้าจะยอมตายเพื่อข้าได้อย่างไร”“จำเอาไว้ว่า ข้าไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเรื่องที่ข้าบอกให้พวกเจ้าทำ แล้วพวกเจ้าก็ดีแต่พูด ข้าจะลืมความรู้สึกในคืนนี้”หลิวซือฉุนรู้สึกฝาดอยู่ในใจ สำหรับ
ในยุคนี้ สตรีในครอบครัวไม่สามารถพบแขกได้อย่างง่ายดาย จนกว่าพวกนางจะออกมาจากเรือนส่วนตัวแม้จะเป็นญาติผู้ใหญ่มาก็เช่นกันดังนั้นตั้งแต่สมัยโบราณจึงมีคำกล่าวที่ว่า “รออยู่ในห้องส่วนตัว” หรือ “ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซูจิ่นพ่าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ ใครก็ตามที่บุกเข้ามาโดยใช้กำลัง พวกเขาจะถูกผู้คุ้มกันของจวนแม่ทัพใหญ่โยนออกไปแต่สถานะของหลี่เฉินนั้นสูงศักดิ์มาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหมั้นหมายกับซูจิ่นพ่า จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางจวนแม่ทัพใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ หลี่เฉินเดินประมาณหนึ่งเค่อ จึงจะเดินออกจากสวนดอกไม้ด้านหลัง และมาถึงเรือนส่วนตัวของซูจิ่นพ่าแม้จะบอกว่าเป็นเรือนส่วนตัว แต่จริงๆ แล้วมันเป็นลานเล็กๆ ที่มีเอกลักษณ์มากกว่าภายในลานมีภูเขาจำลอง ลำธาร มีศาลาและระเบียงทางเดิน แม้เรือนแห่งนี้จะถูกแยกออกมา ก็ยังถือได้ว่าเป็นบ้านหรูที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้ก่อนที่หลี่เฉินจะเข้ามา เขาได้ยินเสียงฉินดังมาจากลานบ้านเสียงฉินดังอย่างเร่งเร้า ราวกับลูกปัดตกลงบนจานหยก ดุจเสียงกีบม้าโจนทะยาน ทุกจังหวะทุกท่วงทำนองเพลง ดึงความรู้สึกกล้าหาญของ
เมื่อเห็นว่าหลี่เฉินเผด็จการและตรงไปตรงมาเพียงใด ซูจิ่นพ่าก็กัดฟันแน่น นางหันกลับมาไล่ตามเขาและพูดว่า “ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่า พื้นฐานของความรักระหว่างคนสองคนก็คือ การที่ชายหญิงทั้งสองฝ่ายต่างยินยอมสมัครใจกัน? การบีบบังคับเช่นนี้ คู่ควรกับรสนิยมความรักของฝ่าบาทหรือ?”“ไม่จำเป็นต้องยั่วยุข้าด้วยคำพูด”หลี่เฉินมาที่ศาลาแล้วนั่งลง เขายกมือลูบฉินที่ตั้งอยู่ด้านหน้าซึ่งซูจิ่นพ่าเพิ่งเล่นไปเมื่อครู่ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “สำหรับข้า สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกนั้นไร้สาระที่สุด ข้าคือองค์รัชทายาท ส่วนเจ้าคือพระชายาองค์รัชทายาท ในอนาคตข้าจะขึ้นครองราชบัลลังก์ เจ้าก็จะกลายเป็นฮองเฮาของจักรวรรดิต้าฉิน มารดาแห่งแผ่นดิน นี่เป็นชะตากรรมของเจ้า มันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจ้าเกิดในจวนแม่ทัพ และเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้”“สำหรับสิ่งที่เรียกว่าความรัก ข้าไม่อยากพูดถึงมัน”ซูจิ่นพ่าโกรธจัด นางพูดอย่างไม่พอใจว่า “แต่นี่ไม่สอดคล้องกับความคิดเรื่องความรักของจิ่นพ่า!”“แล้วใครสนล่ะ?”หลี่เฉินหัวเราะในความคิดเห็นของเขา ซูจิ่นพ่าตรงตามมาตราฐานของคนที่ไม่เคยถูกสังคมทำร้าย จึงเป็นคนโง่ที่ไร้เ
“องค์ชายทรงพระปรีชา ข้าน้อยไม่กล้ากระทำการอันมิชอบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”กวนจือเหวยที่กำลังดีใจถึงครึ่งทางถึงกับสะดุ้งโหยง รีบแสดงความจงรักภักดีทันทีสำหรับหลี่เฉินแล้ว เขายังเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของกวนจือเหวยแม้ความสามารถของกวนจือเหวยจะธรรมดา แต่ทัศนคติในการทำงานถือว่าดีเยี่ยม อีกทั้งยังรู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำหลังจากตักเตือนเพียงไม่กี่คำ หลี่เฉินก็ปล่อยให้กวนจือเหวยและซูเจิ้นถิงกลับไปแต่เขาเรียกซ่งอิงซิงให้อยู่ต่อซ่งอิงซิงรู้สึกกระสับกระส่ายแต่ก็ไม่กล้าถามอะไร ทำได้เพียงติดตามหลี่เฉินกลับไปยังพระที่นั่งสีเจิ้งอย่างเงียบ ๆเมื่อเข้าไปในพระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินกล่าวขึ้นทันที “ข้ามีภารกิจสำคัญให้เจ้า หนึ่งในเรื่องลับสุดยอด ห้ามเปิดเผยแม้แต่กับกวนจือเหวย”ซ่งอิงซิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับตัวสั่น รีบคุกเข่าลงพร้อมกล่าวด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยน้อมรับพระบัญชา”“ข้าตั้งเจ้าให้มีตำแหน่งในราชการแล้ว แม้ยังไม่ได้มีพระราชโองการเป็นทางการ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกตัวเองว่าผู้น้อยแล้ว จงเรียกตัวเองว่าข้าน้อยเถิด”คำพูดนี้ทำให้ซ่งอิงซิงน้ำตาคลอการได้รับตำแหน่งในราชการ แม้จะเป็นเพียงตำ
หลี่เฉินไม่ได้ปฏิเสธคำขอของซูเจิ้นถิงการสร้างปืนในตอนแรกเป็นเพียงความคิดที่หลี่เฉินต้องการเสริมความปลอดภัยให้กับตนเองแต่ในเมื่อปืนกระบอกแรกประสบความสำเร็จในการผลิตแล้ว การสร้างเพิ่มเพื่อฝึกทหารปืนกลุ่มเล็ก ๆ สำหรับปกป้องตัวเองก็ถือว่าเป็นอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งได้เช่นกันหลี่เฉินที่รู้สึกว่าความปลอดภัยของตนเพิ่มขึ้นอีกระดับก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ “ไม่มีปัญหา ท่านแม่ทัพซู ออกหนังสือจากสำนักบัญชาการทหารสูงสุดส่งไปยังกรมโยธาธิการ ให้พวกเขาผลิตตามคำสั่งได้เลย แต่จำนวนคงเพิ่มมากไม่ได้หรอก ซ่งอิงซิง ใช้เวลานานเท่าไรในการผลิตปืนหนึ่งกระบอก?”ซ่งอิงซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลายี่สิบวันพ่ะย่ะค่ะ”“ยี่สิบวันก็ยี่สิบวัน!”ซูเจิ้นถิงกัดฟันและกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าต้องการหนึ่งร้อยกระบอก”คำสั่งที่ฟังดูเหมือนการเรียกร้องมากเกินไปนี้ ทำให้กวนจือเหวยมีสีหน้าลำบากใจ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธซูเจิ้นถิงตรง ๆ เขาทำได้เพียงกล่าวด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านแม่ทัพ ปืนนี้ผลิตยากมาก ไม่เพียงแต่ใช้เวลานาน แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงมากด้วย เฉพาะต้นทุนวัสดุของปืนแต่ละกระบอกก็ใกล้เ
ในเมื่อทุกคนต่างเป็นผู้ใหญ่ การพูดอะไรแข็งกร้าวเพื่อปกป้องจุดยืนของตนเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ถึงกระนั้น ก็ควรจะคำนึงถึงความจริงพื้นฐานด้วยระยะห้าสิบก้าว สำหรับทหารม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีนั้น แทบจะใช้เวลาเพียงไม่กี่พริบตาเท่านั้นในการพุ่งเข้าใส่เป้าหมายและหากพูดถึงทหารม้า แคว้นเหลียว ก็เป็นที่รู้กันว่าเก่งกาจที่สุดในปัจจุบันก่อนหน้านี้ยังมี แคว้นจิน ที่สามารถต่อกรกับแคว้นเหลียวได้บ้าง แต่ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา หลังจากแคว้นเหลียวขยายอำนาจ กลืนกินชนเผ่าทุ่งหญ้าอื่น ๆ และครอบครองทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์มากขึ้น แคว้นจินก็ไม่อาจต้านทานแคว้นเหลียวได้อีกต่อไปยิ่งไปกว่านั้น ทหารม้าของ จักรวรรดิต้าฉิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย พวกเขาแทบจะวิ่งตามหลังแคว้นเหลียวและแคว้นจิน กินฝุ่นอยู่ตลอดแต่ถึงทหารม้าจะเร็วแค่ไหนก็ตามหากนำแนวคิดการยิงสามแถวต่อเนื่องตามที่หลี่เฉินเสนอ และจับคู่กับปืนที่ไม่น่าจะมีในยุคสมัยนี้แล้ว สิ่งนี้ก็คืออาวุธมหาประลัยที่จะกวาดล้างทหารม้าจากทุ่งหญ้าได้โดยสิ้นเชิงดังนั้น สีหน้าของเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ดูเหมือนจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเมื่อเห
ผิงกั่วบนศีรษะของเย่ลู่กู่จ้านฉีระเบิดกระจุย น้ำผลไม้และเนื้อผิงกั่วกระเซ็นไปทั่ว ไหลลงมาตามเส้นผมจนเปื้อนใบหน้าเมื่อหยดน้ำผลไม้ไหลผ่านมุมปาก เขาสัมผัสได้ถึงรสเปรี้ยวหวานเล็กน้อยแต่ไม่มีอะไรจะกลบความหวาดกลัวอันมหาศาลที่กำลังถาโถมเข้ามาในใจได้เขารู้ชัดเจนว่าเมื่อครู่ มีบางสิ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงจนทำให้ผิงกั่วระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ หากสิ่งนั้นพุ่งเข้ามาที่ตัวเขา คงได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่หากเล็งไปที่ศีรษะ แม้ไม่ระเบิดเหมือนผิงกั่ว แต่ก็ต้องทะลุหัวแน่นอนเย่ลู่กู่จ้านฉีซึ่งเพิ่งรอดชีวิตจากเหตุการณ์เฉียดตาย ยืนเหม่อด้วยความตกตะลึงซูเจิ้นถิงเองก็ตกตะลึงเช่นกันแต่ในความตกใจนั้นกลับแฝงไปด้วยความยินดีการยิงจากระยะห้าสิบก้าวและยังคงมีอานุภาพทำลายล้างสูง ชุดเกราะทั่วไปไม่อาจป้องกันได้ นี่หมายความว่า หากอาวุธนี้ถูกนำไปใช้ในสนามรบ จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสงครามได้โดยสิ้นเชิง!“องค์ชาย ทรงมีฝีมือแม่นปืนยอดเยี่ยม!”ซ่งอิงซิงกล่าวชมเชยด้วยความจริงใจแม้เขาจะเป็นผู้ผลิตปืนกระบอกนี้ แต่ทักษะการยิงของเขากลับไม่ได้เรื่อง ดังนั้น เมื่อเห็นองค์รัชทายาทสามารถยิงผิงกั่วที่อยู่ไกลถึงห้าสิบก้าวไ
ที่เย่ลู่กู่จ้านฉีดูเหมือนไร้ศักดิ์ศรีนั้น ไม่ใช่เพราะเขาขี้ขลาด แต่ลองให้ใครก็ตามถูกบังคับให้กินซาลาเปาเพียงสองลูกติดต่อกันสิบกว่าวัน พอเห็นเนื้อก็คงแทบคลั่งเหมือนกันในขณะนั้นเอง ขันทีน้อยคนหนึ่งเดินถือผิงกั่วเข้ามาตรงหน้าเย่ลู่กู่จ้านฉีเย่ลู่กู่จ้านฉีขมวดคิ้วแน่นหมายความว่าอะไร?ผลไม้ก่อนมื้ออาหารหรืออย่างไร?“ท่านอ๋อง ข้าคิดว่า ก่อนกินข้าว เรามาเล่นอะไรสนุก ๆ สักหน่อยดีกว่า ขอความกรุณาท่านอ๋องช่วยเอาผิงกั่ววางไว้บนศีรษะด้วย”คำพูดของหลี่เฉินทำให้เย่ลู่กู่จ้านฉีโกรธจัด“เจ้าคิดจะทำอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะ ไยต้องใช้วิธีน่าขายหน้าแบบนี้เพื่อดูถูกข้า?”เย่ลู่กู่จ้านฉีรู้สึกว่าหลี่เฉินจงใจทำให้เขาอับอายประหนึ่งลิงในงานแสดงความภาคภูมิใจในฐานะอ๋องเก้าแห่งแคว้นเหลียวทำให้เขาไม่อาจทนรับการดูหมิ่นเช่นนี้ได้แต่ความเป็นจริงที่เขายังคงเป็นนักโทษ ทำให้เขาต้องยอมจำนนแม้จะกัดฟันพูดจาข่มขู่ หลายคำ แต่สุดท้าย เย่ลู่กู่จ้านฉีก็ต้องยกผิงกั่ววางบนศีรษะอย่างว่าง่ายขณะทำตามคำสั่ง เขาก็ปลอบใจตัวเองในใจหึ...ในประวัติศาสตร์ของพวกเจ้า ข้าเคยได้ยินเรื่องนักรบผู้กล้าหาญที่ยอมอดทนต่อความอัปยศเพ
ในเมื่อจะทดลองปืนเป้า ก็ต้องหาเป้าที่เหมาะสมคราวก่อนหลี่เฉินรู้ตัวดีว่า ปืนที่ใช้ก็แค่ไม้สำหรับก่อไฟ ดังนั้นเขาจึงหาต้นไม้ต้นหนึ่งมายิงเล่นไปตามเรื่อง แต่ครั้งนี้ หลี่เฉินต้องการอะไรที่เร้าใจกว่านั้นและไม่มีอะไรจะเป็นเป้าที่เร้าใจได้มากไปกว่าเย่ลู่กู่จ้านฉี อ๋องเก้าแห่งแคว้นเหลียวแล้วเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉี ซึ่งถูกขังอยู่ในเรือนแคบ ๆ มานานเกือบครึ่งเดือน ถูกลากตัวออกมา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความงุนงง“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน?”เมื่อเห็นหลี่เฉินถือสิ่งของประหลาดอยู่ในมือ เย่ลู่กู่จ้านฉีก็รู้สึกขนลุกเกรียวทันทีโดยไม่รู้สาเหตุหลี่เฉินไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับยิ้มบาง ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ข้ามีข่าวดีจะบอกท่าน แคว้นเหลียวได้รับจดหมายของท่านแล้ว และยอมรับเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ ตอนนี้พวกเขากำลังนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน และอีกไม่เกินสิบวันครึ่งเดือน ท่านก็จะได้กลับไปเป็นอิสระ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาที่มองหลี่เฉินเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอีกสิบวันครึ่งเดือนเท่านั้น ข้าก็จะได้กลับไปยังแคว้นเหลียว กลับสู่ฐานะอ๋องเก้าแห่งแคว้นเหลียว เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะ
”องค์ชายโปรดวางพระทัย ข้ามีความมั่นใจในกองทหารอยู่ แม่ทัพส่วนมากล้วนภักดีต่อองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงโบกมือหลี่เฉินส่ายศีรษะ กล่าวว่า "แม้ว่าแม่ทัพระดับสูงส่วนใหญ่จะอยู่ฝ่ายเรา แต่พวกแม่ทัพระดับกลางล่ะ?""จงจำไว้ว่าทั้งในกองทัพหรือกรมต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่น คนที่ทำงานจริง ๆ คือตำแหน่งระดับกลาง พวกเขาคือสะพานเชื่อมระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่าง""หากแม่ทัพระดับกลางจำนวนมากทรยศไป จะทำให้แม่ทัพระดับสูงไม่มีอำนาจในกองทัพ และหากทหารชั้นล่างทั้งหมดตามแม่ทัพระดับกลางไป พวกแม่ทัพระดับสูงก็จะไร้ค่าในทันที""เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ประมาท สิ่งที่ควรระวัง ก็ต้องระวัง"ซูเจิ้นถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ข้าจะหาทางสับเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพ พวกที่ไม่จงรักภักดีจะถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งเดิม""นั่นก็เป็นวิธีหนึ่ง"หลี่เฉินกล่าวเสริมว่า "จ้าวเสวียนจีฝังรากลึกในระบบราชการมานาน แม้ว่าเขาจะมีความขัดแย้งกับกองทัพมาโดยตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนของเขาแทรกซึมอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ในการควบคุมเมืองหลวง จริง ๆ แล้วไม่ต้องใช้กำลังมากมาย ทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายก็เพียงพอ หรือถ้าเป็นทหารฝีมือดีจริง ๆ แค่เจ็
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของโจวผิงอัน หลี่เฉินไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ“ถอยออกไปเถอะ”หลี่เฉินมองดูโจวผิงอันที่ค่อย ๆ ถอยออกไปหลังจากคารวะอีกครั้ง ดวงตาของเขาเป็นประกายวูบไหวไม่หยุดผ่านคืนนี้ไป หลี่เฉินมั่นใจแล้วว่า หากโจวผิงอันมีใจคิดทรยศขึ้นมา เขาจะกลายเป็นคนที่จัดการได้ยากยิ่งกว่าจ้าวเสวียนจีเสียอีกแต่ตอนนี้ หลี่เฉินยังไม่อยากฆ่าโจวผิงอันโจวผิงอันผู้ชาญฉลาดประหนึ่งอสูร มีหรือจะไม่รู้ว่าหลี่เฉินหวาดระแวงเขา?แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเข้ามาและอยู่ต่อเองหลี่เฉินเองก็ไม่มั่นใจว่า หากฆ่าโจวผิงอัน จะนำพาปัญหาที่ใหญ่กว่ามาหรือไม่ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้สูงส่งกว่าแล้ว การใช้ขุนนางซื่อสัตย์เป็นทักษะหนึ่ง แต่การใช้คนเจ้าเล่ห์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นับเป็นความสามารถที่ยิ่งใหญ่กว่าโจวผิงอันก็เหมือนดาบสองคมหากใช้ผิด อาจหันกลับมาทำร้ายตัวเองได้แต่ถ้าใช้ให้ดี เขาก็จะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน หลี่เฉินก็ตัดสินใจที่จะอดทนไว้ก่อนด้วยความที่เขาคือผู้มีความรู้จากโลกอนาคตที่ล้ำหน้ากว่ายุคนี้นับพันปี หลี่เฉินเชื่อว่า หากเขาสามารถควบคุมอำนาจได้ทั้งหมด เขาจะสร้างจักรวรรดิที่แข
หลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ เสด็จพ่อยังทรงพระชนม์อยู่ ข้าย่อมไม่อาจปลงพระชนม์ได้”สำหรับหลี่เฉิน นี่ถือเป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความจริงใจโจวผิงอันยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แปลกใจกับคำปฏิเสธนั้น และตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ยังมีอีกวิธี”“บีบให้จ้าวเสวียนจีก่อกบฏ”น้ำเสียงของโจวผิงอันเยือกเย็น “ไม่ว่าจะเป็นการที่องค์ชายขึ้นครองบัลลังก์หรือวิธีอื่น เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการทำให้จ้าวเสวียนจีไม่มีทางเลือก จนต้องก่อกบฏ เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะถูกประณามจากทั่วหล้า และไม่ว่าองค์ชายจะปลดหรือประหารเขา ก็จะเป็นไปตามครรลองแห่งธรรม”“ขุนนางก่อกบฏ องค์ชายทรงสังหาร นั่นคือความชอบธรรมที่ไม่มีใครปฏิเสธได้”“เช่นนี้ จะช่วยให้ราษฎรสงบปากสงบคำ และยังป้องกันไม่ให้อ๋องแห่งแคว้นทั้งหลายใช้ข้ออ้างว่าราชสำนักสั่นคลอนเพื่อยกทัพมาปราบด้วย”คำพูดนี้กระแทกใจหลี่เฉินโดยตรงทำไมเขาไม่กำจัดจ้าวเสวียนจีตั้งแต่ต้น?เพราะหากใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการกำจัดจ้าวเสวียนจี ราชสำนักจะเข้าสู่ภาวะอัมพาตทันทีแผ่นดินจะวุ่นวาย