“เป็นยังไงบ้าง ศศิรา? แผลลึกไหม?”
กวีรีบรุดมาดูน้องสาวด้วยความเป็นห่วงทันทีที่รู้ว่าเธอบาดเจ็บ โดยมีรสรินติดตามเขามาด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ แต่ห้ามบอกแม่นะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง”
“เธอนี่ก็เป็นแบบนี้ทุกที”
กวีตำหนิน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“พี่กวีคะ ฉันปวดหัวมาก ขอยาหน่อยได้ไหมคะ?”
รสริน หญิงสาวผู้ช่ำชองในเสน่ห์ เอ่ยขึ้นพลางส่งสายตาเว้าวอน
“ครับ เดี๋ยวผมไปจัดยาให้”
กวีตอบรับอย่างสุภาพ
“ขอบคุณนะคะ”
รสรินกล่าวพร้อมเอื้อมมือไปจับมือเขา แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอสนใจกวีมากเพียงใด
ศศิรากับปัทมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ต่างพากันส่ายหน้า
“ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจริง ๆ”
ปัทมากระซิบเบา ๆ
ในขณะนั้นเอง ชัญญาเดินเข้ามาพร้อมขนมในมือ
“พี่กวี นี่ค่ะ ขนม”
“ขอบคุณนะครับ น้องชัญญา”
กวียิ้มรับด้วยความจริงใจ เพราะในใจลึก ๆ แล้ว เขาเองก็ชอบผู้หญิงแบบชัญญาเช่นกัน เป็นการดีที่เข้าค่ายหกวันนี้จะศึกษาซึ่งกัน
วันที่ห้าของการเข้าค่ายอาสา ….
เช้าวันนี้บรรยากาศบนดอยงดงามราวกับภาพวาด แสงแดดอ่อน ๆ ทาบทอลงบนยอดหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอกบาง ๆ
อากาศหนาวเย็นจนไออุ่นจากลมหายใจลอยเป็นควันจาง ๆ อาจารย์พานักศึกษาออกเดินสำรวจธรรมชาติ ชื่นชมความงดงามของขุนเขาและป่าไม้
พร้อมทั้งเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านในชุมชนเล็ก ๆ แห่งนี้ บ้านไม้หลังเล็กตั้งเรียงรายอยู่ริมทางเดิน กลิ่นฟืนจากเตาผสมน้ำควันไฟลอยมาแตะจมูก เสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นเจื้อยแจ้ว
ขณะที่ชาวบ้านบางคนกำลังนั่งสานตะกร้า บ้างก็กำลังเตรียมอาหารพื้นเมือง
รสรินเลือกเดินเคียงข้างพศวัตและดนัย แต่ดวงตาของเธอกลับจับจ้องไปยังกวีกับชัญญาไม่วางตา
“พศวัตคะ ช่วยพยุงหน่อยได้ไหมคะ? ฉันเจ็บขาน่ะ”
เธอเอ่ยเสียงหวาน พร้อมแตะข้อศอกเขาเบา ๆ
สายตาของกลุ่มนักศึกษาจับจ้องมายังคู่ของพศวัตและรสริน หลายคนกระซิบกระซาบถึงความเหมาะสมของสองคนนี้ ดาวมหาวิทยาลัยกับเดือนมหาวิทยาลัย คู่ที่ดูสมกันราวกับถูกลิขิตไว้
รสรินยิ้มพอใจ เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบเหล่านั้น
“ศศิรา ค่อย ๆ เดินนะ จริง ๆ ไม่ต้องมาก็ได้ เจ็บขาขนาดนี้”
ปัทมาเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ขณะเดินเคียงข้างเพื่อนที่ขาข้างหนึ่งยังเจ็บอยู่
“มาพี่ช่วยพยุง”
กวีรีบกล่าว เสนอจะช่วยทันที แต่สายตาเขายังมองไปยังชัญญา
“ไม่ต้องพี่! พี่ไปเดินกับชัญญาโน่นเลย เธอไม่มีเพื่อน”
ศศิราเอ่ยเสียงเรียบ ส่งสายตาไปยังชัญญาที่กำลังมองมาอยู่พอดี
ชัญญายิ้มกว้างทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจที่ศศิราเปิดโอกาสให้เธอได้อยู่ใกล้กวี
พศวัต แม้จะเดินอยู่กับรสริน แต่สายตาของเขากลับเหลือบมองศศิราเป็นระยะ คล้ายกับไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้
“โอ๊ย!”
เสียงร้องแผ่วดังขึ้น
ศศิราหยุดเดินทันที เธอเซเล็กน้อยก่อนจะทรุดลงนั่ง มือจับข้อเท้าตัวเองแน่น หยาดเลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากแผลเล็ก ๆ บริเวณข้อเท้า
“ขอโทษ! ขอโทษนะ ฉันมัวแต่มองเด็กน้อย ลืมดูทาง พาเธอมาเดินเหยียบหินจนได้”
ปัทมาหน้าเสีย รีบทรุดตัวลงข้าง ๆ
“ไม่เป็นไร ฉันนั่งรออยู่ที่นี่ดีกว่า เธอไปกับเพื่อน ๆ ก่อน ขากลับค่อยมารับฉันก็ได้”
ศศิราฝืนยิ้มบาง ๆ พลางโบกมือไล่ให้เพื่อนไปต่อ
พศวัตชะงักไปทันทีที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บของศศิรา แม้ว่าทุกคนจะเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่เขากลับไม่ก้าวตามไป
“รสริน คุณเดินไปกับดนัยก่อนนะ ผมขอดูแถวนี้ก่อน”
เขาหยุดเดินแล้วหันไปบอกหญิงสาวที่กำลังคล้องแขนเขา
“รสไปด้วยได้ไหมคะ? รสอยากอยู่กับคุณ”
รสรินเอ่ยเสียงออดอ้อน
“ไม่! ผมอยากเดินคนเดียว”
เขาตอบเสียงแข็ง สีหน้าปราศจากความลังเล
รสรินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ อย่างไม่เต็มใจ
เมื่อกลุ่มเพื่อนเดินจากไปจนลับสายตา พศวัตจึงรีบสาวเท้ากลับมายังจุดที่ศศิรานั่งอยู่
“ทำไม? เดินไม่ไหวรึไง คนเก่ง?”
น้ำเสียงของเขามีแววเย้าหยอกปนขบขัน
ศศิราเบือนหน้าหนี ไม่ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว
“ผมพูดด้วยนะ ไม่พูดด้วย?”
เขาเลิกคิ้ว หรี่ตาลงเล็กน้อย
หญิงสาวยังคงนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมามอง
“นี่เธอจะโกรธอะไรฉันนักหนา อย่าบอกนะว่าโกรธเรื่องวันวาเลนไทน์ ที่ฉันปฏิเสธความรักของเธอ?”
ทันใดนั้น ศศิราก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว น้ำตาคลอหน่วย
“ขอโทษนะคะ วันนั้นฉันแค่อยากให้ช็อกโกแลตคุณ เหมือนกับหลาย ๆ คนที่ชื่นชอบคุณ ในฐานะ FC ไม่ใช่สารภาพรัก กรุณาเข้าใจใหม่ด้วย!”
เธอพูดเน้นทุกถ้อยคำ สายตาจับจ้องเขาแน่นไม่ละสายตา
“และที่ฉันไม่ได้อยากเข้าใกล้คุณ ไม่ใช่เพราะฉันโกรธคุณ แต่เพราะฉันรู้แล้วว่าคุณเป็นคนยังไง คุณคิดว่าตัวเองสูงส่ง เลือกได้ และดูถูกความรู้สึกของคนอื่น ต่อให้ผู้ชายทั้งโลกเหลือแค่คุณ ฉันก็ยอมไม่มีแฟน!”
“นี่เธอ!”
เขากัดฟันแน่น ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างโมโห
“ทำไม? รับไม่ได้เหรอคะ? พ่อคนสูงส่ง?”
ศศิราแค่นหัวเราะเยาะสะใจ เพราะรู้ว่าคำพูดของเธอถิ่มแทงใจของเขายิ่งนัก
พศวัตไม่รอช้า เขากระชากต้นคอเธอเข้ามาใกล้ ก่อนจะกดริมฝีปากของเขาบนริมฝีปากของเธอทันที!
ศศิราตาเบิกกว้าง! เธอทุบอกเขาสุดแรง พยายามดิ้นรนให้หลุดจากการกดแนบแน่น ลมหายใจของเธอหอบถี่ขึ้น ราวกับอากาศรอบตัวถูกดูดหายไปหมด
เพี๊ยะ!!
ฝ่ามือบางตวัดฟาดลงบนใบหน้าของเขาอย่างแรง! เสียงดังสะท้อนท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันบนดอยสูง
“ฉันเคยคิดว่าคุณเป็นแค่คนใจร้อน ขี้อวด ทะนงตัว แต่ฉันไม่คิดว่าคุณจะเลวได้ขนาดนี้!”
เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่อาจกลั้นไว้ได้
พศวัตชะงัก ร่างแข็งค้างไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนี้กับเธอ
นี่เป็นจูบแรกของเขา แต่กลับเป็นจูบที่แปดเปื้อนความโกรธและความรู้สึกผิด
เขาทรุดตัวนั่งลง มองดูเธอร้องไห้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่กดแน่นอยู่ในอก ราวกับอยากจะเอื้อมมือไปปลอบ แต่กลับไม่มีความกล้าพอ
เสียงฝีเท้าของกลุ่มนักศึกษาดังใกล้เข้ามา ศศิรารีบปาดน้ำตาทิ้ง พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“ศศิรา! ทำไมหน้าตาแดงแบบนั้น?”
ปัทมาเอ่ยถามทันทีที่เห็น
“อากาศคงร้อน พาฉันกลับที่พักหน่อย อยากกลับแล้ว” เธอกล่าวเสียงเบา
“ไปสิ ไปพักกันเถอะ”
กวีกับปัทมาช่วยกันพยุงเธอลุกขึ้น พาเดินกลับไปพศวัตยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังของเธอที่ค่อย ๆ ห่างออกไปเรื่อย ๆ
“พี่วัต ทำไมไม่นั่งอยู่ตรงนี้ล่ะคะ?”
เสียงของชัญญาดังขึ้น
“ไม่ไปเดินกับพี่ดนัยกับพี่รสรินเหรอคะ? อย่าบอกนะว่าสนใจศศิรา?”
เขายังคงเงียบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“เปล่า พี่แค่เหนื่อย เลยพักอยู่ตรงนี้ ไม่มีอะไรหรอก”
แต่ในใจกลับว้าวุ่นจนหาคำตอบไม่ได้ว่า...ทำไมเขาถึงรู้สึกเป็นแบบนี้ หรือว่าเขาชอบศศิราจริงๆ
ค่ำคืนสุดท้ายของการเข้าค่ายอาสา…
เสียงหัวเราะดังเคล้ากับเสียงเพลงที่บรรเลงอยู่กลางลานกว้างใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน แม้จะไม่มีแอลกอฮอล์ แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
หนุ่มสาวต่างคณะจับกลุ่มพูดคุย บางคนได้เพื่อนใหม่ บางคนได้คนรู้ใจ และบางคนก็ได้มิตรภาพที่ไม่มีวันลืม
แต่ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเหล่านั้น พศวัตกลับจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ความสับสนกัดกินจิตใจเขา… นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้
ทั้งชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยต้องเป็นฝ่ายคิดถึงผู้หญิงคนไหนก่อน เพราะมีแต่ผู้หญิงที่พยายามเข้าหาเขา แต่ศศิรา… เธอแตกต่าง
“พศวัตคะ คิดอะไรอยู่เหรอคะ”
เสียงหวานของ รสริน ดึงเขากลับมาสู่ปัจจุบัน เธอเดินเข้ามาพร้อมยื่นกระป๋องน้ำอัดลมให้เขา ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่ได้สังเกตเห็นความว้าวุ่นในแววตาของเขา
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
เขารับกระป๋องเครื่องดื่มมา เปิดฝาและจิบมันเบาๆ
“คุณสนุกไหมกับค่ายอาสาครั้งนี้”
“สนุกค่ะ โดยเฉพาะที่มีคุณอยู่ด้วย”
รสรินหัวเราะเบาๆ พลางมองเขาด้วยสายตาหมายความนัย
แต่พศวัตกลับเหม่อลอย สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ราวกับกำลังมองหาใครบางคน
“นายเป็นอะไร ฉันเห็นซึมๆ ตั้งแต่กลางวันแล้วนะ”
ดนัยที่เดินผ่านมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย พศวัตสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่มีอะไร ฉันง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน”
เขาตัดบทเสียงเรียบ ก่อนจะวางกระป๋องเครื่องดื่มลงบนโต๊ะไม้ข้างตัว แล้วผละออกจากวงสนทนา
เขาตัดสินใจเดินกลับที่พัก ทั้งที่หัวใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่น
แม้ข้างนอกจะอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความสุข แต่ในใจเขากลับหนักอึ้งยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว… ทำไมเขาต้องสับสนแบบนี้? ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงทำให้เขาไขว้เขวได้ขนาดนี้?
เช้าวันรุ่งขึ้น…
เสียงประกาศจากอาจารย์ดังขึ้นผ่านโทรโข่ง ปลุกให้นักศึกษาที่ยังง่วงงุนรีบเร่งเตรียมตัวขึ้นรถกลับมหาวิทยาลัย
“ให้นักศึกษาขึ้นรถ! ขามาใครนั่งกับใคร ขากลับให้นั่งกับคนนั้น อย่าเปลี่ยนนะ! ดูเพื่อนของเราด้วยว่าใครมาหรือยังไม่มา ตรวจให้ครบนะพวกนักศึกษาทั้งหลาย!”
เสียงประกาศดังก้องไปทั่วลานกว้าง ศศิราขึ้นรถประจำที่ของตน พศวัตก้าวตามมาติดๆ นั่งลงตรงที่เดิม
บรรยากาศบนรถเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและร้องเพลงของนักศึกษาที่กำลังปลดปล่อยความเหนื่อยล้าจากการทำกิจกรรมตลอดหลายวันที่ผ่านมา
แต่สำหรับพศวัตและศศิรา… ภายในใจกลับเงียบสงัดราวกับพายุที่สงบก่อนการโหมกระหน่ำ
พศวัตหันมามองเธอ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไป
“เออ... เมื่อวาน ผมขอโทษนะที่ทำไม่ดีกับเธอ”
ศศิราหันมาช้าๆ ดวงตาคมสบกับเขาเพียงแวบเดียวก่อนจะเหยียดยิ้มบาง
“คุณชายอย่างคุณ พูดคำว่าขอโทษเป็นด้วยเหรอ?”
คำพูดของเธอเป็นเหมือนเข็มแหลมที่จงใจกรีดแทงเข้าไปในใจเขา พศวัตเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมขอโทษจากใจจริง ผมอารมณ์ร้อนไปหน่อย”
ศศิราหัวเราะในลำคอเบาๆ ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่เป็นไรหรอก ต่อไปเราไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันอีก... ฉันไม่ได้อยากเห็นหน้าคุณอีกแล้ว”
สิ้นคำพูด เธอก็หันหน้าออกไปทางหน้าต่างก่อนจะดึงผ้าคลุมไหล่ขึ้นมาคลุมใบหน้าราวกับต้องการตัดขาดบทสนทนา
พศวัตอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียง กลืนคำพูดทั้งหมดกลับไป
ตลอดทางกลับมหาวิทยาลัย ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างพวกเขา มีเพียงความเงียบ และ ความเย็นชาที่เกาะกุมหัวใจพศวัตแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อรถจอดที่มหาวิทยาลัย นักศึกษาต่างร่ำลากัน ก่อนจะแยกย้ายกลับหอพักของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้าจากค่ายอาสา ไม่มีใครอยากยืดเยื้ออยู่ตรงนี้นานๆ
แต่พศวัตยังคงนั่งนิ่ง... เฝ้ามองแผ่นหลังของศศิราที่เดินจากไป... และความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างเงียบงัน
หลายเดือนต่อมา...บรรยากาศวันรับปริญญาอบอวลไปด้วยความชื่นมื่นและเสียงแห่งความยินดี วันแห่งความสำเร็จการศึกษาของ พศวัต,ดนัย, กวี และรสรินวันนี้ทุกคณะเต็มไปด้วยผู้คน นักศึกษารุ่นน้องต่างถือดอกไม้ ลูกโป่ง และของขวัญมาแสดงความยินดีกับเหล่าบัณฑิตเสียงเพลงบรรเลงจากลำโพง เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังก้องไปทั่วบริเวณ บางมุมมีครอบครัวของบัณฑิตถ่ายรูปเก็บความทรงจำบางมุมมีกลุ่มเพื่อนช่วยกันจัดช่อดอกไม้และคล้องพวงมาลัยให้อย่างสนุกสนานศศิราและปัทมาเดินเข้ามาสมทบ ร่วมแสดงความยินดีกับกวี ว่าที่คุณหมอคนใหม่ ขณะที่ชัญญา น้องสาวของพศวัตก็เข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ“ยินดีกับพี่กวีมากๆ เลยนะคะ ที่จะได้เป็นหมอสมใจสักที”ชัญญากล่าวพร้อมรอยยิ้มจริงใจกวีหันมายิ้มอบอุ่นให้เธอ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ขอบคุณนะครับชัญญา สำหรับกำลังใจที่ดีของพี่”ทุกคนต่างรับรู้ว่าชัญญาคบหากับกวี แต่ในมุมหนึ่ง รสรินที่ยืนยิ้มแสดงความยินดีอยู่กลับรู้สึกไม่ต่างจากการฝืนยิ้ม ภายในใจของเธอไม
บ้านพศวัต...“แม่ค่ะ วันนี้ไม่ต้องรอหนูนะคะ ทานข้าวได้เลยค่ะ หนูจะไปหาพี่กวีที่โรงพยาบาล”เสียงของชัญญาดังลอดมาทางโทรศัพท์“ไปทุกวันเลยนะ ยัยชัญญา”แม่พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งบ่นกึ่งเป็นห่วง“กวี...นี่แฟนน้องใช่ไหมครับ คนที่คบกันมา 3 ปี”“ใช่ พามาบ้านแค่สองครั้งเอง เขาเป็นหมอ ไม่ค่อยมีเวลา”“เขานิสัยดีไหมครับ”“ก็ดูสุภาพนะ วัตเคยเจอเขาเหรอ?”“เรียนจบพร้อมกัน แต่ไม่คิดเลยว่าน้องจะยังคบกับเขาอยู่ เหมือนตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าเขามีแฟนชื่อศศิราหรือเปล่า”“วัตน่าจะเข้าใจผิดนะลูก ศศิรานั้นเขาเป็น” ไม่ทันที่แม่จะพูดจบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พศวัตรับสายทันทีเขารับสายเสร็จก็หันมาพูดคุยกับแม่“เดี๋ยวผมไปบริษัทกับพ่อก่อน เย็นๆ จะกลับมาทานข้าวด้วยนะครับ”“จ้าลูก” แม่ตอบพร้อมรอยยิ้มโรงพยาบาล…ชัญญาเดินถือถุงอาหารเช้าและขนมที่ตั้งใจซื้อมาให้กวีเหมือนทุกวัน แต่ทันทีที่เธอเปิดประตูเข้าไป ภาพตรงหน้าทำให้เธอแทบหยุดหายใจรสริน...นั่งอยู่บนตักของก
หลังเรียนจบ ศศิราได้ส่งใบสมัครไปยังบริษัทมากมาย ทั้งเล็กและใหญ่ หวังเพียงได้งานมั่นคง แต่โลกความจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้นโทรศัพท์เงียบสนิท ไม่มีบริษัทไหนเรียกสัมภาษณ์เธอเลยระหว่างรอเรียกสัมภาษณ์งาน สามเดือนมานี้เธอจำต้องกัดฟันทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ เธอพยายามหาเงินเลี้ยงดูตัวเอง แต่โชคชะตายังไม่เข้าข้างเธอ เมื่อสองวันก่อนพ่อของเธอได้ประสบอุบัติเหตุ และต้องผ่าตัดด่วน เธอจึงจำเป็นต้องเร่งหาค่ารักษาพยาบาลถึงสองล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่หนักอึ้งราวกับหินก้อนใหญ่ทับลงบนอกของเธอเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง… สองล้านมันมากเกินไปแต่เธอก็ต้องดิ้นรนเพราะไม่ว่าวิธีใดเธอก็ต้องพยายามหาเงินมาให้ได้ร้านเหล้า... บาร์... อะไรก็ตามที่ได้เงิน เธอทำหมด ไม่ว่ามันจะสกปรกแค่ไหนในสายตาคนอื่นเธอก็ไม่แคร์ ขอแค่พ่อของเธอได้ผ่าตัดก็พอแล้วบาร์ของดนัย... จุดเริ่มต้นของโชคชะตาเสียงเพลงดังสนั่น แสงไฟสีแดงสลัวทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์และกลิ่นบุหรี่“วันนี้ฉันจะเลี้ยงฉลองการกลับมาของเราสองคน! เมาไม่เมาช่างมัน แต่ต้องเต็มที่! ใช่ไหมวะ พศวัต?”ดนัยตะโกนเสียงดัง ปลดกระดุมเสื้ออย่างคนเมาได้ที่พ
คอนโดพศวัต...ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก พศวัตกระชากแขนศศิราอย่างแรง ก่อนจะผลักเธอเข้าไปด้านในโดยไม่สนใจเสียงร้องตกใจของเธอ ประตูปิดลงดัง“ปัง!”เขากักขังเธอไว้ในพื้นที่ของเขา บรรยากาศในห้องยังคงอึมครึมและร้อนระอุ ไม่ใช่อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศ แต่เป็นความอัดอั้นและแรงอารมณ์ที่ล้นทะลักศศิรายังคงหอบหายใจถี่ เธอยืนเซถอยหลัง ดวงตาสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น ความรู้สึกกลัวแล่นไปทั่วร่างจนมือเย็นเฉียบ ขาของเธออ่อนแรงแทบยืนไม่ไหวพศวัตยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แววตาแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยแรงโกรธที่สะกดกลั้นไว้ ราวกับนักล่าที่กำลังจ้องเหยื่อที่ไร้ทางหนี ศศิราเม้มริมฝีปากแน่น พยายามสะกดกลั้นความหวาดกลัวที่จู่โจมเข้ามาไม่หยุด เธอรู้ว่าเขากำลังโกรธ โกรธมาก...แต่ทำไม?เธอรวบรวมความกล้า กลืนก้อนสะอื้นลงคอ แล้วเอ่ยขึ้นเสียงสั่น“ฉันไม่รู้ว่าคุณโกรธเกลียดฉันด้วยสาเหตุอะไร... แต่ขอร้อง...ช่วยเมตตาฉันหน่อยได้ไหมคะ?”เธอไม่ได้ร้องไห้ แต่ดวงตาของเธอสะท้อนความเจ็บปวดและวิงวอนอย่างสุดหัวใจพศวัตจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่ตอบคำถามนั้นทันที เพราะในหัวของเขา มีเพียงเรื่องเดียวที่วนเวียนซ้ำไปมา... การแก้แค้น
คอนโดของพศวัต…เช้านี้แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนขนาดใหญ่ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความเงียบสงบ ศศิราเริ่มขยับตัว ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดอุ่นของพศวัตหัวใจเธอเต้นแรงเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เธอพยายามจะขยับออกจากอ้อมแขนเขา แต่กลับถูกวงแขนแข็งแรงรัดแน่นขึ้น“ทำไมเช้ามานี่ก็จะหนีกลับเลยเหรอ”เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ข้างหู“เปล่าสักหน่อย ฉันแค่อึดอัด” เธอขยับตัวอีกครั้ง“แต่คุณก็นอนกอดผมทั้งคืน ผมยังไม่เคยบ่น”เขายิ้มมุมปากเธอค้อนใส่เขาหนึ่งที ก่อนจะพยายามลุกขึ้นจากเตียง พศวัตยอมคลายอ้อมแขนแต่โดยดี“ไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวออกไปทานข้าวด้วยกัน”เขาสั่งเสียงเข้ม“ชุดของคุณอยู่ในถุง ผมให้เลขาซื้อมาให้แล้ว”ศศิรามองเขาอย่างงุนงง ไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้“ขอบคุณค่ะ”เธอพูดเบา ๆ ก่อนจะคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้พศวัตนอนอยู่บนเตียงในสภาพที่แทบไม่เหลือเสื้อผ้าปกปิดกาย“นี่เธอ...”เขาเรียก...แต่เธอกลับหัวเราะสะใจแล้วปิดประตูห้องน้ำใส่หน้าเขาไปเมื่ออาบน้ำเสร็จ ศศิราออกมาพร้อมกับชุดเดรสสีขาวเปิดไหล่แต่จุดที่ทำให้เธอต้องชะงักคือตรงลำคอและเนินอกมีรอยแดง
คอนโดพศวัต...เมื่อพศวัตรล่วงรู้ความจริง เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้ทำผิดต่อศศิรามากเพียงใด นับจากนี้ไป เขาพร้อมจะชดเชยทุกอย่างให้เธอด้วยหัวใจ โดยปราศจากความแค้นอีกต่อไปไม่มีแล้วซาตานที่กระหายการล้างแค้น เหลือเพียงชายหนุ่มที่คลั่งรักเธอหมดใจเท่านั้น“คุณหิวไหม? เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานนะ คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ”เสียงของเขาอ่อนโยน แฝงไปด้วยความห่วงใยศศิรายิ้มบาง ๆ แม้จะงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา แต่หัวใจก็อบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด“ไปเถอะ ผมบอกแล้วไง... ต่อจากนี้ ผมจะดูแลคุณเอง” ดวงตาของเขามั่นคง ราวกับกำลังยืนยันคำพูดให้หนักแน่นขึ้นเธอไม่ได้ตอบอะไร เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้เขามองตามด้วยรอยยิ้มบาง ๆเขาลงมือเตรียมอาหารง่าย ๆ ด้วยความใส่ใจ ทุกขั้นตอนเต็มไปด้วยความพิถีพิถันเขาตีไข่ไก่ในชาม เติมน้ำปลาเล็กน้อยและตีให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ก่อนค่อย ๆ หยอดเนื้อปูสดแน่น ๆ ลงไปอย่างระมัดระวัง กระทะร้อนฉ่าเมื่อเขาเทน้ำมันลงไปให้เดือดจัด ควันบาง ๆ ลอยขึ้นพร้อมเสียงไข่ที่กระทบกระทะดัง“ฉ่า!”กลิ่นหอมของไข่เจียวปูที่กำลังฟูกรอบค่อย ๆ อบอวลไปทั่วห้อง เขาใช้ตะหลิวพลิกอย่างชำ
เสียงรองเท้าหนังคุณภาพดีสะท้อนกับพื้นกระเบื้องมันวาว ทุกสายตาจับจ้องไปยัง พศวัต รองประธานหนุ่มผู้เพียบพร้อมที่ก้าวเข้ามาในออฟฟิศ พร้อมกับ ศศิรา แฟนสาวของเขา ซึ่งรับตำแหน่งเป็นเลขาส่วนตัวเสียงซุบซิบแว่วมาจากพนักงานรอบข้าง“แฟนรองประธานสวยมาก...”พศวัตได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาเอื้อมมือโอบเอวศศิราอย่างเคยชินให้เดินเคียงข้างเขา แต่หญิงสาวกลับรีบแตะมือเขาเบา ๆ แล้วดันออกอย่างสุภาพ“คุณพศวัต คนเยอะนะคะ ทำแบบนี้ไม่งามหรอก”เธอกระซิบเสียงเบา แก้มขึ้นสีระเรื่อเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตานับสิบที่จับจ้องมา“ไม่งามตรงไหน คุณเป็นแฟนผม ผมอวดได้เป็นธรรมดา” พศวัตตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาเจิดจ้าด้วยความภาคภูมิศศิราได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปยังห้องทำงานที่ถูกจัดเตรียมไว้บรรยากาศการประชุมช่วงบ่ายมาถึงอย่างรวดเร็ว ห้องประชุมหรูหราของบริษัทเต็มไปด้วยบุคคลสำคัญจากสามบริษัท ได้แก่ บริษัทพศวัต, บริษัทดนัย, และ บริษัทของปัทมา ทั้งหมดร่วมมือกันในโครงการก่อสร้างของรัฐครั้งใหญ่เสียงเปิดประตูดึงดูดสายตาทุกคน เมื่อ ศศิรา ก้าวเข้ามาและทรุดตัวนั่งข้างพศวัตดนัย จ้องมองเธออย่างไม่อ
เสียงเครื่องช่วยหายใจยังคงทำงานอย่างสม่ำเสมอ เครื่องวัดชีพจรส่งสัญญาณเป็นจังหวะ ทุกอย่างภายในห้องพักฟื้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษจากหนังสือที่กวีกำลังอ่านให้ชัญญาฟังจากอุบัติเหตุรถชน ชัญญาก็นอนเป็นเจ้าหญิงนิทรามานานกว่า6เดือนแล้ว ตลอดเวลานี้ กวีไม่เคยทอดทิ้งเธอเลย เขายังคงดูแลเธอทุกวัน เฝ้าอยู่ข้างเตียง คอยพูดคุยแม้จะไม่มีเสียงตอบกลับ เขากินนอนในห้องนี้แทบตลอดเวลา เว้นเพียงช่วงที่ต้องเข้าเคสผ่าตัดเท่านั้นแสงแดดยามสายส่องลอดม่านบางๆ เข้ามา รำไรบนใบหน้าของชัญญา เธอดูสงบ ราวกับเพียงแค่หลับใหล“หมอครับ อาการของชัญญาเป็นยังไงบ้าง?”กวีถามขึ้นขณะคุณหมอเจ้าของไข้ตรวจร่างกายเธออย่างละเอียดคุณหมอเงยหน้ามองเขาแล้วยิ้มบางๆ อย่างให้กำลังใจ“ร่างกายเธอตอบสนองต่อยาดีมาก สัญญาณชีพจรปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ตอนนี้เราต้องรอให้สมองเธอส่งสัญญาณตอบสนอง”คำตอบนั้นทำให้กวีรู้สึกโล่งใจ แม้จะยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน แต่ก็ยังมีความหวังวันนี้เป็นวันหยุดของเขา ไม่มีเคสเร่งด่วน เขาจึงใช้เวลาทั้งวันอยู่กับเธอ นั่งอ่านหนังสือที่เธอเคยชอบให้ฟัง น้ำเสียงของเขาอบอุ่น นุ่มนวล ราวกับกำลังปลอบโยนข
หนึ่งเดือนผ่านไป...หลังจากเรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไป สิ่งดีๆ และความเป็นมงคลก็เข้ามาแทนที่ ครอบครัวของพศวัตได้ทำการสู่ขอศศิราอย่างเป็นทางการต่อหน้าพ่อแม่ของเธอ จนวันนี้เป็นพิธีแต่งงานของทั้งคู่พิธีแต่งงาน…ภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับค่ำคืนแห่งความทรงจำ พิธีแต่งงานถูกโอบล้อมด้วยบรรยากาศอ่อนหวานและโรแมนติกผ้าม่านโปร่งบางสีขาวพลิ้วไหวไปตามแรงลมอ่อนๆ ที่พัดผ่าน แสงไฟสีทองนวลตาส่องกระทบผืนผ้า ราวกับต้องการเติมเต็มความอบอุ่นให้ค่ำคืนนี้พิเศษยิ่งขึ้นทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้สีขาวที่ถูกประดับประดาไว้อย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็นช่อกุหลาบ ลิลลี่ และไฮเดรนเยียที่จัดเรียงไว้อย่างประณีตตามทางเดินทอดยาวสู่เวทีหลัก ที่ซึ่งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะกล่าวคำสัตย์สาบานต่อกันและกันโต๊ะจัดเลี้ยงปูด้วยผ้าสีครีมนุ่มละมุน ประดับด้วยเชิงเทียนแก้วใสที่เปล่งประกายระยิบระยับยามต้องแสงไฟ ดอกกุหลาบขาววางเรียงอยู่ตามมุมโต๊ะ เสริมให้บรรยากาศดูหรูหราและอบอุ่นในคราวเดียวกันเสียงดนตรีคลาสสิกบรรเลงแผ่วเบา ผสานเข้ากับเสียงพูดคุยหัวเราะของแขกเหรื่อที่มาเป็นสักขีพยา
สองสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย พศวัตสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ศศิราเดินมาประคองเขาขึ้นรถ ดนัยที่มารับเพื่อนสนิทพากลับไปส่งยังคอนโด"เห็นไหมคะ ฉันบอกแล้วว่าถ้าคุณพักผ่อนดี ๆ กินยาตรงเวลา แผลก็จะหายเร็วขึ้น"พศวัตหัวเราะเบา ๆ มองเธอด้วยสายตาเอ็นดู"ผมว่า คุณน่าจะเป็นหมอได้นะ"ศศิราเลิกคิ้ว "ทำไมค่ะ?""ก็คุณทั้งดูแล ทั้งบ่น ทั้งเคี่ยวเข็ญให้กินยาสารพัด..."พูดไปก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวคู่หมั้นเบา ๆ"ก็ฉันห่วงคุณนี่นา" ศศิราทำตาออดอ้อน"ครับ ผมรับรู้ได้ครับ" พศวัตยิ้มอ่อนโยนให้เธอศศิราเปลี่ยนเรื่องถาม"เราจับคนทุจริตได้แล้ว ต่อจากนี้โครงการโรงพยาบาลของเราจะทำยังไงต่อคะ?""ถึงเรื่องนี้จะจบไปแล้ว แต่การทำงานของเรา... ยังมีอะไรให้ต้องระวังอีกเยอะ""แล้วคุณกลัวไหม?"พศวัตหันมาสบตาเธอ ก่อนจะยิ้มมุมปาก"ถ้ามีคุณอยู่ข้าง ๆ ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น"ศศิราหัวเราะ"พูดแบบนี้ต้องให้รางวัลแล้ว!"ก่อนที่พศวัตจะทันพูดอะไร เธอก็โน้มตัวไปจูบเบา ๆ ที่แก้มของเขา ทำเอาชายหนุ่มถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ดนัยที่ขับรถอยู่กระแอมเสียงดัง"เอ่อ... ขอเตือนว่านี่รถผมนะครับ กรุณาอย่าหวานเกินไป"เสียงหัวเร
เช้าวันจันทร์... บรรยากาศในออฟฟิศคึกคักเช่นทุกสัปดาห์ พนักงานทยอยเดินเข้ามาทำงานตามปกติ เสียงเครื่องแฟกซ์และโทรศัพท์ดังสลับกับเสียงพูดคุยของทีมงานที่กำลังประชุมเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างการประชุม แจ้งข่าวด่วนจากไซต์งานว่า โครงสร้างบางส่วนของโรงจอดรถพังถล่ม อันเนื่องมาจากฝนตกหนักตลอดคืน“โครงสร้างส่วนไหนเสียหาย?”พศวัตถามเสียงเข้ม มือหนากำแฟ้มเอกสารแน่น“คานด้านข้างโรงจอดรถครับ พังลงมาทับเครื่องมือและเส้นทางเข้าออก” หัวหน้าช่างรายงานสีหน้าของพศวัตและดนัยเคร่งเครียดทันที“เราต้องไปดูหน้างานเดี๋ยวนี้”ก่อนที่พศวัตจะออกจากห้อง ศศิราจับแขนเขาไว้ สีหน้าของเธอแสดงถึงความกังวล“ระวังตัวด้วยนะคะ”เธอพูดเสียงเบาเขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วบีบมือเธอเบาๆ“ไม่ต้องห่วง ผมจัดการได้”ปัทมาที่อยู่ข้างดนัยก็เสริมขึ้น“คุณก็เช่นกันนะคะ คุณดนัย ไซต์งานที่เต็มไปด้วยอันตราย”“ครับๆ พวกผมจะระวังตัวอย่าห่วงเลย”เมื่อถึงสถานที่เกิดเหตุ ภาพที่เห็นทำให้พศวัตและดนัยต้องขมวดคิ้วแน่น โครงสร้างบางส่วนพังถล่มลงมา เหล็กเสริมเอียงผิดรูป เศษปูนแตกร้าวกระจัดกระจาย น้ำฝนเจิ่งนองไปทั่ว“เกิดจากแรงดินอ่อนตัวห
บ้านศศิรา...บรรยากาศยามเช้าหลังฝนกระหน่ำเมื่อคืนยังคงชื้นแฉะ หยาดน้ำฝนเกาะบนใบไม้ เสียงนกร้องแว่วมาไกลๆ อากาศเย็นสบาย แต่ท้องฟ้ายังคงอึมครึมราวกับฝนจะตกลงมาอีกครั้งศศิราเดินออกจากบ้าน มานั่งที่โต๊ะหน้าบ้าน ซึ่งแม่ของเธอได้จัดเตรียมข้าวต้มร้อนๆ ไส้กรอกไข่ดาว และขนมปังปิ้ง ไว้ให้“น่าทานจังเลยค่ะแม่”“ทานเยอะๆ นะแม่ทำไว้ให้”สายพิณยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบตะกร้าเตรียมออกไป “วันนี้แม่มีนัดกับป้าศรี จะไปตลาดกัน”“ขอบคุณค่ะแม่”สายพิณมองศศิราแล้วพยักหน้าเบาๆ“เมื่อลูก ๆ คืนดีกันแล้ว แม่ก็หายห่วง”พูดจบก็เดินออกจากบ้านไป“คุณพศวัตเรียกคุณดนัยกับปัทมา มาทานมื้อเช้าได้แล้วค่ะ”“ป่านนี้เขาคงจัด...มื้อเช้าบนเตียงกันแล้วมัง?”“คุณนี่นะ...”พศวัตยิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มตัวเข้าใกล้พลางกระซิบเสียงแผ่ว“คุณไม่ต้องเลยศศิรา... ไปทะเลผมก็อด เมื่อคืนกว่าจะเข้าใจกันได้ก็ดึก ทานข้าวเสร็จคุณก็หลับ คืนนี้ผมจะไม่พลาดแน่นอน คืนนี้ผมต้องเคลียร์กับคุณให้รู้เรื่อง”ศศิราตาเบิกกว้าง ใจเต้นระรัว“พูดอะไรของคุณเนี่ย...” แก้มเธอร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวปัทมาและดนัยเดินออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังโต๊ะอาหารหน้าบ้านที่จัดไว้เรียบร้
บ้านสวนศศิริ...ดนัยกับปัทมาอยู่ในห้องนอนด้วยกันเพียงลำพัง เพราะอยากเปิดโอกาสให้ศศิราและพศวัตได้ปรับความเข้าใจกัน ก่อนหน้านี้เธอไม่คิดอะไร แต่เมื่อสถานการณ์พาไป การอยู่ใกล้กันนานขึ้นกลับทำให้หัวใจปัทมาเริ่มหวั่นไหว โดยเฉพาะเมื่อดนัยมองเธอไม่วางตาสายฝนกระหน่ำลงมาหนักขึ้น ด้านนอกมีเพียงเสียงน้ำฝนกระทบหลังคาและเสียงลมพัดผ่านต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม บรรยากาศอบอ้าวกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดแบบแปลกๆ“นี่คุณดนัย... จะจ้องฉันอีกนานไหม”ปัทมาพูดขึ้นเบาๆ“ก็ผมบอกว่าผมชอบคุณ จ้องหน่อยไม่เห็นจะแปลก”“โรคจิต”ปัทมาพึมพำ แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวเธอนั่งอยู่บนเตียง ขณะที่ดนัยนั่งเอกเขนกบนโซฟาตัวเล็กข้างเตียง ไม่ถึงครู่ร่างสูงก็ลุกพรวดขึ้นแล้วกระโดดลงบนที่นอนทันที“นี่คุณ! จะทำอะไร?! กลับไปนอนที่โซฟาเลยนะ”“ฝนตก อากาศเย็นจะตาย ขอนอนบนเตียงเถอะน่า”“งั้นฉันจะไปนอนโซฟาเอง”ปัทมารีบลุกขึ้น แต่ดนัยจับข้อมือเธอไว้“คุณรังเกียจผมหรือไง แค่นอนเตียงเดียวกันเอง”ปัทมาชะงักไปเล็กน้อย“มันไม่ใช่อย่างนั้น... เราไม่ได้เป็นอะไรกัน มันไม่เหมาะสม”ดนัยยิ้มมุมปาก ก่อนพูดขึ้นเสียงนุ่ม“งั้นก็เป็นสิ...”“อะไร?”“เป็นแฟนผมไง”
บ้านศศิรา...บรรยากาศยามเช้าหลังฝนกระหน่ำเมื่อคืนยังคงชื้นแฉะ หยาดน้ำฝนเกาะบนใบไม้ เสียงนกร้องแว่วมาไกลๆ อากาศเย็นสบาย แต่ท้องฟ้ายังคงอึมครึมราวกับฝนจะตกลงมาอีกครั้งศศิราเดินออกจากบ้าน มานั่งที่โต๊ะหน้าบ้าน ซึ่งแม่ของเธอได้จัดเตรียมข้าวต้มร้อนๆ ไส้กรอกไข่ดาว และขนมปังปิ้ง ไว้ให้“น่าทานจังเลยค่ะแม่”“ทานเยอะๆ นะแม่ทำไว้ให้”สายพิณยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบตะกร้าเตรียมออกไป “วันนี้แม่มีนัดกับป้าศรี จะไปตลาดกัน”“ขอบคุณค่ะแม่”สายพิณมองศศิราแล้วพยักหน้าเบาๆ“เมื่อลูก ๆ คืนดีกันแล้ว แม่ก็หายห่วง”พูดจบก็เดินออกจากบ้านไป“คุณพศวัตเรียกคุณดนัยกับปัทมา มาทานมื้อเช้าได้แล้วค่ะ”“ป่านนี้เขาคงจัด...มื้อเช้าบนเตียงกันแล้วมัง?”“คุณนี่นะ...”พศวัตยิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มตัวเข้าใกล้พลางกระซิบเสียงแผ่ว“คุณไม่ต้องเลยศศิรา... ไปทะเลผมก็อด เมื่อคืนกว่าจะเข้าใจกันได้ก็ดึก ทานข้าวเสร็จคุณก็หลับ คืนนี้ผมจะไม่พลาดแน่นอน คืนนี้ผมต้องเคลียร์กับคุณให้รู้เรื่อง”ศศิราตาเบิกกว้าง ใจเต้นระรัว“พูดอะไรของคุณเนี่ย...” แก้มเธอร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวปัทมาและดนัยเดินออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังโต๊ะอาหารหน้าบ้านที่จัดไว้เรียบร้
บ้านสวนศศิริ...ดนัยกับปัทมาอยู่ในห้องนอนด้วยกันเพียงลำพัง เพราะอยากเปิดโอกาสให้ศศิราและพศวัตได้ปรับความเข้าใจกัน ก่อนหน้านี้เธอไม่คิดอะไร แต่เมื่อสถานการณ์พาไป การอยู่ใกล้กันนานขึ้นกลับทำให้หัวใจปัทมาเริ่มหวั่นไหว โดยเฉพาะเมื่อดนัยมองเธอไม่วางตาสายฝนกระหน่ำลงมาหนักขึ้น ด้านนอกมีเพียงเสียงน้ำฝนกระทบหลังคาและเสียงลมพัดผ่านต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม บรรยากาศอบอ้าวกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดแบบแปลกๆ“นี่คุณดนัย... จะจ้องฉันอีกนานไหม”ปัทมาพูดขึ้นเบาๆ“ก็ผมบอกว่าผมชอบคุณ จ้องหน่อยไม่เห็นจะแปลก”“โรคจิต”ปัทมาพึมพำ แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวเธอนั่งอยู่บนเตียง ขณะที่ดนัยนั่งเอกเขนกบนโซฟาตัวเล็กข้างเตียง ไม่ถึงครู่ร่างสูงก็ลุกพรวดขึ้นแล้วกระโดดลงบนที่นอนทันที“นี่คุณ! จะทำอะไร?! กลับไปนอนที่โซฟาเลยนะ”“ฝนตก อากาศเย็นจะตาย ขอนอนบนเตียงเถอะน่า”“งั้นฉันจะไปนอนโซฟาเอง”ปัทมารีบลุกขึ้น แต่ดนัยจับข้อมือเธอไว้“คุณรังเกียจผมหรือไง แค่นอนเตียงเดียวกันเอง”ปัทมาชะงักไปเล็กน้อย“มันไม่ใช่อย่างนั้น... เราไม่ได้เป็นอะไรกัน มันไม่เหมาะสม”ดนัยยิ้มมุมปาก ก่อนพูดขึ้นเสียงนุ่ม“งั้นก็เป็นสิ...”“อะไร?”“เป็นแฟนผมไง”
เวลา 20.00 น. ทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว แต่พศวัตยังคงนั่งรอศศิราอยู่ในศาลาหน้าบ้าน ความเงียบงันของค่ำคืนนี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกอึดอัดในอก หวังว่าเธอจะมาคุยกับเขาสักประโยค แต่เปล่าเลย...เธอไม่แม้แต่จะชายตามอง“เดี๋ยวคืนนี้ศศิราพาเพื่อนไปนอนบ้านสวนนะลูก”“ค่ะแม่หนูมานอนที่บ้านนะ”“เพื่อนมาหาทิ้งเพื่อนนอนตามลำพังน่าเกลียดนะลูก”เธอรู้ดีว่าถ้าไปนอนบ้านสวน พศวัตต้องหาทางเข้าหาเธอแน่นอนบ้านสวน...บ้านสวนของศศิรามีเพียงสองห้องนอน เธอนอนกับปัทมา ส่วนพศวัตต้องนอนกับดนัย แต่ด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียด ปัทมาและดนัยจึงตัดสินใจช่วยให้ทั้งสองมีโอกาสได้เคลียร์กัน“ที่รักครับ คืนนี้ผมนอนกับคุณได้ไหม?”ดนัยหันไปพูดกับปัทมาพร้อมกับส่งสายตารู้กัน“ได้ค่ะ งั้นคืนนี้เรานอนด้วยกันนะ ฉันหนาว อยากนอนกอดคุณ”ศศิราขมวดคิ้วมองเพื่อนอย่างงุนงง“เดี๋ยวนะ ปัทมาไปคบกับคุณดนัยตอนไหน?”"เราตกลงกันตั้งแต่ตอนเที่ยวทะเลแล้ว แค่ยังไม่มีโอกาสบอกเธอ"ปัทมายิ้มเจื่อนๆ แต่แววตาส่อประกายขี้เล่นดนัยฉวยโอกาสหันไปแกล้งพศวัตทันที“พศวัต คืนนี้นายก็นอนกับแฟนตัวเองสิ เพราะฉันจะนอนกับแฟนฉันเหมือนกัน”“งั้นปัทมานอนกับคุณดนัยเถอะ เดี๋ยวฉัน
พศวัตโทรหากวีด้วยน้ำเสียงร้อนรน รีบเล่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กวีฟังจนหมดสิ้น กวีรับฟังด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด“เดี๋ยวผมจะไปรับชัญญา แล้วเราจะออกเดินทางไปด้วยกัน” กวีกล่าวไม่มีการรอช้า ดนัยและปัทมาพร้อมแล้ว ทั้งสี่คนมุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรีทันที ทันทีบ้านศศิรา...ลมอ่อน ๆ พัดผ่านเรือนไม้ยกพื้นสูง เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล กลิ่นหอมของดอกไม้จากสวนหน้าบ้านลอยมาตามลม แสงแดดยามเช้าส่องกระทบหลังคากระเบื้องเก่า ทำให้บรรยากาศบ้านสวนดูอบอุ่นและเงียบสงบเสียงแม่ดังขึ้นทันทีที่ศศิราก้าวเข้าบ้าน“ทำไมเมื่อคืนกลับมาดึกนักลูก? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? หรือว่า... ทะเลาะกับพศวัต?”แววตาของแม่เต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ศศิราสูดลมหายใจลึก ตัดสินใจแน่วแน่"หนูตัดสินใจแล้วค่ะแม่... หนูจะเลิกกับเขา"แม่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่ว "เกิดอะไรขึ้น?"“จริง ๆ แล้วเขามีคู่หมายอยู่แล้ว ครอบครัวเขาทำสัญญากันตั้งแต่รุ่นพ่อแม่"“อะไรนะ?! แล้วทำไมเขาถึงมาคบกับลูกล่ะ?” แม่อุทาน สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจศศิรายิ้มบาง ๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด“เขามีเหตุผลของเขา แต่ช่างเถอะค่ะ... ห